ขณะที่โลกกำลังก้าวเข้าสู่วิกฤตสังคมสูงวัยเต็มรูปแบบ ‘เชียงใหม่’ เมืองที่เพิ่งขึ้นแท่นเป็นจังหวัดที่มีพื้นที่มากที่สุด และเป็น 1 ใน 5 เมืองที่มีประชากรมากที่สุดของประเทศ ก็เป็นภาพสะท้อนของวิกฤตนี้อย่างชัดเจน
ข้อมูลจากกรมการปกครอง ปี 2566 ระบุว่า เชียงใหม่มีผู้สูงอายุสูงถึง 404,512 คน จากประชากรทั้งหมด 1,799,019 คน (คิดเป็น 22%) โดยในจำนวนนี้มีผู้ที่อายุยืนกว่าค่าเฉลี่ยหรือมีอายุระหว่าง 100-120 ปี มากถึง 1,161 คน ซึ่งมากเป็นอันดับ 3 ของประเทศ (รองจากกรุงเทพฯ ที่มี 6,701 คน และนนทบุรี 1,460 คน)
หากไม่นับปัญหาหมอกควันเรื้อรังประจำปี ความเป็นเมืองใหญ่ที่มีสาธารณูปโภคพร้อม บรรยากาศที่ผ่อนคลาย อุตสาหกรรมสาธารณสุขที่ก้าวหน้า และทรัพยากรธรรมชาติที่ค่อนข้างอุดมสมบูรณ์ เหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เชียงใหม่ดึงดูดผู้คนให้มาตั้งรกรากใช้ชีวิต โดยเฉพาะกลุ่มผู้สูงอายุ
แม้ ‘สังคมสูงวัย’ ถูกมองว่าเป็นวิกฤต แต่หากพิจารณาลักษณะเฉพาะดังที่ว่ามาของเมืองเชียงใหม่ เมื่อมองอีกที สิ่งนี้อาจเป็น ‘โอกาส’
เรื่องนี้ไม่ได้ถูกกล่าวขึ้นลอยๆ ในนิทรรศการ Ready Set Old: แก่ ดี มีสุข ที่จัดขึ้นในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024) ที่ผ่านมา ช่วยเน้นย้ำโอกาสนี้ เมื่อนิทรรศการพาผู้ชมไปสำรวจความเป็นไปได้ใหม่ๆ ทางเศรษฐกิจที่เกิดจากวิกฤตดังกล่าว ผ่านกรอบคิด Blue Zone หรือแนวทางการพัฒนาเมืองเพื่อคุณภาพชีวิตของผู้คนสูงวัย
Blue Zone คือนิยามที่ริเริ่มโดย แดน บิวต์เนอร์ (Dan Buettner) นักข่าวมือรางวัลจาก National Geographic ผู้ใช้เวลากว่า 20 ปี ศึกษาชุมชนทั่วโลกที่มีผู้คนอายุยืนกว่าค่าเฉลี่ย ทั้งยังมีศักยภาพในการดึงดูดและรองรับผู้สูงอายุจากที่อื่นมาอยู่รวมกัน รวมถึงสร้างเศรษฐกิจใหม่จากธุรกิจสุขภาพ การดูแลผู้สูงวัย ไปจนถึงการยกระดับสิ่งแวดล้อม
โอกินาวา (ญี่ปุ่น), ซาร์ดิเนีย (อิตาลี), นิโคยา (คอสตาริกา) และอิคาเรีย (กรีซ) คือ 4 เมืองแรกที่แดนให้คำจำกัดความในระดับเดียวกับ ‘สรวงสวรรค์ของผู้สูงวัย’
เมื่อแนวคิดนี้แพร่หลาย เมืองโลมาลินดา รัฐแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ก็ได้รับการประกาศให้เป็น Blue Zone แห่งที่ 5 ของโลก ก่อนที่สิงคโปร์ ประเทศที่มีสัดส่วนผู้สูงอายุติดอันดับต้นๆ ในเอเชีย นำแนวคิดนี้ไปใช้ในระดับนโยบาย จนกลายเป็น Blue Zone แห่งที่ 6
และใช่ นิทรรศการ Ready Set Old ที่เราอ้างถึง ก็ชวนผู้ชมตั้งคำถามว่า เมืองเชียงใหม่พร้อมที่จะกลายเป็น Blue Zone แห่งที่ 7 ได้หรือไม่ พร้อมกับพาไปสำรวจองค์ประกอบที่เอื้ออำนวยหลายประการ รวมถึงโอกาสในการต่อยอดสู่ธุรกิจที่ตอบโจทย์กับความเป็นไปของโลก ทั้งบริการเดย์แคร์ บ้านพักคนชรา บริการด้านสุขภาพ อาหารการกิน การประยุกต์ต้นทุนด้านศิลปวัฒนธรรมและหัตถกรรมของเมืองมาตอบโจทย์วิถีชีวิตคนชรา ไปจนถึงนวัตกรรมที่ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของผู้สูงวัย
นั่นละ เพื่อให้เข้าใจความเป็นไปของโอกาส เราจึงชวนผู้สูงวัยพูดคุยว่า เมืองแห่งนี้ตอบโจทย์เขาอย่างไร และเมืองยังขาดอะไร หากจะเป็นต้นแบบเมืองเศรษฐกิจสำหรับผู้สูงวัย
ป้านิด-วนิดา อินทวงศ์ (อายุ 74 ปี)
อดีตพนักงานโรงพยาบาล
“หลังจากเกษียณ ป้าก็หันมาทำรับจ้างตัดเย็บผ้า ป้าคิดว่าดีกว่าอยู่เปล่าๆ ได้ทำในสิ่งที่ถนัดและมีรายได้เสริมด้วย
“ป้าว่าเชียงใหม่ตอบโจทย์ชีวิตคนสูงอายุ ตรงที่แม้จะเป็นเมืองใหญ่ แต่ก็ยังมีวิถีชีวิตแบบชุมชนดั้งเดิม ที่ผู้คนเก่าๆ ยังรู้จักกันหมดอยู่ ป้าจะใช้เวลาว่างในการปลูกผักปลอดสารพิษในสวนรอบบ้าน เดี๋ยวนี้เราไม่รู้เลยว่าผักปลูกมาจากไหน มีสารพิษมากไหม ก็เลยปลูกไว้กินเองดีกว่า เพื่อนบ้านหรือคนในชุมชนก็สามารถมาเก็บไปทำอาหารได้ด้วย
“การปลูกผักทำให้ป้าเหมือนได้ออกกำลังกาย มันก็ช่วยเรื่องสุขภาพไปในตัว จริงๆ ถ้าคนสูงอายุที่บ้านพอมีบริเวณ ป้าแนะนำว่า น่าจะมาปลูกผักกัน มีผักปลอดภัยกิน เหลือก็ส่งขาย
“ถ้าเชียงใหม่จะพัฒนาให้เป็นเมืองที่ตอบโจทย์ผู้สูงอายุ ป้าว่าการส่งเสริมให้ผู้คนได้มีอาหารการกินที่ดี ขณะเดียวกันผู้สูงวัยสามารถสร้างรายได้ แม้เพียงเล็กน้อยจากกิจวัตรหรือสวนผักเล็กๆ ของตัวเอง มันก็น่าจะดีมาก ซึ่งเมืองก็ควรมีกลไกในการสนับสนุนสิ่งนี้ รวมถึงช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เหล่านี้ สร้างรายได้เล็กๆ ให้พวกเราในอนาคต”
ป้าแดง-เพ็ญพรรณ วังวิวัฒน์ (อายุ 85 ปี)
ผู้ผลิตและเจ้าของแบรนด์เซรามิก ‘สยามศิลาดล’
“เชียงใหม่เป็นเมืองหัตถกรรม เราเป็นเมืองที่มีโรงงานหัตถกรรมหลากหลายประเภทที่สามารถผลิตสินค้าที่มีคุณภาพส่งออกไปวางจำหน่ายทั่วโลก จุดเด่นในเรื่องนี้ยังส่งเสริมอาชีพให้กับคนสูงวัยด้วย เพราะงานหัตถกรรมเกือบทั้งหมด เราสามารถทำได้ไปจนแก่
“และก็เพราะสิ่งนี้แหละ ป้าคิดว่าถ้าเราสนับสนุนองค์ความรู้และทักษะนี้ไปสู่ผู้สูงวัยที่อยู่ที่บ้าน ทำการประชาสัมพันธ์โดยใช้ ‘ความชรา’ ที่หลายคนอาจมองว่าเป็นจุดด้อย ให้กลายเป็นจุดขายทางการตลาด สิ่งนี้ก็อาจเพิ่มมูลค่าทางใจแก่งานหัตถกรรมได้มาก
“ทุกวันนี้ป้าอายุ 85 ปีแล้ว แต่ก็ยังมีความสุขกับได้ขับรถไปทำงานทุกวัน รวมถึงได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ จากคนรุ่นหลัง ซึ่งนี่เป็นหัวใจสำคัญในการทำธุรกิจเชิงสร้างสรรค์แบบที่ป้าและครอบครัวทำอยู่
“งานปั้นเซรามิกสอนให้เรารู้จักปล่อยวาง เพราะต่อให้ปั้นดีแค่ไหนพอเข้าเตาเผาไปเราก็ไม่สามารถควบคุมผลของมันให้ออกมาดีได้ทั้งหมด
“หลายคนเห็นป้าแดงอายุเท่านี้แต่ยังดูแข็งแรง ยังทำงานอยู่ แต่ความเป็นจริงเราก็มีโรคตามวัย มีปวดเมื่อยตามกระดูกเหมือนคนอื่น แต่เราไม่ไปยึดติดให้บั่นทอนหัวใจ อย่าคิดว่ามันเป็นปัญหา ให้มองเป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องเกิดขึ้น ปล่อยวาง ปรับตัวกับมัน และที่สำคัญคือหาเป้าหมายในชีวิต ที่ยังทำให้เราอยากลุกขึ้นมาทำอะไรในทุกวัน”
ป้าศรีพรรณ ชวนไชยสิทธิ์ และลุงนิพันธ์ ชวนไชยสิทธิ์ (อายุ 86 ปี)
ประธานอาสาสมัครชุมชนช้างม่อย และผู้ประกอบการผลิตตุง
“เราสองคนอยู่ชุมชนช้างม่อย ในย่านเมืองเก่าเชียงใหม่ นี่เป็นชุมชนที่มีการผสมผสานระหว่างวิถีชีวิตดั้งเดิม และความเป็นย่านการค้าสมัยใหม่ค่อนข้างมาก การผสมผสานแบบนี้ในแง่หนึ่งก็ส่งผลดีต่อเศรษฐกิจของผู้คนในชุมชน แต่ขณะเดียวกันก็ปฏิเสธไม่ได้ว่า บางครั้งก็อาจเกิดปัญหาจากช่องว่างระหว่างวัย รวมถึงความเหลื่อมล้ำของการพัฒนาพื้นที่
“สำหรับป้า การทำงานเป็นอาสาสมัครชุมชน ช่วยบรรเทาปัญหาและสร้างแนวร่วมในการพัฒนาย่านของเราได้ ขณะเดียวกันงานนี้ก็สร้างความหมายให้ตัวเราด้วย ทั้งยังได้ประสานความร่วมมือ ได้ทำกิจกรรมต่างๆ นานา แถมยังช่วยเพื่อนบ้านเราอีก นี่คือสิ่งที่ทำให้ป้าอยากตื่นเช้าในทุกๆ วัน เพื่อได้ทำงาน
“เชียงใหม่เป็นเมืองที่มีเอกลักษณ์ทางศิลปวัฒนธรรม และตลอดหลายสิบปีที่ผ่านมา สิ่งนี้ไม่เพียงแต่จะช่วยสร้างบรรยากาศอันน่าอยู่ให้กับเมือง แต่ยังเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ทั้งในภาพใหญ่อย่างการท่องเที่ยว ไปจนถึงในระดับชุมชนเล็กๆ อย่างที่เห็นได้ชัดที่สุด ก็มาจากสามีป้านี่แหละ (ยิ้ม) ลุงนิพันธ์ปีนี้แกอายุ 86 ปีเท่าป้า แต่ก็ยังทำตุงสามหางขายอยู่ (ร้าน ส.สว่าง) น่าจะเป็นร้านสุดท้ายในเขตตัวเมืองเชียงใหม่แล้ว
“ตุงสามหางเป็นทั้งของประดับและเครื่องสักการะในวัฒนธรรมล้านนา เรายังมีลูกค้าทั้งวัด ร้านรวงที่ซื้อไปประดับ และนักท่องเที่ยวที่ซื้อเป็นของที่ระลึกอยู่ ถ้าไม่ใช่เชียงใหม่ ก็ไม่รู้ว่าถ้าไปเปิดจังหวัดอื่น ร้านเราจะอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้หรือเปล่า” ป้าศรีพรรณกล่าว
ลุงชัช-ชัชวาลย์ ทองดีเลิศ (อายุ 67 ปี)
ผู้ก่อตั้งโฮงเฮียนสืบสานภูมิปัญญาล้านนา และชุมชนโหล่งฮิมคาว อำเภอสันกำแพง
“ผมไม่อยากเป็นภาระของลูกหลานเมื่อแก่ตัวลง เลยคิดว่าถ้าเพื่อนๆ รุ่นเดียวกันมาอยู่ร่วมกันในชุมชนเล็กๆ บ้านใกล้กัน คอยช่วยเหลือเกื้อกูล หรือหากวันไหนป่วยไข้พร้อมๆ กัน จะจ้างพยาบาลมาช่วยดูแลทีเดียวก็น่าจะสะดวก ก็เลยไปเจอที่ดินแถวสันกำแพงที่ไม่ไกลเมืองนัก และก็ชวนเพื่อนมาปลูกบ้านอยู่ด้วยกัน ตั้งชื่อติดตลกว่า ‘ชราวิลล่า’ เลย (ยิ้ม)
“พอมาอยู่ด้วยกัน ผมก็พบว่า สมาชิกหลายคนมีทักษะด้านงานหัตถกรรมที่ดี ซึ่งเขาก็ประดิษฐ์นั่นนี่อยู่บ้านอยู่แล้ว ก็เลยมาชวนกันต่ออีก ให้เอางานคราฟต์พวกนี้มาเปิดขายกันหน้าบ้านไหม นั่นคือที่มาของ ‘ชุมชนโหล่งฮิมคาว’ ตลาดงานคราฟต์ของพวกเราเอง ที่ไปๆ มาๆ ก็มีคนมาแชร์พื้นที่กลายเป็นตลาดจริงจัง และกลายเป็นแหล่งท่องเที่ยวใหม่ของเมืองไปเลย
“ผมเชื่อว่า ‘ความสุข’ เป็นปัจจัยสำคัญหนึ่งที่ทำให้เราสุขภาพดี โดยเฉพาะความสุขที่เกิดขึ้นจากความสัมพันธ์ นี่คือเหตุผลว่าทำไมคนสูงวัยอย่างเราถึงมารวมตัวกันตรงนี้ ขณะเดียวกันนี่ก็อาจเป็นโมเดลหนึ่งของเมืองในอนาคต เมืองที่มีสเปซให้คนสูงวัยได้ทำกิจกรรม ได้สร้างคุณค่าร่วมกัน และได้ดูแลกันและกันแบบนี้”
เยาว์-เยาวดี ชูคง (อายุ 49 ปี)
เจ้าของร้าน Maadae Slow Fish Kitchen
“เราเชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงหรือการพัฒนา ไม่ว่าจะมิติไหน ถ้าอยากทำให้เกิดความยั่งยืน จุดเริ่มต้นต้องมาจากท้องถิ่น ซึ่งเป็นรากฐานสำคัญของสังคม สิ่งนี้ยังอยู่ในกรอบคิดของคนทำอาหารอย่างเราด้วย จึงทำร้านอาหารที่สนับสนุนประมงพื้นถิ่นและวัตถุดิบท้องถิ่น เพื่อช่วยส่งเสริมความยั่งยืนของสิ่งแวดล้อมและธุรกิจพื้นบ้าน
“จริงๆ แล้วเราเป็นคนพัทลุง แต่เลือกมาอยู่เชียงใหม่ เพราะเมืองมีองค์ประกอบหลายอย่างที่ตอบโจทย์เรา โดยเฉพาะเรื่องอาหารการกิน และการดูแลสุขภาพ ซึ่งเมืองไม่ได้มีแค่มีพื้นที่ แต่ยังมีโอกาสที่เปิดให้ผู้ประกอบการสามารถทำธุรกิจ
“ถ้าย้อนกลับไปสักหลายสิบปีก่อน หลายคนอาจไม่คิดว่าการมีร้านอาหารสักร้าน ที่ลูกค้าสามารถรู้ได้ว่า วัตถุดิบที่พวกเขากินมาจากไหน ผักปลูกอย่างไร หรือเนื้อสัตว์มีกรรมวิธีอย่างไร จะสามารถสร้างมูลค่าเพิ่ม และเป็นแรงดึงดูดลูกค้าได้ ซึ่งนั่นละ เมื่อพิจารณาจากทรัพยากรที่เมืองมีพร้อม ทั้งพืชผักปลอดสารพิษหรือความหลากหลายทางวัตถุดิบ เชียงใหม่จึงเป็นเมืองไม่กี่เมืองที่ธุรกิจอาหารสุขภาพไปจนถึงเกษตรอินทรีย์ ล้วนมีที่ทางที่ยั่งยืนของมันเอง”
หมายเหตุ: นิทรรศการ แก่ ดี มีสุข Ready Set Old เกิดจากความร่วมมือระหว่าง CEA เชียงใหม่, กมลกานต์ โกศลกาญจน์, กริยา บิลยะลา, THINKK Studio และ STUDIO 150 บทสัมภาษณ์ผู้สูงวัยโดย อนิรุทร์ เอื้อวิทยา จัดแสดงในเทศกาลงานออกแบบเชียงใหม่ 2567 (Chiang Mai Design Week 2024)