เมื่อคืนนี้ (22 มิถุนายน 2025) รัฐสภาอิหร่านอนุมัติมาตรการปิดช่องแคบฮอร์มุซ (Strait of Hormuz) หวังตอบโต้กรณีสหรัฐอเมริกาถล่มฐานนิวเคลียร์ทั้ง 3 แห่ง ด้าน มาร์โก รูบิโอ (Marco Rubio) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ เตรียมร้องจีนให้ช่วยเจรจา ไม่ให้อิหร่านตอบโต้ เชื่อโลกได้รับผลกระทบมากกว่าสหรัฐฯ
PressTV สื่ออิหร่าน รายงานว่า รัฐสภาอนุมัติมาตรการตอบโต้การโจมตีสหรัฐฯ หลัง โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ผู้นำอเมริกาฯ เปิดปฏิบัติการถล่มฐานนิวเคลียร์ทั้ง 3 แห่งของอิหร่านคือ ฟอร์โดว์ (Fordow), อิสฟาฮาน (Isfahan) และนาตันซ์ (Natanz) โดยใช้ B-2 Spirit เครื่องบินล่องหน ทิ้งระเบิด GBU-57 หรือ ‘Bunker Buster’ พร้อมกับอ้างว่า เป็นปฏิบัติการเพื่อทวงคืนสันติภาพให้กับตะวันออกกลาง ถือเป็นความสำเร็จทางการทหาร พร้อมขู่ว่า สหรัฐฯ จะโจมตีอีกครั้ง หากเตหะรานไม่ยอมแพ้
ล่าสุด พลเอก เอสมาอิล โควซารี (Esmaeil Kowsari) ที่ปรึกษาสภาความมั่นคงอิหร่าน ให้สัมภาษณ์กับสื่อว่า รัฐสภามีเอกฉันท์ให้อิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซ โดยขั้นตอนสุดท้ายคือ รอการตัดสินใจของสภาความมั่นคง ด้วยการนำของ อายะตุลลอฮ์ อาลี คาเมเนอี (Ayatollah Ali Khamenei) ผู้นำสูงสุดของอิหร่าน ซึ่งก่อนหน้านี้ อับบาส อาราฆชี (Abbas Araghchi) รัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศอิหร่าน ประกาศกร้าวว่า การที่ทรัมป์ตัดสินใจระเบิดฐานการผลิตนิวเคลียร์ อิหร่านจะตอบโต้ให้ทั่วโลกจดจำไปตลอดกาล
อย่างไรก็ตามรูบิโอให้สัมภาษณ์กับรายการ Sunday Morning Futures with Maria Bartiromo ทาง Fox News ว่า ตนจะไม่ยอมให้อิหร่านดำเนินมาตรการตอบโต้นี้เด็ดขาด โดยเล็งขอความช่วยเหลือจากรัฐบาลปักกิ่งให้ช่วยเรียกร้อง เพราะจีนพึ่งพาเส้นทางนี้ในการซื้อขายน้ำมันมากที่สุด พร้อมย้ำว่า หากอิหร่านปิดช่องแคบฮอร์มุซจริงๆ ถือเป็นการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ
“ถ้าอิหร่านทำมันอีก นั่นคือความผิดพลาดครั้งใหญ่ นี่คือการฆ่าตัวตายทางเศรษฐกิจ ซึ่งสหรัฐฯ มีทางออกอื่นๆ ที่จะรับมือกับปัญหานี้ แต่ประเทศอื่นๆ ก็ควรไตร่ตรองเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน เพราะมาตรการนี้จะทำลายเศรษฐกิจของประเทศอื่นๆ ให้พังกว่าสหรัฐฯ” รูบิโอกล่าว
ขณะที่สถานทูตจีนไม่ได้แสดงความคิดเห็นใดต่อท่าทีของสหรัฐฯ แต่ล่าสุดออกโรงประณามการโจมตีของสหรัฐฯ ว่า ขัดต่อกฎหมายระหว่างประเทศ และเรียกร้องให้ทุกฝ่ายในความขัดแย้ง รวมถึงอิสราเอลรีบเจรจาหาทางออก ซึ่งจีนพร้อมร่วมมือกับนานาชาติ เพื่อสร้างความยุติธรรม เสถียรภาพ และสันติภาพให้กับตะวันออกกลาง
ปิดช่องแคบฮอร์มุซกระทบอะไรบ้าง
ฮอร์มุซคือช่องแคบที่อยู่ระหว่างอิหร่านกับโอมาน เชื่อมกับอ่าวเปอร์เซีย อ่าวโอมาน และทะเลอาหรับ ถือเป็นหนึ่งในเส้นทางขนส่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติจากประเทศตะวันออกกลางที่สำคัญที่สุด คิดเป็นสัดส่วนคือ 30% หรือ 1 ใน 5 การขนส่งของโลกทั้งหมด จากการวิเคราะห์ของ Vortexa เผยว่า ในปี 2022 ช่องแคบดังกล่าวใช้ขนส่งน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติ และเชื้อเพลิงอื่นๆ อยู่ราว 17.8-20.8 ล้านบาร์เรลต่อวัน
ปกติแล้ว กลุ่มประเทศ OPEC (Organization of the Petroleum Exporting Countries) ผู้ส่งออกน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดของโลก มักนิยมใช้เส้นทางนี้ในการเดินเรือ ได้แก่ ซาอุดีอาระเบีย อิหร่าน สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ คูเวต และอิรัก โดยมีจุดหมายปลายทางส่วนใหญ่คือ เอเชีย ขณะที่กองเรือที่ 5 ของสหรัฐฯ ประจำการบริเวณใกล้เคียงคือ ฐานในบาห์เรนเพื่อปกป้องการขนส่งสินค้า
อย่างไรก็ตามหลังจากสหรัฐฯ เปิดปฏิบัติการโจมตีฐานนิวเคลียร์อิหร่าน นักวิเคราะห์คาดว่า เตหะรานอาจใช้มาตรการตอบโต้สหรัฐฯ ด้วยหลากหลายวิธี โดยหนึ่งในนั้นคือการตอบโต้ทางเศรษฐกิจ ด้วยการปิดช่องแคบฮอร์มุซ เพราะช่องแคบดังกล่าวเป็นเสาหลักสำคัญของการขนส่งสินค้าน้ำมันและทรัพยากรธรรมชาติ ถือเป็นมาตรการกดดันทรัมป์โดยตรง เนื่องจากสหรัฐฯ และทั่วโลกจะเผชิญภาวะราคาน้ำมันเฟ้อทันที รวมถึงจีน ประเทศมหาอำนาจที่มีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลก ก็พึ่งพาการซื้อน้ำมันจากอิหร่านถึง 90%
ทั้งนี้วิธีการปิดช่องแคบที่อิหร่านพูดถึง อาจเป็นการวางทุ่นระเบิดในทะเล การโจมตีเรือที่แล่นด้วยขีปนาวุธและระเบิด การกักเรือไม่ให้แล่นเข้าออก ไปจนถึงการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งในอดีต อิหร่านเคยประกาศขู่ปิดช่องแคบฮอร์มุซตั้งแต่ทศวรรษ 1980 ในช่วงสงครามอิรัก-อิหร่าน แต่ก็ไม่เคยปิดเส้นทางการสัญจรของเรือแต่อย่างใด แม้จะมีการสู้รบในช่องแคบก็ตาม
จากปรากฏการณ์ดังกล่าว CBS News วิเคราะห์ว่า การปิดช่องแคบฮอร์มุซจะกระทบตลาดน้ำมันในกลุ่มประเทศเอเชียตะวันออกมากที่สุดคือ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ ซึ่งคิดเป็นการซื้อขายทั้งสิ้นราว 69% ในปี 2024 สืบเนื่องจากข้อจำกัดทางภูมิศาสตร์ที่ไม่มีเส้นทางเดินเรืออื่นแล้ว แม้ว่าซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์จะมีท่อส่งน้ำมัน แต่ปริมาณจุเพื่อขนส่งมีจำนวนจำกัด
เชื่อกันว่า ในกลุ่มประเทศมหาอำนาจของเอเชีย จีนจะเป็นประเทศที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด เนื่องจากอิหร่านถูกชาติตะวันตกคว่ำบาตร ทำให้ค้าขายน้ำมันได้ไม่กี่ประเทศ ซึ่งจีนได้ใช้โอกาสข้างต้นซื้อน้ำมันในราคาที่ถูกกว่าปกติ ขณะที่อินเดียยังมีทางเลือกซื้อน้ำมันจากประเทศอื่นๆ เช่น รัสเซีย สหรัฐฯ แอฟริกา จนถึงสหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ แต่สหรัฐฯ ได้รับผลกระทบน้อยที่สุด ซึ่งในปี 2024 สหรัฐฯ พึ่งพาเส้นทางน้ำมันจากช่องแคบฮอร์มุซเพียง 7% และก๊าซธรรมชาติอีก 2%
สิ่งที่น่าเป็นห่วงที่สุดไม่ใช่แหล่งซื้อขายน้ำมัน แต่เป็นความปั่นป่วนทางการตลาดจากคำประกาศขู่ของอิหร่าน ซึ่งมีผลต่อตลาดพลังงานโลกโดยทันที ทำให้เกิดปรากฏการณ์ราคาน้ำมันและก๊าซธรรมชาติเฟ้อ อันเป็นผลจากประเทศผู้ขายมีน้อย แต่ความต้องการเพิ่มขึ้นอยู่ ซ้ำยังก่อให้เกิดผลกระทบห่วงโซ่ต่อระบบเศรษฐกิจโลก เพราะช่องแคบดังกล่าวยังขนส่งสินค้าอื่นๆ เช่น สินค้าอิเล็กทรอนิกส์ โดย Euronews คาดการณ์ว่า วิกฤตด้านพลังงานครั้งนี้ จะกระทบต่อภาคการผลิต การขนส่ง และการเกษตร ตามด้วยความผันผวนของตลาดหุ้นในโลกอีกด้วย
เบื้องต้นมีการวิเคราะห์ว่า วิธีที่จะเลี่ยงเส้นทางการเดินเรือในช่องแคบฮอร์มุซคือ การอ้อมไปใช้ทะเลแดงแทน ซึ่งมีการขนส่งทรัพยากรราว 20 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2024 โดย EIA (U.S. Energy Information Administration) เปิดเผยข้อมูลว่า Aramco บริษัทขนส่งน้ำมันของซาอุดีอาระเบีย ใช้เส้นทางนี้ขนส่งน้ำมันจากตะวันออก-ตะวันตกราว 5 ล้านบาร์เรลต่อวัน ขณะที่สหรัฐอาหรับเอมิเรสต์ใช้ท่อน้ำมันขนส่งได้ราว 1.8 ล้านบาร์เรล ซึ่งเชื่อมกับท่อส่งน้ำมันฟูไจราห์ที่ตั้งในอ่าวโอมาน
ปัจจุบันราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้นสูงอันเป็นผลพวงจากวิกฤตการณ์ในตะวันออกกลาง โดยราคาน้ำมันดิบซื้อขายล่วงหน้าของสหรัฐฯ ในตลาด กระโดดเพิ่มขึ้น 3.6% หรือคิดเป็นราคา 76.47 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2,524 บาท) ต่อบาร์เรล ขณะที่ราคาน้ำมันของ Brent ซึ่งเป็นเกณฑ์ราคาซื้อขายน้ำมันโลก เพิ่มถึง 3.2% หรือคิดเป็น 74.59 ดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 2,462 บาท) ต่อบาร์เรล
อ้างอิง
https://www.cbsnews.com/news/strait-of-hormuz-iran-oil-trade-route-what-to-know/
https://www.politico.eu/article/iran-reportedly-moves-shut-strait-hormuz-us-attacks/
https://edition.cnn.com/world/live-news/israel-iran-conflict-06-22-25-intl-hnk?t=1750651054810
Tags: โดนัลด์ ทรัมป์, มาร์โก รูบิโอ, สงคราม, ฟอร์โด, ทรัมป์, นิวเคลียร์, อิสราเอล, ช่องแคบฮอร์มุซ, น้ำมัน, ตะวันออกกลาง, สหรัฐฯ, อิหร่าน, ราคาน้ำมันโลก, สหรัฐอเมริกา, ก๊าซธรรมชาติ