เอเดรียน โบรดี (Adrien Brody) เพิ่งคว้าออสการ์สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมเป็นครั้งที่ 2 จากการรับบทเป็นสถาปนิกชาวฮังการีเชื้อสายยิว ที่อพยพหนีสงครามโลกครั้งที่ 2 มาใช้ชีวิตในสหรัฐฯ ใน The Brutalist (2024) หนังมหากาพย์ความยาว 3 ชั่วโมงครึ่งของ บราดี คอร์เบต (Brady Corbet)
2 ทศวรรษก่อนหน้านี้ บทที่ส่งโบรดีคว้านำชายออสการ์ได้เป็นครั้งแรก ก็เป็นบทที่ว่าด้วยนักดนตรีชาวยิวที่ต้องระหกระเหินหนีตายในสงครามโลกครั้งที่ 2 จาก The Pianist (2002) ที่ว่าไปแล้ว ก็เป็นหนังเรื่องแรกที่ส่งเขาให้กลายเป็นนักแสดงแถวหน้าที่โลกรู้จัก
ตัวโบรดีเองมีเชื้อสายยิว พ่อของเขาเป็นยิวจากโปแลนด์และแม่ของเขาเกิดที่เมืองบูดาเปสต์ ประเทศฮังการีก่อนจะอพยพมายังสหรัฐฯ เมื่อโซเวียตบุกยึดฮังการีในปี 1956
“แม่มักเล่าประสบการณ์ของการเป็นผู้อพยพให้ผมฟัง และเรื่องราวเหล่านั้นมันก็ฝังใจผมมากจริงๆ” เขาบอก “ตอนนั้นแม่อายุแค่ 13 ปีและต้องบอกลาเพื่อนสนิทด้วยการเดินทางไปที่บ้านของเพื่อน เพื่อนของแม่ก็บอกแค่ว่า ‘โอเค งั้นไว้เจอกัน’ แม่บอกว่าแม่ไม่รู้ว่าจะต้องตอบเพื่อนว่ายังไง เลยบอกไปแค่ ‘หวังว่านะ’ หรืออะไรทำนองนั้น กับอีกหลายต่อหลายเรื่องที่แม่อยากบอกเพื่อนแต่สุดท้ายก็พูดไม่ออก และอะไรแบบนี้แหละครับที่ยังฝังลึกอยู่ในเนื้อตัวมนุษย์เราเสมอ”
โบรดีเติบโตในควีนส์ เมืองนิวยอร์ก พรสวรรค์ด้านการแสดงของเขาเปล่งประกายตั้งแต่ยังเล็กด้วยการรับจ้างแสดงมายากลในชื่อ The Amazing Adrien หรือ ‘เจ้าหนูเอเดรียนผู้น่าอัศจรรย์’ แม่ของโบรดีที่ก็เป็นช่างภาพและเป็นศิลปิน มีเพื่อนเป็นนักแสดงที่ยิ่งบันดาลใจให้เด็กชายโบรดีอยากเดินตามรอยนี้บ้าง เอเดรียนจึงมุ่งมั่นเรียนการแสดงที่กลายเป็นการเปิดประสบการณ์เขาไปสู่โลกใหม่ๆ
“ผมชอบการเรียนการแสดงทันที แม้จะรู้สึกแหม่งๆ อยู่บ้างที่ทั้งคลาสมีเด็กผู้ชายแค่ 3 คนกับเด็กผู้หญิงอีก 20 คน แต่ไอ้ความแหม่งๆ นั้นมันก็มหัศจรรย์ดี แถมผมเรียนรู้ได้เยี่ยมไปเลยด้วย” เขาว่า
พร้อมกันนี้ เขาก็ไปแสดงบรอดเวย์และออดิชันเป็นครั้งเป็นคราว หากครั้งที่ได้ผลคือ เมื่อเขาไปออดิชันกับเอเยนต์ของเพื่อนคุณแม่ ที่เกิดชอบเจ้าหนูตัวสูงเก้งก้างคนนี้เข้าและส่งเขาไปแสดงหนังเรื่องแรกในวัย 13 ปี โดยเป็นหนังที่ออกฉายทางโทรทัศน์ชื่อ Home at Last (1988) โบรดีรับบทเป็นเด็กกำพร้าเกเรเกตุง ชาวนิวยอร์กที่ถูกรับไปอุปการะโดยครอบครัวผู้อพยพชาวสวีเดนที่สูญเสียลูกชายอายุรุ่นราวคราวเดียวกับเขาไป
“มันเจ๋งนะ เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ ให้ผมมากเลย เป็นหนังย้อนยุคไปแถวๆ 1800 โน่นเลยอีกต่างหาก” โบรดีเล่า “หนังทั้งเรื่องก็ว่าด้วยตัวผมที่เป็นเด็กกำพร้าหาเรื่องใส่ตัวแล้วก็โดนจับ พวกเขาเลยส่งผมไปเนบราสก้าให้ไปอยู่กับชาวนาชาวสวีเดน”
ว่าไปแล้ว เส้นทางการแสดงของโบรดีนั้นน่าสนใจมาก พ้นไปจากการแสดงในหนังออกฉายทางโทรทัศน์และซีรีส์แล้ว เขามักดั้นด้นหาทางร่วมงานกับผู้กำกับน่าจับตา หรือเข้าไปมีบทเล็กๆ ในหนังน่าสนใจ
อันจะเห็นได้จากการที่เขาไปปรากฏตัวใน King of the Hill (1993) หนังข้ามพ้นวัยของ สตีเวน โซเดอร์เบิร์ก (Steven Soderbergh) ที่ตอนนั้นเพิ่งแจ้งเกิดร้อนๆ จาก Sex, Lies, and Videotape (1989) ซึ่งแม้หนังจะขาดทุนถล่มทลาย แต่มันก็ประสบความสำเร็จในแง่คำวิจารณ์หลังหนังเข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำจากเทศกาลหนังเมืองคานส์
โดยหนังว่าด้วยเด็กชายคนหนึ่งที่เติบโตในยุคภาวะเศรษฐกิจตกต่ำครั้งใหญ่ และต้องกระเสือกกระสนดิ้นรนเอาชีวิตรอด โบรดีรับบทเป็นเลสเตอร์ เด็กหนุ่มที่เข้ามาสอนวิธีการใช้ชีวิตและการเอาตัวรอดต่างๆ ให้ตัวละครหลัก และโบรดีในวัย 20 ปีถูกนักวิจารณ์เรียกว่า เป็นจอมขโมยซีนของเรื่อง เพราะให้ภาพการเป็น ‘พี่ชาย’ อันแสนอบอุ่นที่ตัวละครหลักโหยหามาเนิ่นนานได้แสนหมดจด
โบรดียังร่วมแสดงในหนัง ‘รวมดาว’ ชิงออสการ์สาขาภาพยนตร์ยอดเยี่ยมอย่าง The Thin Red Line (1998) ของ เทอร์เรนซ์ มาลิก (Terrence Malick) เล่าถึงทหารอเมริกันที่ถูกส่งไปปฏิบัติการยังหมู่เกาะกัวดาคาแนลกลางมหาสมุทรแปซิฟิก และตามประสาหนังของมาลิก ที่แม้จะเป็นหนังสงคราม แต่มันก็แทบไม่มีฉากระเบิดตูมตามหรือยิงกันสนั่นอย่างที่หนังฮอลลีวูดส่วนใหญ่นิยมเล่า ตรงกันข้ามมันพูดถึงภาวะความเป็นมนุษย์อันแสนอ่อนไหวและถูกทำลายลงอย่างง่ายดาย
โดยโบรดีรับบทเป็นนายทหารขี้กลัว ที่อาการประสาทกินขี้ระแวงของเขายังส่งผลร้ายให้แก่กองทัพและเพื่อนที่ร่วมเคียงบ่าเคียงไหล่สู้รบมาด้วยกัน
ความเป็นหนังรวมดาว โบรดีที่ในเวลานั้นยังไม่แจ้งเกิดในอุตสาหกรรมเต็มตัวนัก ต้องยืนเข้าฉากร่วมกันกับ ฌอน เพนน์ (Sean Penn), จิม คาวิเซล (Jim Caviezel), เบน แชปลิน (Ben Chaplin), นิก โนลเต (Nick Nolte), จอร์จ คลูนีย์ (George Clooney), จอห์น คูแซก (John Cusack) และวูดี ฮาร์เรลสัน (Woody Harrelson) ถือเป็นหนังยักษ์ใหญ่ที่เรียกได้ว่า สร้างความแตกตื่นให้โบรดีเหลือจะกล่าว
“คุณพอนึกออกไหมว่ามันกดดันแค่ไหน ที่ต้องแบกหนังกับกลุ่มนักแสดงมากฝีมือ ที่ผมชื่นชมอย่างสุดหัวใจขนาดนี้” เขาบอก “โดยเฉพาะอย่างยิ่ง นิก โนลเตกับฌอน เพนน์น่ะ คุณคงเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับฌอน เพนน์ใช่ไหม ที่ว่าเขาสามารถกลายเป็นไอ้หัวขวดใส่คุณได้ ถ้าเขารู้สึกว่าคุณแสดงหนังห่วย”
โบรดีกับกลุ่มนักแสดงต้องอบรมฝึกทหาร แบกเป้เน่าๆ กับชุดเหม็นๆ ไปออกกองถ่ายที่ออสเตรเลียนาน 6 เดือน หากแต่เขาก็ไม่ได้ปริปากบ่นและคิดว่า The Thin Red Line น่าจะเป็นหนังที่ ‘แจ้งเกิด’ เขาเป็นวงกว้างเต็มตัว แต่ก็ผิดคาด เมื่อหนังออกฉายรอบปฐมทัศน์ มาลิกตัดบทของเขาออกจนหายไปจากหนังกว่าครึ่ง! อันที่จริงก็นับเวลาที่เขาปรากฏตัวได้เป็นหน่วยนาทีเสียด้วยซ้ำไป
“ผมพยายามเป็นมืออาชีพสุดๆทุ่มเททุกอย่างให้หนังเรื่องนี้ เพื่อจะพบว่าไม่มีอะไรตอบแทนกลับมาเลย ในแง่ของการเป็นประจักษ์พยานผลงานตัวเอง มันเป็นประสบการณ์ที่น่าหดหู่น่ะ” โบรดีในวัย 23 ปีบอก
“เพราะผมก็ต้องให้สัมภาษณ์สื่อเกี่ยวกับหนังที่ผมแทบไม่ได้อยู่ในนั้นด้วยซ้ำ เทอร์รี (ผู้กำกับ) เปลี่ยนคอนเซปต์ของหนังเอาดื้อๆ และเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยเจอมาก่อนด้วย”
อย่างไรก็ดี โบรดีก็ยังคงเลือกหนังและผู้กำกับคิวทองที่เขาสนใจอยากร่วมงานด้วยเหมือนเดิม เพราะต่อมาเขาร่วมงานกับคนทำหนังสือรางวัลอย่าง สไปก์ ลี (Spike Lee) ที่เขารับบทเป็นพ่อหนุ่มสุดพังค์จาก Summer of Sam (1999) ว่าด้วยยุคสมัยที่ฆาตกรต่อเนื่องออกอาละวาด ยังผลให้คนทั้งเมืองใช้ชีวิตอยู่ด้วยความหวาดกลัวอย่างที่สุด
วินนี (จอห์น เลอกิซาโม) ชายหนุ่มที่นอกจากชีวิตรักจะพังเพราะเลิกเมีย ยังต้องมากลัวฆาตกรจนจะเป็นบ้าอยู่ในเมืองเล็กๆ และวันดีคืนดี เขาก็ได้เจอกับ ริตชี (โบรดี) เพื่อนสมัยเด็กผู้หลงใหลดนตรีและแฟชั่นพังก์ และความเพี้ยนเต็มขั้นของเจ้าเพื่อนคนนี้ก็ทำให้วินนีคิดเพ้อๆ เอาว่า ริตชีจะต้องเป็นฆาตกรต่อเนื่องที่คนตามหาแน่นอน!
อีกนานหลายปีและต้องอยู่ในหนังอีกหลายเรื่องทีเดียว กว่าที่ ‘การแจ้งเกิด’ จริงๆ ของโบรดีจะมาถึง เขารับบทเป็นช่างภาพสงครามในหนังดราม่า Harrison’s Flowers (2000) ที่เข้าตา โรมัน โปลันสกี (Roman Polanski) เข้าอย่างจังจนเรียกแคสต์โบรดีให้มารับบทเป็น วลาดิสลอว์ สปิลมันน์ (Władysław Szpilman) นักเปียโนชาวโปแลนด์ที่กระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และการกวาดล้างชาวยิวอันแสนทารุณใน The Pianist (2002)
หนังเปิดตัวรอบปฐมทัศน์ที่เทศกาลหนังเมืองคานส์และคว้ารางวัลปาล์มทองคำ พร้อมกับที่กวาดคำวิจารณ์แง่บวกจากทั่วโลกทันทีที่ออกฉาย โดยเฉพาะการแสดงของโบรดีที่ส่งเขาขึ้นแท่นนักแสดงแถวหน้าของอุตสาหกรรมฮอลลีวูดเต็มตัว
ความทุ่มเทของโบรดีเป็นที่เลื่องลืออย่างถึงที่สุด เขาเรียนเปียโนด้วยเพลงของ เฟรเดริก โชแปง (Frédéric Chopin) และลดน้ำหนักไปร่วมๆ 13 กิโลกรัมเพื่อรับบทนี้
“ผมไม่ได้มองหาบทง่ายๆ อยู่แล้ว อันที่จริงก็ตั้งใจจะทำงานที่ท้าทายตัวเองด้วยน่ะ แม้จะไม่รู้หรอกครับว่างานนี้มันจะท้าทายมากแค่ไหนก็ตาม” โบรดีในวัย 29 ปีบอก
“แต่ความงดงามของงานที่ผมทำมันคือการได้มีโอกาสทุ่มทั้งตัวไปกับสิ่งที่ทำ ถอยออกมาจากการเป็นตัวของตัวเองเพื่อจะได้เข้าใจคนอื่น เป็นใครสักคนในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่งของชีวิตเขา พยายามเข้าใจความเจ็บปวดและอารมณ์ความรู้สึกเหล่านั้น ถ้าคุณทำสำเร็จ คุณก็จะได้ประสบการณ์ดีๆ ไปเพียบเลย มันเหมือนว่าถ้าเราเชื่อมร้อยกับตัวละครเหล่านี้ได้ มันก็มีรางวัลบางอย่างกลับมาให้ชีวิตน่ะ”
เขาอธิบายถึงการลดน้ำหนักอันแสนหฤโหดไว้ว่า “ผมเคยมีประสบการณ์การสูญเสียและเจ็บปวดในชีวิตนะ แต่ไม่ใช่อย่างที่ตัวละครผมเคยต้องเผชิญเลย ผมอยากเข้าใจความสิ้นหวังที่มาจากความหิวโหยสุดขีดน่ะ”
และเขาค่อยๆ ลดน้ำหนักลงโดยมีผู้เชี่ยวชาญดูแลอย่างใกล้ชิด กระนั้น โบรดีก็ยอมรับว่า มันไม่ดีต่อสุขภาพเอาเสียเลย “ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงไปทำอะไรทั้งสิ้น วันๆ ผมทำได้แค่เรียนเปียโน เรียนวิธีออกเสียง ซ้อมบทแล้วก็คิดถึงแต่อาหาร คิดถึงแต่สิ่งดีๆ กับคนดีๆ ในชีวิต”
บทนี้มอบชื่อเสียงให้โบรดีมหาศาล อาจจะเรียกได้ว่าในชั่วข้ามคืน เขากลายเป็นนักแสดงแถวหน้าที่มีแต่คนต่อคิวอยากร่วมงานด้วย และจากชายหนุ่มที่เคยถูกตัดบทจนเหี้ยนในหนังมาลิก และแทบไม่มีใครรู้จักหรือจดจำได้ เขาก็กลายมาเป็นคนที่ต้องรับมือกับชื่อเสียง ซึ่งก็ไม่ใช่สิ่งที่เขาคุ้นเคยอีกเหมือนกัน
“แม้ผมจะเคยผ่านช่วงชีวิตขึ้นๆ ลงๆ มากมาย แต่ก็ไม่ได้โตพอหรือตระหนักถึงตัวเองมากพอจะผ่านเรื่องพวกนี้ไปได้โดยง่าย” เขาว่า
“อยู่ดีๆ สาวๆ ก็จะคิดว่าคุณดูดีจัง มีแต่คนอยากมาเป็นเพื่อนกับคุณ ซึ่งเขาก็อยากเป็นเพื่อนกับคุณจริงๆ แหละนะ ผมไม่คิดว่าพวกเขาไม่จริงใจหรืออะไรหรอก แค่เหมือนว่าอยู่ดีๆ คุณก็เปล่งแสงวาบได้ และมันก็แค่สว่างเกินไป”
และแม้จะคว้าออสการ์มาได้แล้ว แต่โบรดีก็ยังคงคอนเซปต์เลือกทำงานกับผู้กำกับน่าจับตา และคราวนี้เขาขยับมาเล่นหนังบล็อกบัสเตอร์อย่าง King Kong (2005) หนังทุนสร้าง 200 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ของ ปีเตอร์ แจ็กสัน (Peter Jackson) ว่าด้วยนักแสดงสาว (นาโอมิ วัตส์) กับผู้กำกับหนัง (แจ็ก แบล็ก) ที่ออกเดินทางไปยังเกาะหัวกะโหลกอันลึกลับ หวังจะทำหนังแอ็กชันสุดอลังการ
ขณะที่แจ็ก (โบรดี) มือเขียนบทก็ต้องตกกระไดพลอยโจนไปด้วย เพราะต้องการเงินค่าจ้างในการทำหนัง โดยที่พวกเขาและทีมงานกองถ่ายทั้งหมดไม่มีใครรู้เลยว่า บนเกาะแห่งนั้นมี ‘คิงคอง’ ตัวสูงเท่าตึกอาศัยอยู่
“ผมได้รับโทรศัพท์ ปลายสายบอกว่าปีเตอร์ แจ็กสันอยากเจอตัว บอกไม่ถูกเลยว่าตื่นเต้นขนาดไหน โดยเฉพาะเมื่อเขาเพิ่งประสบความสำเร็จจากไตรภาค The Lord of the Rings (2001-2003) มาหมาดๆ จินตนาการไม่ออกเลยว่า ในฐานะนักแสดงแล้ว อะไรจะเป็นโอกาสที่ดีมากไปกว่านี้อีก” โบรดีบอกอย่างปลื้มใจ
“อีกอย่างคือ สิ่งที่ทำให้ผมสนใจตัวละครนี้คือ ตัวผมเองก็ไม่ใช่คนล่ำบึ้กอะไร ผมก็ออกกำลังกายตามปกติ แต่ไม่ใช่คนหุ่นแบบพระเอกจ๋ามากๆ แล้วตัวละครนี้ก็เป็นพวกสายบุ๋นมากกว่าจะเป็นสายบู๊น่ะ”
หนังทำเงินไปได้ 556 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ นับเป็นหนังที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเรื่องหนึ่งของโบรดี และจากนั้นเขาก็เลือกรับงานที่ได้ร่วมมือกับผู้กำกับมือรางวัล หรือโปรเจกต์น่าจับตาอีกหลายครั้ง
หนึ่งในนั้นคือ การเป็นหนึ่งในนักแสดงขาประจำของ เวส แอนเดอร์สัน (Wes Anderson) นับตั้งแต่ The Darjeeling Limited (2007), Fantastic Mr. Fox (2009), The Grand Budapest Hotel (2014), The French Dispatch (2021) และ Asteroid City (2023)
“ผมรู้สึกเป็นเกียรติมากเลยจริงๆ นะที่ได้เป็นเพื่อนและได้ทำงานร่วมกับเวสมานานมากๆ ขนาดนี้
“เขาส่งอิทธิพลแง่บวกต่อตัวผมมหาศาล ตั้งแต่ที่เราออกเดินทางไปถ่ายหนังที่อินเดียด้วยกันสำรวจเมืองน่าสนใจหลายแห่งทั่วโลก ตั้งแต่กอร์ลิตซ์ในเยอรมนี จนถึงเมืองชินชนในสเปน
“ผมว่าเวลาทำงานกับเวส มันเหมือนเขามีมนตร์วิเศษบางอย่าง ที่ดึงให้คนน่าสนใจมาทำงานร่วมกัน หลายต่อหลายคนก็กลายเป็นเพื่อนสนิทกันจนถึงทุกวันนี้ด้วย” เขาว่า
โบรดียังไปโผล่รับเชิญในซีรีส์ Peaky Blinders (2013-2022) ในบท ลูกา มาเฟียชาวอิตาลี-อเมริกันที่บุกมายังเบอร์มิงแฮมเพื่อหวังล้างแค้น และการปรากฏตัวของเขาก็ถูกชื่นชมว่า ทั้งน่าจดจำและคุกคามในเวลาเดียวกัน เช่นเดียวกันกับที่จู่ๆ เขาก็มาเป็นมหาเศรษฐีใน Succession (2018-2023) และการงัดข้อทางการค้าอันเยือกเย็นกับตระกูลรอยอันเป็นตัวละครหลักของเรื่อง
“ผมเป็นแฟนซีรีส์นี้อยู่แล้วน่ะ พอทีมงานบอกว่ามีบทเล็กๆ ที่คิดว่าน่าจะเหมาะสำหรับผม ผมเลยกระโจนรับงานทันที” เขาบอก
The Brutalist (2024) คือหนังลำดับล่าสุดของโบรดีที่ส่งให้เขาเป็นที่พูดถึงอีกครั้ง (ไม่นับสปีชยาว 6 นาทีบนเวทีออสการ์ ซึ่งก็แน่นอนว่าทำให้เขาถูกวิพากษ์วิจารณ์ไปอื้ออึงหลังจากนั้น) ในแง่ของการรับบทเป็นลาซโล สถาปนิกผู้อพยพ ที่วาดหวังให้ตัวตนและงานของตัวเองไม่ถูกลบเลือนไปโดยสงครามหรือนายทุน เมื่อแฮริสัน เศรษฐีผู้หล่อเหลาชาวอเมริกันจ้างให้เขาสร้างโบสถ์คริสต์ให้ ลาซโลที่หวังอยากปักหลักอยู่ในอเมริกาจึงลงมือออกแบบอย่างตั้งใจ ท่ามกลางแรงเสียดทานของสังคมและการดูหมิ่นจากคนรอบตัว
หนังถ่ายทำที่ฮังการี ส่วนหนึ่งก็เพื่อประหยัดงบประมาณ ตัวละครของโบรดีก็เป็นชาวฮังการีอพยพ ดังนั้นเงื่อนไขแรกที่เขาต้องฝ่าไปให้ได้คือ การหัดพูดภาษาฮังการีบางส่วน และพูดภาษาอังกฤษติดสำเนียงตามที่ควรจะเป็น
“ข้อแรกเลย หนึ่งในความรับผิดชอบของผมคือต้องพูดอะไรออกมาแล้วไม่ฟังดูโง่ต่อหน้าคนอื่นน่ะ” เขาหยอกตัวเอง “หนังมันว่าด้วยเรื่องชายที่อพยพมาอยู่อเมริกาและหวังจะสร้างเรื่องราวใหม่ๆ โดยที่ก็ต้องดิ้นรน ฝ่าฟันความไม่มีกิน และรับมือกับความจริงอันโหดร้ายของมายาคติเรื่อง American Dream น่ะ
“ผมว่าหนังเรื่องนี้มันฉายภาพช่วงเวลาอันแสนสำคัญของประวัติศาสตร์และการเดินทางของศิลปิน กับพลังของศิลปะในการสรรค์สร้างความงดงามท่ามกลางช่วงเวลาอันมืดมนของประวัติศาสตร์มนุษยชาติน่ะ สิ่งนี้มีความหมายมากจริงๆ” โบรดีบอก
โปรเจกต์ถัดไปของโบรดีคือ The Bookie & the Bruiser และก็น่าสนใจที่มันยังเป็นหนังที่พูดถึงสงครามและเศษซากชีวิตของผู้คนหลังจากนั้น โดยมันเล่าถึงชาวยิวกับชาวอิตาเลียน-อเมริกันที่พยายามสร้างตัวหลังยุคสงครามโลกครั้งที่ 2 ทั้งนี้หนังยังไม่มีกำหนดฉายและอยู่ในกระบวนการเตรียมการถ่ายทำอยู่
Tags: The Pianist, The Brutalist, ออสการ์, King Kong, เอเดรียน โบรดี, The King of the Hill, The Thin Red Line