“กูรู้ว่ามึงเป็นสายให้พวกอังกฤษ สารภาพทุกอย่างมาเดี๋ยวนี้!”

1

วันที่ 18 พฤษภาคม 1985 พันเอก โอเล็ก กอร์ดิเยฟสกี (Oleg Gordievsky) วัย 56 ปี เดินทางด้วยเครื่องบินจากลอนดอนถึงมอสโก ด้วยความหวาดผวา

หากจะถูกจับ สนามบินคือจุดที่เหมาะสมสุด เพราะมีเจ้าหน้าที่แฝงตัวเป็นจำนวนมาก กอร์ดิเยฟสกีเห็นหลายคนพยายามปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยว แต่ไม่เหมือน กระนั้นเจ้าหน้าที่เหล่านี้ก็จ้องเขาไม่กะพริบ ดูทุกความเคลื่อนไหว

ก่อนหน้านี้เขาได้รับคำสั่งให้กลับสหภาพโซเวียต แม้เพื่อนร่วมอาชีพจะกังวล มันอาจเป็นทั้งกับดักและอันตรายถึงชีวิต แต่ไม่ลองไม่รู้ เขาตัดสินใจขึ้นเครื่องบินกลับบ้านเกิดมาตุภูมิ แผ่นดินที่เขา(เคย)รักและบูชา

หากเขาถูกจับกุมตัวที่สนามบินมอสโก เจ้าหน้าที่จะพาเขาไปสอบสวนอย่างดุเดือด จะทรมานจนกว่าจะได้รับคำสารภาพหยดสุดท้าย

จากนั้นพันเอกโอเล็กถึงจะได้รับการอนุญาตให้ตายด้วยการประหารชีวิต

อย่างไรก็ดีสิ่งนี้ไม่เกิดขึ้นที่สนามบิน เขาเรียกแท็กซี่ไปยังแฟลตในเมือง ห้องพักเขาอยู่ที่ชั้น 8 อาคารแห่งนี้คืออภิสิทธิ์ที่คนธรรมดาไม่อาจเข้าอยู่ได้ ต้องมีตำแหน่งและอำนาจรับผิดชอบบางอย่าง ถึงจะได้อาศัย

กอร์ดิเยฟสกีไม่ได้กลับมาที่ห้องนานแล้ว นับตั้งแต่ไปรับรัฐการอยู่ต่างแดน ช่วงเวลานี้เขาอยู่ในจุดสูงสุดของอาชีพ ดำรงตำแหน่งที่หลายคนใฝ่ฝัน

แต่การถูกเรียกตัวกลับมา เต็มไปด้วยความน่าสงสัยอย่างยิ่ง แผนสำรองทุกอย่างถูกตระเตรียม อย่างไรก็ดีพอลงสนามบินแล้วไม่ถูกคุมตัว เขาก็ค่อยเบาใจ

แต่แล้วชั่ววินาทีที่โล่งอก ก็หายไปในฉับพลัน เมื่ออยู่ตรงหน้าประตู เขาตกเป็นเป้าหมายสำคัญของทางการเรียบร้อยแล้ว เพียงแค่สังเกตจากกลอนประตู กอร์ดิเยฟสกี ชายที่อยู่ในโลกแห่งการตลบตะแลงมาตลอดชีวิตก็รู้ดีว่า อันตรายได้คืบคลานหาเขา มัจจุราชในคราบมนุษย์กำลังรอคอยจะเชือดเขาในวินาทีใด วินาทีหนึ่งนับจากนี้

ห้องพักของเขามีกลอนล็อก 3 ชั้น แต่ปกติกอร์ดิเยฟสกีจะล็อกแค่ 2 ชั้นเท่านั้น นี่เป็นแฟลตที่ใครยากจะงัดแงะขโมย หรือเข้ามายุ่มย่ามห้องอื่นได้

เขาไม่เคยล็อกกลอนตัวที่ 3 แต่ดูเหมือนขณะนี้กลอนประตูห้องตัวที่ 3 ของเขากลับถูกล็อกไว้อย่างน่าพิศวง ในเมื่อเมียกับลูกยังอยู่ที่อังกฤษ

นั่นหมายความว่ามีคนเข้าไปในห้องนี้ และด้วยความไม่ได้ระมัดระวัง ผู้บุกรุกจำไม่ได้ว่ากลอนตัวที่ 3 ถูกล็อกไว้ก่อนหรือไม่ อาจเพราะมือใหม่หรือสะเพร่า ขณะออกจากห้องแห่งนี้ มันคนนั้นได้ล็อกกลอนทั้งหมดไว้

ตึกแห่งนี้เป็นที่พักของเจ้าหน้าที่และครอบครัวจากหน่วยข่าวกรองนามน่าเกรงขามว่า คณะกรรมการความมั่นคงแห่งรัฐ หรือชื่อภาษารัสเซียคือ Komitet gosudarstvennoy bezopasnosti เรียกย่อเป็นที่รู้จักทั้งโลกว่า KGB 

ใช่แล้ว พันเอกกอร์ดิเยฟสกีเป็นเจ้าหน้าที่ของหน่วยงานนี้ ในตำแหน่งหัวหน้าเคจีบีที่อังกฤษ ซึ่งสะท้อนความเก่งกาจของเขาเป็นอย่างดี ที่ได้ประจำทำงานในชาติที่เป็นศัตรูตัวเอ้ของพรรคคอมมิวนิสต์สหภาพโซเวียต

อีกด้านและตัวตนหนึ่งอันปิดลับของชายคนนี้ เจ้าตัวกำลังหวั่นใจว่า เคจีบีรู้หรือมีคนทรยศแฉเขาเสียแล้ว ระหว่างกำลังสงสัยกลอนประตูตัวที่ 3 นี่แหละที่ไขปริศนาทุกอย่าง

พวกเขารู้แล้วว่า กอร์ดิเยฟสกีเป็นสายลับสองหน้า 

หนอนบ่อนไส้ของอังกฤษ

2

กอร์ดิเยฟสกีอาศัยอยู่ในโลกข่าวกรองตั้งแต่เด็ก พ่อของเขาคือสมาชิกระดับสูงของเคจีบี ที่อุทิศชีวิตเพื่อสหภาพโซเวียตและพรรคคอมมิวนิสต์ ขณะยังเด็ก โอเล็กจะเห็นบิดาสุดที่รักแต่งชุดอย่างเป็นทางการและออกไปทำงานเสมอ ไม่เว้นแม้กระทั่งวันหยุดสุดสัปดาห์

เขาเติบโตในแฟลตของเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง มีเพื่อนที่พ่อก็ทำงานด้านนี้เช่นกัน ตั้งแต่วัยเด็กโอเล็กรักสหภาพโซเวียตและรังเกียจตะวันตก เจ้าตัวเรียนเก่งมากจนถูกคัดเลือกให้เข้าสถาบันความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หรือเป็นที่รู้จักกันดีว่า มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดฉบับโซเวียต

ที่นี่ กอร์ดิเยฟสกีถูกดึงตัวไปทำงานเป็นสายลับเคจีบี โดยได้เปิดโลกกว้าง ผ่านทางสถานศึกษา ซึ่งมีหนังสือพิมพ์ต่างประเทศมากมาย เพื่อให้เหล่านักศึกษาได้รู้ทันภัยร้ายของทุนนิยมตะวันตก

ยามค่ำคืนกอร์ดิเยฟสกีหนุ่มจะแอบเปิดฟังคลื่นวิทยุ BBC รายงานข่าวต่างประเทศอยู่เป็นประจำ โดยไม่มีใครจับได้

เมื่อเรียนจบเข้าทำงาน เขาเห็นเบอร์ลิน อดีตเมืองหลวงของเยอรมนี ถูกแบ่งแยกเป็นตะวันออกและตะวันตก มีการสร้างลวดหนามอันนำไปสู่กำแพงเบอร์ลินในเวลาต่อมา

ช่วงเวลานั้นเขาถูกส่งไปประจำการที่เดนมาร์กและมีโอกาสได้ฟังเพลงตะวันตก อ่านนวนิยายจากอังกฤษและอเมริกา นัยว่าเพื่อจะสู้กับทุนนิยม ก็ต้องอ่านงานพวกนี้จะได้รู้เท่าทันภัย

สายลับมือใหม่ ได้รู้จักกีฬาที่ชื่อว่าแบดมินตัน และเขาเล่นมันอย่างแข็งขันจนเก่งกาจ พร้อมทั้งตกหลุมรักเสรีภาพในเดนมาร์ก ซึ่งมีความก้าวหน้ายิ่งกว่าชาติใดในโลก

“ตอนนั้นผมรู้สึกอิ่มเอม รู้สึกถึงความเป็นมนุษย์”

อย่างไรก็ดีงานของเขาคือการคุยกับพวกฝ่ายซ้าย สหภาพแรงงานในเดนมาร์ก เพื่อทาบทามให้เห็นใจโซเวียต ก่อนจะยกระดับความสัมพันธ์ส่งข้อมูลสำคัญๆ มาให้

ชีวิตการทำงานของกอร์ดิเยฟสกีก้าวหน้าอย่างมาก หัวหน้าเคจีบีพอใจการทำงานของหนุ่มน้อยรายนี้ ตอนนั้นสายลับมือใหม่มีเพื่อนรักที่ทำงานอยู่ต่างแดน ทั้งสองแชร์ทัศนคติที่ค่อนข้างจะชอบโลกตะวันตกที่มีเสรีภาพและความเจริญรุ่งเรือง ซึ่งหาไม่ได้เลยในบ้านเกิดโซเวียต

ทั้งสองไว้ใจ เชื่อใจ และเก็บความรู้สึกนี้ไว้ไม่บอกใคร

จุดเปลี่ยนสำคัญที่สุดในชีวิตของกอร์ดิเยฟสกีเกิดขึ้น ในวันที่ 20 สิงหาคม 1968 เมื่อกองทัพสหภาพโซเวียตบุกเข้าไปในเชโกสโลวาเกีย เพื่อทำลายการลุกฮือต่อต้านการครอบงำของมอสโก สิ่งนี้สร้างความช็อกให้กับสายลับหนุ่มมาก

“พวกเขาทำมันจนได้ ใจผมแหลกสลาย” กอร์ดิเยฟสกีโทร.กลับไปหาภรรยา ด้วยความตรอมใจ เขาไม่คิดว่าชาติบ้านเกิดจะก่อเหตุรุกรานประเทศอื่นอย่างโหดเหี้ยมเพียงนี้

ไม่เพียงเท่านั้น พี่ชายของกอร์ดิเยฟสกีซึ่งรับใช้ชาติอย่างไม่ตั้งคำถามตามรอยพ่อ แต่นั่นทำให้เขาเห็นความบัดซบฉ้อฉล โหดร้ายและไร้ประสิทธิภาพของบ้านเกิดตัวเอง จนหันไปพึ่งเหล้า และตายไปด้วยวัยเพียง 39 ปีเท่านั้น

เช่นเดียวกับเพื่อนรัก ที่ตัดสินใจแปรพักตร์ไปร่วมกับตะวันตก ก่อนมอบข้อมูลว่าโอเล็กก็มีมุมมองที่ควรเข้าไปพูดคุย

เมื่อหน่วยข่าวกรองเดนมาร์ก ซึ่งดักฟังโทรศัพท์พบบทสนทนาระหว่างโอเล็กกับภรรยา ได้รับข้อมูลจากมิตรสนิทของโอเล็ก พวกเขาก็รุดเข้าไปทาบทาม เพื่อขอข้อมูล

เช่นเดียวกัน เวลานั้นหน่วยข่าวกรองลับ MI6 ของอังกฤษก็จ้องกอร์ดิเยฟสกีตาเป็นมัน เมื่อเดนมาร์กประกบ ลอนดอนก็ไม่รอช้า ส่งเจ้าหน้าที่ไปทาบทาม

และแล้วมันก็สำเร็จ

3

สายลับโซเวียตยอมให้ความร่วมมือ มอบข้อมูลบางอย่าง เช่น รายชื่อสายลับในคราบนักการทูต และแผนงานต่างๆ แก่สายลับอังกฤษ ที่จริงแล้วตอนเริ่มต้นทาบทาม พวกเขาคุยกันอย่างสนุกสนาน เพราะกอร์ดิเยฟสกีรอบรู้เรื่องตะวันตก เนื่องจากอ่านหนังสือมามาก แม้จะไม่เคยด่าโซเวียต แต่ดูก็รู้ว่าหลงใหลในศัตรูมากกว่าบ้านเกิด

ทีแรกกอร์ดิเยฟสกีตกลงว่า เขาจะไม่รับเงิน จะไม่ส่งมอบรายชื่อเคจีบีที่เป็นเพื่อนร่วมงานแก่อังกฤษ อันอาจนำไปสู่อันตรายแก่พวกเขาได้

กระนั้นความร่วมมือก็ดำเนินไปอย่างช้าๆ กินเวลาไม่นานกอร์ดิเยฟสกีก็รับเงิน และค่อยๆ ส่งรายชื่อสายลับและปฏิบัติการของสหภาพโซเวียตแก่อังกฤษ

เขาแปรพักตร์เป็นสายลับสองหน้าอย่างเต็มภาคภูมิ

ข้อมูลของชายคนนี้ล้ำค่าเอามากๆ เพราะทำให้อังกฤษและอเมริการู้ทุกความเคลื่อนไหวของผู้นำพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียต รู้ความประสาทแดกของผู้นำดินแดนหลังม่านเหล็ก ที่หลอนคิดไปเองว่าชาติตะวันตกจะยิงระเบิดนิวเคลียร์ใส่

ไม่เพียงเท่านั้นอังกฤษและอเมริกายังรู้เครือข่ายสายลับของสหภาพโซเวียตทั่วทั้งยุโรป ด้วย การทำงานส่งข้อมูลลับๆ ของกอร์ดิเยฟสกีเปี่ยมประสิทธิภาพ ถึงขนาดนายกรัฐมนตรีอังกฤษและประธานาธิบดีอเมริกา ถึงกับแปลกใจที่หน่วยข่าวกรองของพวกเขามีสายข่าวที่ลึกเป็นอย่างมาก

กระนั้นอังกฤษก็ไม่คายข้อมูลทั้งหมดให้อเมริกา เพราะพวกเขาหวั่นเกรงว่าในซีไอเอจะมีสายลับโซเวียตแฝงตัวอยู่

3 ปีต่อมา กอร์ดิเยฟสกีได้รับการแต่งตั้งให้เป็นหัวหน้าเคจีบีประจำอังกฤษ หรือที่รู้จักกันในชื่อเฉพาะว่า เรซิเดนต์ (Rezident) นั่นทำให้การส่งข้อมูลให้กับ MI6 ยิ่งง่ายกว่าเดิมด้วย

วิธีการทำงานของกอร์ดิเยฟสกีนั้นเสี่ยงภัยอย่างมาก เขาไม่สามารถนำเอกสารออกจากสถานทูตได้ และไม่อาจเอากล้องไปถ่ายเอกสารเหล่านี้ แม้เทคโนโลยีที่อังกฤษให้จะสร้างอย่างล้ำยุคโดยทีมงานที่เก่งเหมือนคิว ยอดนักประดิษฐ์ในภาพยนตร์ชื่อดังอย่างเจมส์ บอนด์ก็ตาม แต่สายลับแปรพักตร์รายนี้ไม่อยากเสี่ยง เราไม่รู้ว่าในสถานทูตโซเวียตมีอะไรจับจ้องพวกเดียวกันเองบ้าง

ดังนั้นเขาจึงเลือกวิธีแอบเอาฟิล์มหรือเอกสารที่พวกเคจีบีวางทิ้งไว้บนโต๊ะ แล้วไปกินอาหารเที่ยง โอเล็กจะหยิบมาแล้วเอาไปวางไว้ในตู้โทรศัพท์ เจ้าหน้าที่ข่าวกรองอังกฤษจะไปหยิบมา แล้วไปถ่ายรูปก่อนนำส่งคืนในเวลา 30 นาที

ความเสี่ยงคือ หากเคจีบีสักรายกินอาหารไว หรือกลับมาที่โต๊ะก่อนบ่ายโมง เมื่อไม่พบเอกสาร แล้วเกิดการสืบสวน รับรองว่ากอร์ดิเยฟสกีชะตาขาดแน่

ครั้งหนึ่ง MI6 ไปรับเอกสารลับ แต่เผอิญดันมีคนคุยโทรศัพท์สาธารณะอยู่ตั้งนาน แม้เจ้าหน้าที่จากอังกฤษจะพยายามเร่ง ว่าอยากใช้เครื่อง แต่อีกฝ่ายก็ไม่สนใจ จนเกือบหมดเวลาถ่ายรูปเอกสารอยู่แล้ว 

ครั้งนั้นก็เป็นความเสี่ยงที่กอร์ดิเยฟสกีเกือบพลาดถูกเปิดโปงแล้วเช่นกัน

แต่ 11 ปีผ่านไป ตั้งแต่ทำงานสายลับสองหน้า เขาไม่เคยพบความเสี่ยงสูงสุด จนเย็นยะเยือกสันหลังเท่ากับคำสั่งเรียกตัวให้กลับไปมอสโกในวันที่ 18 พฤษภาคม 1985 เลยเด็ดขาด เจ้าตัวถึงกับเปรยกับสายลับอังกฤษว่า

“ผมคงถูกฆ่าตายแน่ๆ”

4

ความกลัวเป็นความจริง ผู้บังคับบัญชาที่เรียกกอร์ดิเยฟสกีไปรายงานตัว มีท่าทางเฉยชา ไม่กี่วันหลังกลับมอสโก เขานอนรอในแฟลต ห้องของตัวเองที่มีการติดตั้งเครื่องดักฟังทุกจุด จากนั้นก็มีคำเชิญชายหนุ่มให้ไปบ้านเพื่อน ย่านชานเมืองของเมืองหลวงโซเวียต ระหว่างกำลังคุยกันเพลิดเพลิน เจ้าหน้าที่เคจีบี 2 คนก็เข้ามาและพาตัวเขาไปสอบปากคำ

ที่นั่นเขาถูกตะคอก ถูกกดดันอย่างหนัก โดนให้กินยาพูดความจริง แต่เจ้าตัวนึกถึงคำสอนของสายลับอังกฤษที่แปรพักตร์ไปเข้ากับโซเวียตนามกระฉ่อนอย่าง คิม ฟิลบี (Kim Philby) เคยบอกไว้ว่า “ไม่ว่าอีกฝ่ายจะทำอะไร อย่ารับสารภาพโดยเด็ดขาด”

5 ชั่วโมงต่อจากนี้ กอร์ดิเยฟสกีท่องคำนี้ไว้ในใจ อย่ารับสารภาพ ตื่นตัวเข้าไว้ นี่คือการต่อสู้ครั้งสำคัญของชีวิต ถ้าชนะก็รอด ถ้าแพ้ก็ตาย

ผู้สอบสวนสูบบุหรี่จัด พวกเขาเริ่มเปิดบทสนทนาอย่างง่ายๆ “ทำไมคุณมีหนังสือต่อต้านโซเวียต คุณใช้สิทธิทางการเอาของผิดกฎหมายมาครอบครองได้อย่างไร”

“ในฐานะเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรอง ผมต้องอ่านหนังสือเหล่านี้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลทำงาน”

“ตอบได้ดีกอร์ดิเยฟสกี” คนสอบปากคำยิ้ม ก่อนตะคอกว่า “กูรู้ว่ามึงเป็นสายให้พวกอังกฤษ สารภาพทุกอย่างมาเดี๋ยวนี้”

“ผมไม่มีอะไรต้องสารภาพ” สายลับสองหน้ากำลังเมามายฤทธิ์ยา

“เอาละๆ แกสารภาพทุกอย่างไปหมดแล้ว เรารู้แล้ว ทีนี้ลองพูดแบบนี้อีกครั้ง รับสารภาพอีกทีสิ”

“ผมไม่มีอะไรต้องสารภาพ ผมไม่ได้ทำอะไร”

300 นาทีผ่านไป โอเล็กถูกพาตัวกลับบ้านอย่างเหลือเชื่อ เขานึกว่าจะตายแล้ว แต่ไม่มีกระสุนพุ่งใส่เขาแม้แต่นัดเดียว น่าเหลือเชื่อมากๆ

กระนั้นเคจีบีไม่ไว้ใจเขาอีกต่อไป มีคำสั่งเด้งจากหัวหน้าเคจีบีอังกฤษ ให้ไปรับผิดชอบเรื่องจีนแทน และห้ามเดินทางออกนอกประเทศ

แม้พวกเขาจะไม่ฆ่าเราในตอนนี้ แต่ไม่นานพวกเขาต้องทำแน่ ที่ยังเก็บเราไว้ เพราะต้องการหลักฐานเด็ด เรื่องการพบปะระหว่างเรากับสายลับอังกฤษแน่นอน

นี่คือคำสันนิษฐานของผู้พันที่นำไปสู่ข้อสรุปว่า

ได้เวลาหนีแล้ว

5

แท้จริงแล้วทางการอังกฤษเตรียมแผนหนีให้กอร์ดิเยฟสกีแล้ว หากว่าเขาไม่โดนฆ่าเสียก่อน พวกเขาส่งสายลับฝีมือเยี่ยมมุ่งหน้าไปยังมอสโกเพื่อติดต่อกับผู้พัน โดยมีข้อมูลและคู่มือการพบปะคือ กอร์ดิเยฟสกีจะต้องเดินสะพายถุงย่ามไปตามทาง แล้วจากนั้นคนของลอนดอนจะสะพายถุงของห้างดังในอังกฤษพร้อมกับกินช็อกโกแลตไปด้วย จากนั้นสายลับโซเวียตที่ใกล้ชะตาขาดจะกินช็อกโกแลตตาม

สัญญาพบปะนี้คือการยืนยันว่า ปฏิบัติการหนีเริ่มขึ้น

วันศุกร์ที่ 19 กรกฏาคม 1985 กอร์ดิเยฟสกีออกจากห้องพัก ขณะที่ภรรยาและลูกซึ่งเดินทางกลับจากอังกฤษยังพักผ่อนอยู่ เขารู้ว่าพวกเคจีบีจะไม่แตะต้องครอบครัวเขา

ก่อนหน้านี้ชายหนุ่มวัยเฉียด 60 ปี เคยลองสลัดเคจีบี ที่สะกดรอยเขามาแล้ว ครั้งนี้เขาก็ทำได้อย่างสบายๆ สมฐานะสายลับมือเก๋า ก่อนจะขึ้นรถไฟ เดินทางไปชายแดนโซเวียตกับฟินแลนด์ เมื่อไปถึง เขาจะต้องสลัดเคจีบีที่อาจสะกดรอยตามให้หลุด แล้วรอที่จุดนัดพบ

ระหว่างนั้นสายลับอังกฤษในคราบนักการทูต 4 คน ชาย 2 หญิง 2 และมีเด็กอ่อนนั่งมาด้วย จะใช้รถ 2 คันทำทีขับออกจากสถานทูตเพื่อไปเที่ยว

โดยตอนนั้นสายลับเคจีบีเห็นและสะกดรอยตามรถทั้ง 2 คัน แต่กินเวลาไม่นานก็คลาดกัน เมื่อสปายอังกฤษขับรถอย่างแน่ใจว่า ไม่มีสายลับโซเวียตตามรอยมา พวกเขาจึงมุ่งหน้าไปยังจุดนัดพบ

ที่ซึ่งกอร์ดิเยฟสกีหมอบรออยู่ข้างทาง

ทางการอังกฤษ เอาผู้พันยัดเข้ากระโปรงหลังรถฟอร์ด แล้วลุยขับผ่านด่านมาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงด่านสุดท้ายก่อนเข้าฟินแลนด์ 

ทางเจ้าหน้าที่โซเวียตเอาเอกสารไปตรวจ ระหว่างนั้นมีการเอาหมาดมรถ กอร์ดิเยฟสกีได้ยินเสียงรถจอดและเสียงเห่า เขาหวั่นใจ บางทีมันอาจได้กลิ่นในกระโปรงหลังก็เป็นได้

กระนั้น MI6 เตรียมตัวมาอย่างดี หญิงสาวที่พาลูกอ่อนมาด้วยได้เปลี่ยนแพมเพิร์สลูกในเวลานั้น กลิ่นเหม็นส่งผลต่อหมา ทำให้มันระคายจมูก ไม่สนใจจะดมต่อ

จึงได้ไม่ได้กลิ่นตรงกระโปรงท้ายรถ

จากนั้นทางการโซเวียตยื่นหนังสือเดินทางการทูตให้กับสายลับอังกฤษ ก่อนเปิดประตูให้รถผ่านด่าน ขับไปได้สักพัก คนในรถได้เปิดวิทยุ เสียงเพลงป็อปดังกระหึ่ม

นั่นทำให้โอเล็กรู้แล้วว่า เขาออกจากบ้านเกิดมาได้แล้ว และกำลังถูกพาตัวกลับไปยังลอนดอน

ประเทศใหม่ของเขาที่เจ้าตัวจะอยู่ไปชั่วชีวิต

6

ภรรยาและลูกๆ ของกอร์ดิเยฟสกีไม่เคยรู้มาก่อนว่าสามีเป็นคนขายชาติให้อังกฤษ เมื่อโซเวียตรู้ข่าวการหลบหนีจึงมีคำพิพากษาลับหลังให้ประหารชีวิต มันเป็นความสำเร็จของหน่วยข่าวกรองอังกฤษ และสะท้อนความล้มเหลวของโซเวียต

กระนั้นเคจีบีไม่เคยแตะต้องครอบครัวของกอร์ดิเยฟสกี หลังรู้ว่าภรรยาและลูกๆ ไม่เคยตระหนักในพฤติกรรมทรยศโซเวียตของเขามาก่อน

เหตุการณ์นี้กลายเป็นที่เลื่องลือในโลกจารชน ไม่เคยมีการนำสายลับโซเวียตหนีออกมาจากมอสโกมาก่อน มันเป็นความสำเร็จสุดเหนือชั้นของอังกฤษที่มีให้กับสายข่าวสุดล้ำค่านี้

เมื่อสหภาพโซเวียตล่มสลาย ลอนดอนประสานไปยังมอสโก นั่นทำให้ภรรยาและลูกๆ ของกอร์ดิเยฟสกีได้ออกจากดินแดนหลังม่านเหล็ก สู่มหานครอันพลุกพล่าน

ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้ากันอีกครั้ง

กอร์ดิเยฟสกีไม่เพียงพาตัวเองออกจากโซเวียต แต่เขายังมอบข้อมูลมากมายให้กับข่าวกรองตะวันตก นั่นสะท้อนจุดเสื่อมของสหภาพโซเวียต ที่ไม่กี่ปีต่อมาก็ถึงกาลล่มสลายในที่สุด

ชายคนนี้อาจถูกมองว่าขายชาติ แต่ในเมื่อบ้านเกิดเมืองนอนของเขากระทำต่อคนอย่างเลวร้าย ห่วยแตก ทำไมเขาถึงจะต้องรัก ในชาติที่เขาชังล่ะ และทำไมเจ้าตัวถึงไปอยู่ประเทศใหม่ที่ดีกว่า เหมาะสมกว่าในความคิดเขาไม่ได้เล่า

หากถามว่าสิ่งที่เขาทำลงไปมันคุ้มค่าไหม เจ้าตัวได้บอกความรู้สึกทุกอย่าง ผ่านบทสัมภาษณ์กับนักข่าวว่า

“ผมขอบคุณในความกล้าหาญของเพื่อนร่วมงานชาวอังกฤษ ที่ทำให้ผมปลอดภัยและเป็นอิสระในที่สุด

“และตอนนี้ผมคือคนอังกฤษแล้ว อันที่จริง ผมเริ่มเป็นคนอังกฤษ นับตั้งแต่วันที่ตัดสินใจเป็นสายลับให้กับข่าวกรองของประเทศนี้

“ส่วนรัสเซียนั้น ผมไม่มีอะไรต้องคิดถึงหรือจดจำมันอีกต่อไป”

ข้อมูลอ้างอิง

https://time.com/archive/6714281/interview-with-oleg-gordievsky-how-the-kgb-helps-gorbachev/

https://www.theguardian.com/world/2013/mar/11/russian-spies-britain-oleg-gordievsky

https://www.dailymail.co.uk/news/article-3151625/Spy-came-cold-thanks-packet-cheese-onion-crisps-true-story-gripping-Le-Carre.html

https://www.smithsonianmag.com/history/still-unexplained-cold-war-fbi-cia-180956969/

หนังสือ The Spy and the Traitor: The Greatest Espionage Story of the Cold War โดย Ben Macintyre

Tags: , , , , , , , , ,