“หากแม่น้ำเจ้าพระยาปนเปื้อนสารหนูเช่นแม่น้ำกก ปัญหานี้จะถูกจัดการภายในกี่วัน” ชาวบ้านริมแม่น้ำกกพูดขึ้นในวันที่ต้องลงถนนเป็นครั้งที่ 2 ในวันที่ 5 มิถุนายน ด้วยความฝืนทนออกห่างจากลำน้ำตามคำสั่งของภาครัฐ เนื่องจากสายน้ำปนเปื้อนสารพิษจากเหมืองทุนจีนในประเทศเมียนมา
อันที่จริงวิกฤตสายน้ำปนเปื้อนทั้งในจังหวัดเชียงใหม่และจังหวัดเชียงราย ไม่ได้ถูกรับรู้เพียงระยะ 2-3 วันนี้ หากแต่เป็นเวลาเกือบ 1 ปี ที่พวกเขามองเห็นความผิดปกติจากความขุ่นของแม่น้ำกก กระทั่งมีการตรวจพบสารหนูและสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐานในหลายจุดตามลำน้ำเมื่อเดือนมีนาคม 2568
แม้ล่วงเลยวันเวลาที่ตรวจพบสารพิษปนเปื้อนมาในแม่น้ำกกครั้งแรกมาหลายเดือน แต่ดูเหมือนภาครัฐยังไม่มองว่าวิกฤต เห็นได้จากการแก้ปัญหาครั้งนี้ที่ยังไม่มีผลลัพธ์เป็นชิ้นเป็นอัน แม้หลายๆ ฝ่ายจะชี้ว่า หากแม่น้ำกกมีสารพิษอยู่ตลอดลำน้ำเช่นนี้ อาจกลายเป็น ‘ระเบิดเวลา’ ของปัญหาที่ใหญ่กว่าในอนาคต
The Momentum พาไปดูว่ารัฐ ‘ล้มเหลว’ ในการแก้ปัญหาแม่น้ำกกอย่างไรบ้าง
1. ความวิกฤตที่รัฐยังมองว่าไม่วิกฤต
หากพูดถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นริมแม่น้ำกกในวันนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องเศรษฐกิจของพื้นที่ โดยเฉพาะเกษตรกร และชาวประมงที่ยังคงพึ่งพาแม่น้ำกกในการประกอบอาชีพ โดยมีการสำรวจแค่เฉพาะในอำเภอเวียงชัย และอำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงราย พบว่ามีพื้นที่ปลูกข้าวกว่า 5.8 หมื่นไร่ที่ยังคงใช้แม่น้ำกก ขณะที่ปลาซึ่งหาได้จากแม่น้ำกกเริ่มไม่เป็นที่นิยม และถูกกดราคาจากตลาดด้วยปัญหาความไม่แน่ใจว่า ยังกินได้โดยไม่เป็นอันตรายในระยะยาว
ถึงแม้ผลกระทบจะชัดเจนและยังมีแนวโน้มเป็นปัญหากับชาวบ้านริมลำน้ำมากขึ้น แต่การแก้ปัญหาของภาครัฐที่เห็นชัดในตอนนี้มีเพียงการตรวจสารพิษในลำน้ำกก ตรวจสารพิษในปลา ในพืชผลทางการเกษตร และในน้ำประปาหมู่บ้านและส่วนภูมิภาค ส่วนจะทำให้สารพิษในแม่น้ำหายไปได้อย่างไรนั้น ยังคงไม่มีแนวทางชัดเจน มีเพียงการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเช่น การแนะนำเกษตรกรที่ยังใช้น้ำจากแม่น้ำกกให้ปรุงดินด้วยปูนขาวเพื่อลดสารเคมี รวมไปถึงการสร้างฝายดักตะกอนที่ยังไม่สามารถให้ความมั่นใจได้ว่า จะช่วยลดสารพิษได้จริงหรือจะสร้างปัญหาใหม่ จากการต้องดูดตะกอนที่ปนเปื้อนไปไว้ในพื้นที่อื่นๆ
ที่สำคัญในส่วนที่รัฐทำอยู่แล้วอย่างการตรวจหาสารเคมี โดยกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กรมประมง และกรมควบคุมมลพิษ จากการลงพื้นที่สำรวจชุมชนบ้านร่มไทย ตำบลท่าตอน อำเภอแม่อาย จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งแม่น้ำกกไหลผ่าน จากปากคำของชาวบ้าน มีการสุ่มตรวจการปนเปื้อนในกลุ่มตัวอย่างเพียง 6 คน แต่ในผู้ที่สัมผัสกับแม่น้ำกกโดยตรงและมีผื่นตามลำตัว เนื่องจากต้องลงไปหาปลาที่ติดเชื้อให้กรมประมง นำไปตรวจสอบหาสารพิษกลับไม่ได้รับการตรวจหาสารปนเปื้อนในร่างกาย
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 5 มิถุนายน 2568 ในการประชุมชี้แจงสื่อมวลชนที่ศาลากลางจังหวัดเชียงราย ชรินทร์ ทองสุข ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงราย พร้อมกับหัวหน้าส่วนราชการที่เกี่ยวข้อง ทั้งสำนักงานสิ่งแวดล้อมและควบคุมมลพิษที่ 1 (เชียงใหม่) กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ เกษตรจังหวัด ประมงจังหวัด การประปาส่วนภูมิภาค จังหวัดเชียงราย ให้คำตอบในการตรวจสารพิษในคนว่า ได้มีการตรวจหาสารพิษในเลือดและปัสสาวะ โดยกรมอนามัย กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และกระทรวงสาธารณสุข ร่วมกันดำเนินการ โดยผู้ที่ไม่ได้รับการเข้าตรวจ เนื่องจากผู้ขอรับการตรวจอาจไม่ได้งดบริโภคอาหารบางประเภทเป็นระยะเวลา 7 วันจึงไม่สามารถตรวจได้
ทว่าเมื่อสอบถามเพิ่มเติมในที่ประชุมว่า หน่วยงานที่รับผิดชอบการตรวจได้กำกับให้ผู้ที่ต้องการตรวจงดอาหารตามระยะเวลาที่กำหนดหรือไม่ ยังไม่ได้รับคำตอบ ส่วนการเข้าตรวจอีกครั้งหลังงดอาหารตามที่กำหนดแล้ว มีความจำเป็นที่จะต้องขอรับการตรวจที่สถานีอนามัย หรือสถานพยาบาลในชุมชนเอง แสดงให้เห็นว่า การทำงานของภาครัฐในประเด็นนี้อาจมีการทำงานเชิงรุกไม่เพียงพอ ทั้งยังมีการทำงานที่สะเปะสะปะ แยกกันตรวจแยกกันหา ไม่เหมือนกับการบริหารจัดการในยามวิกฤตที่มีการตั้งศูนย์บริหารจัดการเฉพาะมาทำงาน เพื่อความเป็นเอกภาพในการแก้ปัญหา
มากกว่านั้นเมื่อไม่ได้ถูกมองว่าเป็นปัญหามากมาย การเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจึงยังไม่เกิดขึ้น แม้แต่การสำรวจว่า ในขณะนี้พื้นที่ริมแม่น้ำกก รวมถึงแม่น้ำสายอื่นๆ อย่างแม่น้ำรวก แม่น้ำสาย และแม่น้ำโขง ที่พบปลาติดเชื้อและมีสารโลหะหนักเกินค่ามาตรฐาน สูญเสียมูลค่าทางเศรษฐกิจมากน้อยขนาดไหนในวิกฤตครั้งนี้ก็ยังคงไม่มีข้อมูล
2. การสื่อสารล้มเหลว
สิ่งที่คิดว่า ภาครัฐควรจะทำได้ดีในสถานการณ์ที่น่ากังวลอย่างการ ‘สื่อสาร’ ก็ยังถือว่ามีปัญหาไม่น้อย เห็นได้จากกรณีที่ชาวบ้านอำเภอเวียงชัย และอำเภอเวียงเชียงรุ้ง จังหวัดเชียงรายตั้งคำถามไปยังรัฐบาลว่า ยังสามารถใช้น้ำจากแม่น้ำกกทำการเกษตรได้อยู่หรือไม่ เพราะรัฐบาลมีแต่ประกาศไม่ให้ประชาชนสัมผัสกับแม่น้ำกกโดยตรง แต่กลับไม่บอกว่าสามารถใช้หรือไม่สามารถใช้น้ำทำอะไรได้บ้าง
สิ่งนี้สร้างปัญหาอย่างมาก โดยเฉพาะกับชาวนาที่มีการใช้แม่น้ำกกราว 5.8 หมื่นไร่ ที่ไม่มั่นใจว่า ยังใช้น้ำกกได้หรือไม่ ในขณะที่การขุดเจาะน้ำบาดาลทำให้ต้นทุนทำการเกษตรเพิ่มขึ้น เกษตรกรที่เลี้ยงวัวและควายที่ไม่เชื่อมั่นในคุณภาพน้ำ จำต้องเลี่ยงที่จะพาสัตว์เลี้ยงไปกินหญ้าสดที่ขึ้นอยู่ริมแม่น้ำกก ส่วนชาวประมงน้ำจืดส่วนหนึ่งยังคงจับปลาในแม่น้ำกก เนื่องจากไม่มั่นใจว่า ปลานั้นยังกินได้หรือไม่ได้ มีแต่การให้หลีกเลี่ยงการกินในปริมาณมากเท่านั้น
ที่น่าตั้งคำถามคือ การสื่อสารจากหน่วยงานภาครัฐที่มักใช้คำว่า ‘ไม่เกินค่ามาตรฐาน’ ว่า หมายถึงปลา พืชผัก และน้ำประปานั้นมีสารปนเปื้อนอยู่ แต่มีปริมาณที่ไม่เกินค่ามาตรฐานใช่หรือไม่ และจะเชื่อมั่นได้อย่างไรว่า เมื่อบริโภค-อุปโภคมากเข้า จะไม่เป็นการสะสมจนกลายเป็น ‘ระเบิดเวลา’ นำมาซึ่งอาการเจ็บป่วยภายหลัง สิ่งนี้ยังไม่ได้รับการสื่อสารจากภาครัฐสู่ประชาชนมากพอ
3. เจรจาแบบลมๆ ไม่มีผลลัพธ์ชัดเจน
ปัจจุบันรัฐบาลมีการตั้งคณะทำงาน 4 ชุด เพื่อแก้ปัญหาในระยะยาว หนึ่งในนั้นคือคณะทำงานเตรียมเจรจา ประสานความร่วมมือระหว่างประเทศ ซึ่งจะทำหน้าที่ในการเจรจากับทางการเมียนมาและจีนเพื่อให้ ‘ยุติ’ การทำเหมืองหรือให้ปรับรูปแบบการทำเหมืองที่ไม่กระทบกับสิ่งแวดล้อม
ถึงกระนั้นความคืบหน้าล่าสุดตั้งแต่มีการปนเปื้อนในแม่น้ำกก และในขณะนี้พบว่า มีการปนเปื้อนในแม่น้ำมากถึง 4 แห่งแล้ว คือการส่งจดหมายให้ทางการเมียนมา โดยได้รับการตอบรับแล้ว แต่ยังไม่มีการนัดวันเจรจาอย่างเป็นทางการ ขณะที่สถานเอกอัครราชทูตสาธารณรัฐประชาชนจีนประจำประเทศไทย เคลื่อนไหวผ่าน Facebook เมื่อวันที่ 8 มิถุนายน 2568 ว่า “ฝ่ายจีนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับเหตุการณ์การปนเปื้อนโลหะหนัก ในแม่น้ำสาขาของแม่น้ำโขงในประเทศไทย และได้เห็นว่า มีรายงานผลการตรวจสอบของรัฐบาลไทยและหน่วยงานท้องถิ่นที่เกี่ยวข้องซึ่งเผยแพร่ออกมาเมื่อเร็วๆ นี้ ฝ่ายจีนสนับสนุนให้ไทยและเมียนมาเสริมสร้างการสื่อสารและการประสานงาน ดำเนินการสอบสวนด้านวิทยาศาสตร์และมีความรับผิดชอบ และแก้ไขปัญหาด้วยการเจรจาอย่างเป็นมิตร”
ฝ่ายจีนกำหนดให้บริษัทจีนที่อยู่ในต่างประเทศปฏิบัติตามกฎหมายของประเทศนั้น รวมถึงดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายและกฎระเบียบโดยตลอด ยินดีที่จะร่วมมืออย่างใกล้ชิดกับประเทศต่างๆ ในลุ่มแม่น้ำโขง เพื่อร่วมกันปกป้องสิ่งแวดล้อมระบบนิเวศและคุณภาพน้ำในลุ่มแม่น้ำโขง”
ทั้งนี้แม้การตั้งคณะทำงานแต่ละชุดจะเป็นความคืบหน้าที่ดี ในการจัดการวิกฤตสารปนเปื้อนในแม่น้ำ แต่หากดูผลลัพธ์ในตอนนี้ ประเทศไทยยังไม่มีแม้กระทั่งข้อมูลของเหมืองแต่ละแห่งที่ตั้งอยู่ในพื้นที่รัฐฉาน ลุ่มน้ำกก ก่อนไหลเข้าสู่ประเทศไทยแม้แต่แห่งเดียว มีแต่ภาพถ่ายทางอากาศจากภาคประชาชนเท่านั้น
4. ‘สร้างเขื่อน’ แก้ปัญหาปลายเหตุ ที่อาจทำให้เกิดปัญหาใหม่
เมื่อไม่สามารถยุติการทำเหมืองได้ในระยะเวลาอันใกล้ สิ่งที่รัฐบาลทำคือ การแก้ปัญหาในประเทศแทนจะแก้ที่ต้นตอในต่างประเทศ ด้วยการสร้างเขื่อนดักตะกอนที่ปนเปื้อนจากเหมือง ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลให้เกิดขึ้น โดย ธีรรัตน์ สำเร็จวาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงความคืบหน้าว่า ขณะนี้มีการวางแผนสร้างเขื่อนเบื้องต้น 2 จุดใหญ่ และมีการจัดทำแผนเสนอของบประมาณจากสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติแล้ว
อย่างไรก็ตามนับตั้งแต่ ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ออกมาพูดถึงการสร้างเขื่อนดักตะกอนตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคมว่า สร้างความวิตกกังวลแก่นักสิ่งแวดล้อมมากว่า จะสร้างปัญหาใหม่ขึ้น เนื่องจากการสร้างเขื่อนอาจไม่สามารถขวางกั้นสารหนูที่สามารถละลายไปกับน้ำได้
สรพร เพ็งค่ำ ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาระบบประเมินผลกระทบทางสุขภาพโดยชุมชน แสดงทัศนะต่อการสร้างฝายดักตะกอนกับ The Momentum ว่า การสร้างเหมืองอาจสร้างปัญหาใหม่ เนื่องจากการทำเหมืองในรัฐฉานมีการเปิดหน้าดินปริมาณมาก อาจทำให้การสะสมตะกอนเหนือเขื่อนเป็นปัญหาและต้องดูดไปเก็บไว้ในที่อื่น
ทั้งนี้สิ่งที่น่าสะพรึงกลัวไม่ใช่แค่ตะกอนดินธรรมดา แต่เป็นสารพิษที่ปนเปื้อนอยู่ในตะกอนดิน มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีพื้นที่เฉพาะในการเก็บ เพราะถ้าหากจัดเก็บไว้ไม่ดีพอก็อาจเกิดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมซ้ำสอง
“จุดที่สร้างเขื่อนจะถูกเปลี่ยนระบบนิเวศ ในขณะที่เราไม่ได้หยุดแหล่งกำเนิดสารปนเปื้อนจากเหมืองข้างบน ตะกอนก็จะไหลลงมา ไทยก็จะต้องดูดดินที่ปนเปื้อนสารมาจากเหมืองไปเก็บที่ไหนสักแห่ง”
ปัญหาการปนเปื้อนในแม่น้ำกกกำลังจะกลายเป็นปัญหาเก่า ที่รัฐบาลไม่สามารถจัดการได้ และหากปล่อยไว้นานมีแต่จะทำให้แม่น้ำกลายเป็นนรกขุมใหม่ของคนในพื้นที่มากขึ้นเรื่อยๆ
คำถามคือ รัฐบาลไทยมีศักยภาพแค่ไหนในการจัดการวิกฤตแม่น้ำปนเปื้อนสารพิษ และจะใช้เวลาอีกนานเท่าไรกว่าแม่น้ำกก แม่น้ำสาย แม่น้ำรวก และแม่น้ำโขง จะกลับคืนสภาพที่ปกติได้ สิ่งนี้ยังคงไม่มีคำตอบที่ชัดเจน
Tags: เหมืองทองคำ, สภาการพิพิธภัณฑ์ระหว่างชาติ, เหมืองแรร์เอิร์ธ, แม่น้ำโขง, สารหนู, สารพิษ, สารโลหะหนัก, ทุนจีน, แม่โขง, เมียนมา, แม่น้ำกก, แม่น้ำสาย, แม่น้ำรวก, Feature, การปนเปื้อน, รัฐบาล