1.
ถึงตอนนี้ คำถามสำคัญท่ามกลางความชุลมุนทางการเมืองไทยก็คือ แล้วเราจะไปอย่างไรต่อ
สงครามระหว่างพรรคเพื่อไทยและพรรคภูมิใจไทยเกิดขึ้นชัดเจน ว่าด้วยเรื่องความพยายามล้มสมาชิกวุฒิสภาชุดนี้ ผ่านขั้นตอนการทำงานของกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) ขณะที่วุฒิสภาก็สู้กลับด้วยการยื่นตรวจสอบรัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ต่อศาลรัฐธรรมนูญ จนกระทั่ง ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีฯ เจ้าของเรื่อง ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่คุม DSI ชั่วคราว
สงครามตัวแทนเดินต่อไป ท่ามกลางข่าวการปรับคณะรัฐมนตรี และการเติบโตของพรรค ‘กล้าธรรม’ พรรคเกิดใหม่ที่เดินหน้ารวบรวมเสียง สส. เพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง และคานอำนาจด้วยเกมแบบเดียวกับที่ ‘สีน้ำเงิน’ เคยเดิน อำนาจต่อรองของกล้าธรรมกำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลางสมรภูมิที่ทุกคนจับตามองว่า หากเสียงมากพอ พรรคเพื่อไทยจะเขี่ยพรรคภูมิใจไทยออกจากสมการการร่วมรัฐบาลได้สำเร็จไปพร้อมๆ กับการล้มสมาชิกวุฒิสภาสีน้ำเงิน
ขณะเดียวกันในอีกห้วงเวลาหนึ่ง เรื่องของ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จากเดิมที่เคย ‘ทางสะดวก’ ภายใต้ความเชื่อว่า มี ‘ดีล’ ที่ใช้ทักษิณกำจัดพรรคส้ม ก็ดูจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แพทยสภาเพิ่งลงโทษทางจริยธรรมแพทย์ที่เกี่ยวข้องกับการรักษาทักษิณ ด้วยเหตุเอกสารทางการแพทย์ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง และทักษิณก็ถูกล็อกไว้ในประเทศไทย ไม่ได้รับอนุญาตให้ออกไปนอกประเทศในวันเดียวกัน
แต่การเมืองไทยไม่ได้มีแค่เรื่องที่อยู่เบื้องหน้า แต่ยังมีเรื่องที่อยู่หลังฉาก เต็มไปด้วยตัวละครที่เอ่ยชื่อทั้งได้และไม่ได้ คอยว่าราชการหลังม่าน กำหนดความเป็นไปทางการเมือง
สิ่งสำคัญคือ ทำทุกอย่างให้มั่วเข้าไว้ ให้มึนๆ อึนๆ เข้าไว้ แล้วหาช่วงเวลาที่ ‘ทางสะดวก’ เปิดทางให้ตัวเองเข้ามามีอำนาจมากขึ้น
เป็นเรื่องที่วนซ้ำแล้วซ้ำอีกตลอดเส้นทางของการเมืองไทย
2.
แต่สิ่งสำคัญก็คือความมึน ความอึนในทางการเมืองนี้ เกิดขึ้นในระหว่างห้วงเวลาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งสำคัญ โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ขึ้นภาษีตอบโต้ (Reciprocal Tax) กับประเทศคู่ค้าทั่วโลก โดยแม้ยังไม่ชัดเจนว่า ถึงที่สุดแล้วเราจะอยู่กับอัตราภาษีเท่าไร แต่การค้าระหว่างประเทศก็ได้รับผลกระทบอย่างหนักแล้ว
วิกฤตการค้าระหว่างประเทศ ซ้ำเติมจากวิกฤตภายใน เดิมเศรษฐกิจไทยชะลอตัวลงต่อเนื่องมาเป็นเวลาหลายปี ตั้งแต่วิกฤตโควิด-19 ช่วงเวลาที่เศรษฐกิจหักหัวลงยังไม่มีช่วงเวลาไหนที่ลืมตาอ้าปากได้จริง อุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมเชิดหน้าชูตาของประเทศ ชะลอตัวหนักสุดเป็นประวัติการณ์ หนี้ครัวเรือนสูงที่สุดในรอบหลายปี หากมาเลเซีย ไต้หวัน มีอุตสาหกรรมไฮเทค อุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ เป็นตัวชูโรง ไทยยังคงอยู่ในสถานะ ‘รับจ้างผลิต’ ต่อไป ไม่ได้มีนวัตกรรม ไม่มีอุตสาหกรรมที่มีขนาดใหญ่มากพอที่จะเข้าไปอยู่ในห่วงโซ่อุปทานของโลก
และพร้อมๆ กันกับสถานการณ์การเมือง สถานการณ์ทางเศรษฐกิจแบบนี้ เราก็เกิดเหตุการณ์ตึกสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ถล่ม ที่ทำให้มีผู้เสียชีวิตนับร้อยคน…
ตึก สตง.ถล่ม เปิดแผลสำคัญอีกอย่างในห้วงเวลาวิกฤต แม้วันนี้จะยังไม่สามารถสรุปสาเหตุได้ แต่หลายอย่างบ่งชี้ความผิดปกติ ที่น่าจะโยงลากเส้นไปยังคำจำกัดความใหญ่อย่างคำว่า ‘คอร์รัปชัน’
เรื่องย้อนแย้งก็คือ สตง.คือ Audit ของชาติ ที่มีหน้าที่ตรวจสอบการใช้เงินในบรรดาหน่วยงานรัฐทั้งหมด แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นตึก สตง.ที่ถล่มเสียเอง
ตึก สตง.เพียงตึกเดียว สะท้อนให้เห็นระบอบการเมืองที่ผิดปกติ นับตั้งแต่การรัฐประหาร 2557 เป็นต้นมา ได้พาประเทศไทยดำดิ่งไปอีกขั้น บริษัทนอมินีที่ดูก็รู้ว่า ‘ปลอม’ รับงานโครงการรัฐใหญ่ๆ เพียบ และรับเฉพาะงานโครงการรัฐด้วยซ้ำ โครงการรัฐขนาดใหญ่ลงทุนกับ ‘เฟอร์นิเจอร์’ มากกว่าลงทุนในโครงสร้างอาคาร ผู้บริหารบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่ระดับโลกคนไทยถูกออกหมายจับ โดนตั้งข้อหาว่าอาจมีส่วนในขบวนการลดสเป็กอาคาร
นี่คือความสิ้นหวังองค์รวมที่ทำให้หลายคนตั้งข้อสังเกตว่า เราอาจกำลังอยู่ในสภาวะ Failed State หรือ ‘รัฐล้มเหลว’ แม้จะเกิดข้อถกเถียงว่าไม่ตรงกับนิยามนี้มากนัก แต่ก็สะท้อนความ ‘สิ้นหวัง’ ท่ามกลางวิกฤตว่าเราจะไปต่ออย่างไร
3.
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บทความชิ้นหนึ่งของบีบีซีไทย สัมภาษณ์ศาสตราจารย์ เจมส์ เอ. โรบินสัน (James A. Robinson) หนึ่งในผู้เขียนหนังสือ Why Nations Fail สะท้อนว่า ไทยอาจยังไม่ได้ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แต่เป็นสถานการณ์ที่คล้ายกับแนวคิด ‘รัฐกระดาษ’ (Paper Leviathan) ที่แม้จะมีโครงสร้างและกฎหมายที่เหมือนว่าจะดี แต่กลับไม่สามารถทำงานได้จริง
โรบินสันชี้เป้าไปว่า ปัญหาของไทยคือ รัฐและสังคมอ่อนแอ ขณะที่กองทัพยังมีบทบาทอย่างสูงในการชี้นำสังคม และทั้งสองอำนาจนี้จะปะทะกันต่อไป ในเวลาเดียวกับที่ระบบอุปถัมภ์งอกเงยขึ้นเรื่อยๆ
ข้อสำคัญคือต้องแสวงหาฉันทมติร่วมกัน เพื่อไปต่อ โดยยกตัวอย่างเกาหลีใต้ ที่สุดท้ายแล้วกองทัพยอมถอย เปิดโอกาสให้การเมืองแบบประชาธิปไตยเติบโต
แต่โจทย์ที่ซับซ้อนของสังคมไทยคือ การเมืองไทยไม่ได้ตรงไปตรงมาขนาดนั้น เรามี ‘ผู้เล่น’ ที่เป็นตัวแสดงหลัก ที่เป็นหน้าฉาก มีระบอบประชาธิปไตย มีการเลือกตั้ง มีรัฐธรรมนูญที่เคลมว่าผ่านประชามติ และผู้มีอำนาจใช้ ‘ความชอบธรรม’ เหล่านี้ ในการขึ้นสู่อำนาจ ไม่ว่าจะมาตรงๆ หรือ ‘บิดๆ’ มา เมื่อเวลาเกิดปัญหาก็จะบอกอีกครั้งว่า รัฐธรรมนูญและ ‘ความชอบธรรม’ เดิม ไม่สามารถพาประเทศให้ไปต่อข้างหน้าได้
ขณะเดียวกัน ผู้มีอำนาจ (ไม่ว่าคุณจะนิยามว่าเป็นใคร) ก็ยังต้องการเป็น Winner takes All อยู่ดี และพวกเขายอมทำทุกทางไม่ว่าจะแลกด้วยอะไร บทเรียนสำคัญคือ วิกฤตการเมืองไทย 20 ปีที่ผ่านมา ได้สะท้อนให้เห็นข้อนี้อย่างเด่นชัด
ความยากก็คือ หากบอกว่าต้องสร้าง ‘ฉันทมติร่วม’ เราก็ไม่อาจรู้ได้อยู่ดีว่าฉันทมติที่สร้างคือระหว่าง ‘ใคร’ กับ ‘ใคร’
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงต้องการให้ระบบการเมืองที่มีอยู่มันมึนๆ อึมครึมเข้าไว้ ให้พวกเขามีโอกาสสอดแทรกอำนาจที่มั่วๆ ได้
4.
วันที่ผมนั่งเขียนบทความชิ้นนี้ เป็นวันครบรอบ 33 ปี ของเหตุการณ์ความรุนแรงเดือนพฤษภาคม 2535 พอดี วันนั้นทุกคนเชื่อตรงกันว่า ‘ทหาร’ จะหมดบทบาทในทางการเมืองไทย การรัฐประหารจะเป็นเรื่องล้าหลัง ความตายของผู้คนในเหตุการณ์ดังกล่าว นำมาซึ่งรัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดของไทย และคาดหวังว่าจะเป็นฉันทมติใหม่ของสังคมอย่างรัฐธรรมนูญ 2540
แต่รัฐธรรมนูญที่ดีที่สุดก็มีอายุเพียง 9 ปี ด้วยเหตุผลเดียวกันอีกคือ เราผลักรัฐธรรมนูญนี้ออกไป ด้วยการบีบสถานการณ์ให้ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะสุญญากาศ ในวันที่ทักษิณเป็นนายกฯ
จริงอยู่ รัฐบาลที่มีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำ เกิดขึ้นด้วยระบบรัฐสภา เกิดจากการรวมเสียงของพรรคการเมืองตามปกติ แต่เรื่องที่อยู่หลังฉาก ทุกคนรู้กันดีว่าเป็นด้วย ‘ชนชั้นนำ’ ลงความเห็นว่า ไม่ต้องการให้พรรคก้าวไกลเป็นรัฐบาล หากพรรคเพื่อไทยทำให้เศรษฐกิจดีได้ คนจะเลิกสนใจเรื่องการ ‘เปลี่ยนโครงสร้าง’ ลืมเรื่องการหาฉันทมติ และลืมการเคลื่อนไหวบนท้องถนนเมื่อปี 2563-2564
แต่สิ่งที่ชนชั้นนำไม่รู้และยังตอบไม่ได้ก็คือ หากรัฐบาลพรรคเพื่อไทย หาก ‘ทักษิณ’ ทำอย่างที่เขาต้องการไม่ได้ จะเกิดอะไรขึ้นต่อไป หรือหาก ‘ทักษิณ’ ไม่อาจเป็นตัวแทนของ ‘ชนชั้นนำ’ ไทย จะเกิดอะไรขึ้นต่อ และในเวลาเดียวกันก็มีกลุ่มการเมืองกลุ่มใหม่ที่พยายามแสดงพลังว่า พวกเขาสามารถตอบแทน ‘ชนชั้นนำ’ ได้ดีกว่าเครือข่ายทักษิณ
นี่คือความน่ากลัวของการเมืองแบบ ‘ดีล’ ที่กำลังเกิดขึ้นอยู่วันนี้ ทำทุกอย่างให้มึนๆ ให้อึมครึม ไม่ต้องแสวงหาฉันทมติ แต่พร้อมสอดแทรกทุกอย่างทุกเวลา
ทั้งหมดนี้ไม่ได้มีประชาชนอยู่ในสมการ ไม่สามารถตอบคำถามได้ว่า จะแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจอย่างไร เพียงเพราะเขาเชื่อว่า ระบบนี้เป็นระบบที่ดีที่สุด
ไม่ใช่ระบบที่ดีที่สุดสำหรับประชาชน แต่เป็นระบบที่ดีที่สุดของพวกเขา…
Tags: วุฒิสภา, ภูมิใจไทย, พรรคประชาชน, สว.สีน้ำเงิน, สตง., การเมืองไทย, ชนชั้นนำ