“กัมพูชาจะไม่ถอยจากการใช้กลไกทางกฎหมายผ่านศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (International Court of Justice: ICJ) เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาชายแดนกัมพูชา-ไทย ในปราสาทตาเมือนธม ปราสาทตาเมือนโต๊ด ปราสาทตาควาย และพื้นที่มุมไบ รัฐบาลจะทําเช่นนี้ต่อไปด้วยความมุ่งมั่นและความรับผิดชอบสูงในการปกป้องอธิปไตยของแผ่นดิน รวมทั้งผลประโยชน์ของชาติและชาวเขมร”
คือถ้อยแถลงบน Facebook ของ ฮุน มาเนต (Hun Manet) นายกรัฐมนตรีกัมพูชา ในวันที่ 16 มิถุนายนที่ผ่านมา พร้อมกับภาพของ คิมซูร์ โสวันนารี (Kimsour Sovannary) เอกอัครราชทูตกัมพูชาประจำประเทศเนเธอร์แลนด์ กับ ‘ซองสีขาว’ ที่จะส่งมอบให้ ฟิลิปป์ โกติเยร์ (Philippe Gautier) ทนายความชาวเบลเยียม นายทะเบียนประจำ ICJ นับเป็นภาพสะท้อนความไม่ลงรอยระหว่างไทย-กัมพูชา ในการหาทางออกระงับข้อพิพาท ที่กินระยะเวลาร่วมเดือนที่ผ่านมา หลังทางการไทยยืนกรานใช้กลไกระงับข้อพิพาท อย่างคณะกรรมาธิการเขตแดนร่วม (Joint Boundary Commission: JBC) ที่เกิดขึ้นจากความตกลงของทั้ง 2 ประเทศในปี 2000
ท่ามกลางความสับสนงุนงงของคนไทย โดยเฉพาะคำถามที่ตามมาของการยื่นร้อง ICJ จะเป็นอย่างไร แล้วไทยจำเป็นต้องไปศาลโลกหรือไม่ เมื่อวานนี้ (17 มิถุนายน 2025) คณะนิติศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เผยคำตอบดังกล่าวในงานเสวนา ฬ.จุฬาฯ นิติมิติในหัวข้อ ‘ประเทศไทยกับการระงับข้อพิพาทที่ศาลโลก’ โดย The Momentum สรุปเนื้อหาบางส่วนจากการบรรยาย ของ ดร.ภาวัฒน์ สัตยานุรักษ์ ผู้ช่วยศาสตราจารย์คณะนิติศาสตร์ จุฬาฯ
ก่อนที่จะตั้งคำถามว่า ไทยจำเป็นต้องไป ICJ หรือไม่ ภาวัฒน์เริ่มเสวนาด้วยความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับศาลโลก 3 ข้อว่า
1. ICJ เป็นหนึ่งในกลไกระงับข้อพิพาททางตุลาการ (Principal Judicial Organ) ขององค์การสหประชาชาติ (United Nations: UN) โดยไม่ได้มีเขตอำนาจ (Jurisdiction) เหมือนองค์กรตุลาการในประเทศทั่วไปที่บังคับใช้กฎหมายได้โดยตรง เช่น ศาลแพ่ง หรือศาลอาญาในประเทศไทย
2. แม้ในกฎบัตรสหประชาชาติ (Charter of the United Nations) ระบุไว้ว่า รัฐสมาชิกทุกรัฐเป็นภาคีธรรมนูญศาลโลกจากการเป็นสมาชิกของ UN แต่นั่นเป็นคนละเรื่องกับการยอมรับเขตอำนาจ เพราะการพิจารณาคดีจาก ICJ จะเกิดขึ้นได้ ก็ต่อเมื่อรัฐต้องให้ความยินยอมก่อน
3. UN ไม่ได้บังคับระบุตายตัวว่า รัฐทุกรัฐต้องระงับข้อพิพาทด้วยการไปศาลโลก เพียงแต่มีข้อตกลงให้รัฐทุกรัฐระงับข้อพิพาทโดยสันติวิธี ละเว้นจากการใช้กำลัง ซึ่งสะท้อนจากตัวเลขคดีของศาลโลกตลอด 78 ปี (ตั้งแต่ปี 1947-ปัจจุบัน) ว่ามีเพียง 196 คดีเท่านั้น
สาเหตุที่ ICJ ต้องได้รับการยินยอมจากรัฐให้ดำเนินข้อพิพาท อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายอธิบายว่า เป็นเพราะ ‘อำนาจอธิปไตย’ ของรัฐที่ไม่สามารถมีองค์กรหรือหน่วยงานใดๆ อยู่เหนือกว่ารัฐ เป็นเหตุให้ศาลโลกมีหน้าที่เคารพอำนาจสูงสุดของแต่ละรัฐ ภายใต้เงื่อนไขคือ ‘การยินยอม’ ซึ่งมีวิธีที่รัฐจะแสดงตนยอมรับอำนาจศาลโลกดังต่อไปนี้
1. รัฐยอมรับผ่านข้อตกลงพิเศษ คือการที่รัฐทั้ง 2 ฝ่ายทำความตกลงและยอมรับพร้อมกัน ดังกรณีพิพาทเกาะลีกีตันและซีปาตันระหว่างมาเลเซียกับอินโดนีเซีย ซึ่ง 2 ประเทศนี้ยินยอมไปศาลโลกทั้งคู่ แต่ภาวัฒน์ก็ตั้งข้อสังเกตว่า วิธีการนี้พบน้อยมาก มีเพียง 19 คดีหรือคิดเป็น 4% จาก 196 คดีทั้งหมด
2. รัฐยอมรับเขตอำนาจศาลล่วงหน้าผ่านภาคีสนธิสัญญา (Compromisory Clauses) คือการที่รัฐยอมรับกลไกระงับข้อพิพาทผ่าน ICJ ตามสนธิสัญญา เช่น กรณีไทยเข้าร่วมภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล (UNCLOS) ซึ่งในมาตรา 287 มีเงื่อนไขที่เขียนว่า รัฐภาคีสามารถเลือกวิธีการระงับข้อพิพาทผ่านกลไกระหว่างประเทศ เช่น ICJ, ศาลระหว่างประเทศว่าด้วยกฎหมายทะเล (International Tribunal for the Law of the Sea: ITLOS) หรือศาลอนุญาโตตุลาการถาวร (Permanent Court of Arbitration: PCA)
แต่ในขั้นตอนนี้ประเทศไทยขอทำการยกเว้นหรือตั้งข้อสงวน (Reservation) ว่า จะไม่เลือกใช้วิธีการระงับข้อพิพาทใดๆ โดยให้เหตุผลว่า จะเลือกในภายหลัง หากถึงเวลาที่เหมาะสม ซึ่งการตั้งข้อสงวนนี้ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นกลไกของกฎหมายระหว่างประเทศ ที่อนุญาตให้รัฐยกเว้นไม่ต้องผูกพันตามข้อใดข้อหนึ่งของสนธิสัญญา
3. รัฐยอมรับเขตอำนาจศาลล่วงหน้า (Optional Causes) เช่น ประกาศกับ ICJ โดยมีเงื่อนไขหรือเงื่อนเวลากำกับก็ได้ โดยภาวัฒน์หมายเหตุว่า ปัจจุบันในบรรดา 190 ประเทศทั่วโลก มีเพียง 74 ประเทศที่ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก โดยในอาเซียนมีเพียงฟิลิปปินส์กับกัมพูชา ขณะที่ในกลุ่มประเทศสมาชิกถาวร (P5) ในคณะมนตรีความมั่นคงแห่งสหประชาชาติ (United Nations Security Council: UNSC) มีเพียงสหราชอาณาจักรเท่านั้นที่ยอมรับอำนาจเขตอำนาจ ICJ
นอกจากนี้อาจารย์นิติศาสตร์ จุฬาฯ ยังตั้งข้อสังเกตเพิ่มเติมว่า แม้กัมพูชาและฟิลิปปินส์จะยอมรับเขตอำนาจของศาลโลก แต่ตั้งข้อสงวนไว้ในบางกรณี โดยกรณีฟิลิปปินส์ไม่ยอมรับอำนาจของ ICJ ในประเด็นอ่อนไหวของประเทศอย่างทรัพยากรธรรมชาติใต้พื้นทะเล หรือดินแดน ทะเลอาณาเขต และน่านน้ำภายใน ขณะที่กัมพูชาไม่ยอมรับในกรณีที่คู่กรณีตกลงกันได้ว่า จะใช้วิธีการระงับข้อพิพาทอื่น และข้อพิพาททางกฎหมายที่อยู่ภายใต้เขตอำนาจของกัมพูชา
4. การยื่นฟ้องฝ่ายเดียว (Forum Prorogatum) ดังกรณีกัมพูชายื่นฟ้องประเทศไทยในหน้า ICJ ที่ปรากฏบนหน้าสื่อ ซึ่งในส่วนนี้ภาวัฒน์อธิบายว่า กลไกดังกล่าวไม่มีผลต่อไทย เพราะในกฎหมายวิธีพิจารณาของศาล (Rules of the Court) มาตราที่ 38 (5) เขียนไว้ว่า หากมีรัฐใดรัฐหนึ่งยื่นฟ้องเพียงฝ่ายเดียว ศาลจะยังไม่บันทึกว่าเป็นคดี จนกว่ารัฐคู่พิพาทจะให้คำยินยอม เท่ากับว่าขณะนี้ สิ่งที่กัมพูชายื่นไปมีผลแค่ทำให้ ICJ ยังรับทราบ แต่จะยังไม่ดำเนินการอะไรจนกว่าไทยจะให้คำยินยอม
อย่างไรก็ตามอาจารย์ด้านกฎหมายระหว่างประเทศตั้งข้อสังเกตไว้ว่า ไทยเองต้องพึงระวัง และไม่แสดงพฤติการณ์ใดๆ ที่แสดงออกชัดเจนให้อีกฝ่ายตีความได้ว่า ไทยยอมรับเขตอำนาจของ ICJ ให้พิจารณาคดี ซึ่งที่ผ่านมาคดีที่เข้าข่ายต้องตีความมีไม่ถึง 5 คดี อีกทั้งยังมีหลักฐานหรือถ้อยแถลงมัดตัวชัดเจนว่า รัฐยอมรับอำนาจของศาลโลก
ดังกรณีข้อพิพาทช่องแคบคอร์ฟู ระหว่างแอลเบเนียกับสหราชอาณาจักร ซึ่งฝ่ายสหราชอาณาจักรยื่นฟ้องฟ้องแอลเบเนียฝ่ายเดียวต่อ ICJ ว่า แอลเบเนียไม่เตือนว่า ช่องแคบคอร์ฟูมีระเบิดอยู่ เป็นเหตุให้เรือรบอังกฤษแล่นชนและสร้างความเสียหายครั้งใหญ่ แม้แอลเบเนียจะไม่ได้ยอมรับเขตอำนาจศาลโลก แต่พบบันทึกข้อความที่ทางการเขียนว่า “แม้การดำเนินการของสหราชอาณาจักรไม่ได้เป็นไปตามกฎเกณฑ์ แต่แอลเบเนียพร้อมเข้าสู่กระบวนการพิจารณาความของ ICJ” ซึ่งเป็นเหตุให้ศาลโลกตีความต่อได้ว่า แอลเบเนียยอมรับอำนาจอย่างสมัครใจ ชัดเจน และโต้แย้งไม่ได้
ภาวัฒน์ยังหมายเหตุว่า ICJ มีกลไกเปิดให้รัฐต่างๆ ขอความเห็นทางกฎหมาย (Advisory Opinion) ผ่าน UNGA หรือ UNSC แต่ในความเป็นจริงไปได้ยาก ซึ่งมีมิติอำนาจและการต่อรอง ขณะที่ศาลโลกไม่ได้รับให้ความเห็นทุกกรณี โดยพิจารณาถึงความเหมาะสมขององค์กรในสถาบันตุลาการ (Judicial Propriety) เช่น หากให้คำแนะนำ แล้วส่งผลต่อหลักการพื้นฐานการยอมรับเขตอำนาจ ICJ ก็จะหลีกเลี่ยงไม่ให้คำแนะนำ
จากกรณีดังกล่าวทำให้ ฮิวจ์ เทิร์ลเวย์ (Hugh Thirlway) ศาสตราจารย์ด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และเลขาธิการฝ่ายกฎหมายประจำ ICJ ตั้งข้อสังเกตว่า บ่อยครั้งที่การยื่นฟ้องฝ่ายเดียว ถูกนำไปใช้ในทางที่ผิดในทางการเมือง โดยย้ำเป็นการยื่นฟ้องเพื่อสร้างกระแสในสาธารณะ แม้จะทราบกันดีอยู่แล้วว่า หากรัฐไม่ยินยอมเขตอำนาจของโลก ICJ ก็ไม่มีบทบาทอะไร
ฟังบทสนทนาทั้งหมดในการเสวนาได้ทาง https://www.youtube.com/watch?v=bcqWxJ4P7ZY&ab_channel=LawChulaChannel
Tags: ICJ, ปราสาทเขาพระวิหาร, ช่องบก, ปราสาทตาเมือนธม, การระงับข้อพิพาท, ปราสาทตาควาย, เขตอำนาจ, กัมพูชา, ไทย, ศาลโลก