เมื่อวันที่ 8 กุมภาพันธ์ 2568 ที่ Anyway BOOK CAFE จังหวัดเชียงใหม่ นำโดย ปสุตา ชื้นขจร หุ้นส่วนร้าน Anyway BOOK CAFE จัดเสวนาในหัวข้อ ‘แต่งได้แล้วไงต่อ เมื่อกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่าน’ โดยมีมูลนิธิ Young Pride Club และคู่รัก ร่วมเสวนาในประเด็นเกี่ยวกับความเท่าเทียมทางเพศหลังจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมประกาศใช้อย่างเป็นทางการ รวมไปถึงการพูดถึงสิ่งที่ต้องขับเคลื่อนต่อ เพื่อให้สังคมไทยเกิดความเท่าเทียมมากยิ่งขึ้น 

วีรวัส คำขม ที่ปรึกษามูลนิธิ Young Pride Club และคณะผู้จัดงานเชียงใหม่ไพรด์ เริ่มต้นด้วยการบอกเล่าความสัมพันธ์ระหว่างตนกับคู่รักหลังสมรสเท่าเทียมประกาศใช้ โดยระบุว่า ในช่วงที่ยังไม่มีกฎหมายสมรสเท่าเทียมมารองรับการใช้ชีวิตคู่ของคู่รักเพศเดียวกัน เขาไม่สามารถวางแผนอนาคตของเขากับคู่รักได้ เนื่องจากไม่มีกฎหมายมียึดเหนี่ยวความสัมพันธ์ให้อยู่ด้วยกันในระยะยาว แต่หลังจากกฎหมายสมรสเท่าเทียมผ่าน วีรวัสจึงเริ่มต้นวางแผนการใช้ชีวิตระยะยาวกับคู่รักอีกครั้ง โดยเปิดเผยว่า เมื่อตนอายุครบ 35 ปี จะจดทะเบียนสมรสกับคู่รักและจะเริ่มต้นสร้างครอบครัวร่วมกัน 

ทั้งนี้กฎหมายสมรสเท่าเทียม ยังครอบคลุมไปถึงชาวไทยที่มีคู่รักเป็นชาวต่างชาติ ยกตัวอย่างกรณีคู่รักหญิงชาวนิวซีแลนด์และชาวไทยอย่าง นาตาลี และเมย์ ที่เดินทางมาร่วมแลกเปลี่ยนเกี่ยวกับสิทธิด้านการติดตามคู่สมรสไปพำนักในต่างประเทศ โดยเมย์ระบุว่า ในอดีตตนและคู่รักไม่สามารถเดินทางมายังประเทศไทยด้วยสถานะคู่สมรสได้ แต่ในปัจจุบันทั้งคู่สามารถเดินทางเข้าประเทศในฐานะของคู่สมรสได้แล้ว 

เมื่อผู้จัดเสวนาถามนาตาลีและเมย์ว่า ยังมีสิ่งใดอีกที่ประเทศไทยต้องขับเคลื่อนต่อหลังจากที่สมรสเท่าเทียมผ่าน เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในสังคมมากยิ่งขึ้น นาตาลีระบุว่า ในนิวซีแลนด์จะมีกฎหมายห้ามเลือกปฏิบัติ ไม่ว่าจะเป็นด้านเชื้อชาติ แนวคิดทางสังคม ศาสนา รวมถึงการห้ามไม่ให้มีการเลือกปฏิบัติในสถานที่ทำงาน สถานศึกษา รวมไปถึงการเข้าถึงบริการสาธารณะ

นาตาลียกตัวอย่างการสมัครงานในประเทศนิวซีแลนด์ ซึ่งลดความเสี่ยงในการเลือกปฏิบัติโดยการไม่ขอรูปภาพ อายุ และเพศของผู้ที่ต้องการสมัครงาน เพื่อให้การตัดสินไร้ความลำเอียง มีความเท่าเทียมในการรับคนเข้าทำงานมากยิ่งขึ้น ซึ่งกฎหมายนี้ไม่ได้รวมอยู่ในกฎหมายสมรสเท่าเทียม 

สำหรับเมย์ที่เพิ่งได้รับสถานะคู่สมรสร่วมกันกับนาตาลีในประเทศไทย มองว่า การประกาศใช้กฎหมายสมรสเท่าเทียมเป็นเพียง ‘ขั้นเริ่มต้น’ ในการสร้างความเท่าเทียมในสังคมไทย และยังคงมีสิ่งที่ต้องจับตามองอย่างต่อเนื่องคือ การนำเอากฎหมายดังกล่าวไปใช้จริงว่า จะเกิดอคติทางสังคมจนทำให้การนำกฎหมายไปใช้มีความติดขัด จนนำไปสู่ความไม่เท่าเทียมหรือไม่

“สังคมไทยยังคงเป็นสังคมที่ผู้คนรับรู้ว่า มีกฎหมายสมรสเท่าเทียม แต่การรับรู้ไม่เท่ากับการยอมรับ” เมย์กล่าว อย่างไรก็ตามแม้สมรสเท่าเทียมจะไม่สามารถสร้างความเท่าเทียมทางสังคมได้ทันทีหลังการประกาศใช้กฎหมาย แต่เธอมองว่า กฎหมายเป็นหนึ่งในกระบวนการที่จะนำไปสู่ความเท่าเทียมทางสังคม ซึ่งต้องใช้เวลา

ทั้งนี้เมย์ยังชี้ว่า อีกสิ่งหนึ่งที่เธอต้องการในกฎหมายไทยคือ การรับบุตรบุญธรรม ซึ่งเธอชี้ว่า ปัจจุบันกฎหมายสมรสเท่าเทียมของไทย ผู้มีความหลากหลายทางเพศยังคงรับอุปการะบุตรบุญธรรมได้ในฐานะของบุคคลเท่านั้น ไม่สามารถทำในฐานะคู่รัก

“จะมีคำพูดว่า ก็ได้ (สมรสเท่าเทียม) มาแล้ว จะเอาอะไรอีก เรามองว่า ความคิดนี้มันไม่ควรเกิดขึ้น หากมองว่าพวกเขาเป็นมนุษย์ที่เท่าเทียมกับเราจริงๆ ลองนึกว่าตัวเองก็อยากมีครอบครัวเพราะมันเป็นความสุข แล้วอะไรที่ทำให้เราไม่พอใจกับความสุขของคนอื่น ในขณะที่เราเองก็มีความคิดว่า (การมีครอบครัว) เป็นความสุขเหมือนกัน” เมย์ระบุ

มุกดาภา ยั่งยืนภราดร ผู้เชี่ยวชาญด้านสิทธิมนุษยชน ฟอร์ติฟายไรต์ และนักกิจกรรมเพื่อสิทธิคนเพศหลากหลาย ซึ่งได้ทำงานในชั้นกรรมาธิการพิจารณากฎหมายสมรสเท่าเทียมชี้ว่า การมีกฎหมายสมรสเท่าเทียมไม่ได้การันตีว่า สังคมจะเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ และยังคงต้องมีการทำงานเพื่อลดอคติแฝง เช่น ความเกลียดกลัวผู้มีความหลากหลายทางเพศ และลดแนวคิดอนุรักษนิยมของสังคม

มุกภาดายกตัวกรณีของ 2 นายตำรวจที่แต่งกายด้วยชุดเครื่องแบบตำรวจไปจดทะเบียนสมรส เมื่อวันที่ 23 มกราคมที่ผ่านมา แต่กลับถูกตำหนิจากคนในสังคมบางส่วนว่า มีความไม่เหมาะสมว่า เป็นภาพสะท้อนการยอมรับความหลากหลายทางเพศในสังคมไทย จากการที่แนวคิดการสมรสของเพศเดียวกัน ได้ขึ้นมาคัดง้างกับภาพจำของทหารและตำรวจ รวมทั้งระบบอำนาจอื่นๆ ที่ยังมีแนวคิดอนุรักษนิยมอย่างเข้มข้น ทำให้การยอมรับความหลากหลายทางเพศยังมีไม่มากเท่ากับสังคมภายนอก

ในวงเสวนามุกภาดาได้นำเสนอสิ่งที่จะต้องผลักดันต่อ เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในสังคมไทยอยู่ 4 ประเด็น

1. ผลักดันให้ใช้คำว่า ‘บุพการี’ แทนคำว่าบิดา-มารดา ในกฎหมาย เพื่อให้มีความเป็นกลางทางเพศมากยิ่งขึ้น 

2. ผลักดันกฎหมายรับรองอัตลักษณ์ทางเพศ ให้สิทธิการเปลี่ยนคำนำหน้านาม สนับสนุนการดูแลรักษา เพื่อยืนยันเพศและการข้ามเพศเป็นสวัสดิการจากรัฐ และห้ามไม่ให้มีการผ่าตัด เพื่อระบุเพศของผู้มี 2 เพศหรือ Intersex 

3. ยกเลิกเอาผิดการค้าประเวณี สนับสนุนให้พนักงานบริการได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายแรงงาน

4. ผลักดันให้มีกฎหมายป้องกันการเลือกปฏิบัติในประเทศไทย 

Tags: , ,