หลายคนคงคุ้นหน้าคุ้นตา จั๊มพ์-พิสิฐพล เอกพงศ์พิสิฐ (jum:p) เจ้าของรอยยิ้มสดใสจากผลงานภาพยนตร์เรื่องล่าสุดอย่าง คุณชายน์ (The Cliche) เรื่องเทอม 3 ตอนพี่เทค หรือจากเรื่อง เพื่อน(ไม่)สนิท ในปี 2566 ซึ่งส่งให้จั๊มพ์คว้ารางวัลสุพรรณหงส์ ครั้งที่ 32 สาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม และนอกจากจะเป็นนักแสดงมากฝีมือที่มีรางวัลการันตีแล้ว ตอนนี้จั๊มพ์ก็กำลังมีผลงานใหม่ในฐานะศิลปินเดี่ยวกับเพลงแรกชื่อว่า Nice Guy? ที่มีเค้าโครงมาจากตัวตนของเขาเอง
The Momentum ไม่ปล่อยให้ตัวตนของจั๊มพ์เป็นปริศนา จึงชวนเขามาพูดคุยเรื่องเพลงใหม่ ความคิด ทัศนคติ สิ่งที่อยู่ภายในใจ และไล่ย้อนดูจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขาเริ่มประกวดร้องเพลง เพื่อหาคำตอบว่า อะไรที่ผลักดันให้เขาไม่หยุดพัฒนาตัวเอง และกล้าก้าวออกจากคอมฟอร์ตโซน
Nice Guy?
“เราพยายามเป็นทั้ง 2 อย่าง ชอบทั้งคู่ แต่ถ้าถามว่า ชอบอะไรมากกว่ากันก็ยังตอบไม่ได้ เพราะมันคนละแบบกัน แต่ว่าเราหาจุดร่วมระหว่าง 2 สิ่งนี้ได้ ซึ่งจุดร่วมของนักร้องกับนักแสดงคือการ Perform มันคือศิลปะอย่างหนึ่งที่ต้องใช้ความรู้สึกของเราลงไปผูกมัดกับความรู้สึกต่างๆ ที่เราต้องถ่ายทอดออกมา เราต้องลงไปรู้สึกจริงๆ และถ่ายทอดออกมาใน Perspective ของอารมณ์นั้นๆ” เขาอธิบายถึงจุดร่วมของการเป็นนักร้องกับนักแสดง เมื่อจั๊มพ์รับทั้ง 2 บทบาทไปพร้อมกัน
จากที่จั๊มพ์บอกว่า การร้องเพลงกับการแสดงคือการถ่ายทอดอารมณ์ และได้เกริ่นไว้ว่าเนื้อเพลง Nice Guy? มาจากความรู้สึกของเขา ซึ่งหากดูแค่ชื่อเพลง หลายคนอาจเข้าใจผิด คิดว่า เด็กหนุ่มคนนี้กำลังโฆษณาตัวเองว่าเป็นผู้ชายที่แสนดีอยู่หรือเปล่า แต่ถ้าลองฟังเพลงดู คุณจะรู้ว่าจั๊มพ์กำลังถ่ายทอดอารมณ์แบบไหน
“เพลง Nice Guy? ได้ความช่วยเหลือจากพี่อู๊ด (อำนาจ ศรีสังข์) OZEEOOS ที่มาช่วยแต่งเนื้อ และเจมส์ MAYOJAMES ที่มาช่วยโปรดิวซ์ดนตรี จนเราได้คอนเซปต์เพลงขึ้นมา เราต้องการจะทำเพลงนี้ เพื่อสะท้อนชีวิตของตัวเองในอดีต ที่เมื่อก่อนเราเป็นคนประเภท People Pleaser คือชอบทำให้คนอื่นพอใจ เราเลยไม่รู้ว่าทำอย่างนี้ดีพอสำหรับเขาหรือยัง หรือเราต้องทำอะไรเพื่อคนอื่นตลอดเวลา เพราะกลัวคนไม่ยอมรับตัวตนของเรา ซึ่งเหนื่อยมาก แล้วก็เพิ่งมารู้ว่าเป็นวิธีคิดที่ผิด เพราะเราไม่ควรเอามาตรฐานความดีไปให้ใครกำหนด เราต้องกำหนดเองว่า Nice Guy ในแบบของเราคืออะไร ซึ่งสะท้อนในแง่ของความสัมพันธ์ด้วย” จั๊มพ์กล่าวถึงที่มาของเพลงจากนิสัยในอดีต
หลายคนอาจมองว่า การปรับเปลี่ยนวิธีคิดกับนิสัยเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก ทว่ายังมีสิ่งที่ยากกว่าคือ การตระหนักรู้ได้ว่าตนเองมีนิสัยไม่ดีอย่างไร แต่จั๊มพ์ในวัย 24 ปี ถือเป็นคนหนึ่งที่รู้เท่าทันตัวเองได้อย่างรวดเร็วว่า นิสัยที่ชอบทำให้คนอื่นพอใจนั้นไม่ดีต่อสุขภาพจิตใจ และพยายามปรับทัศนคติของตนเอง เพื่อสลัดนิสัยชอบทำให้คนอื่นพอใจทิ้งไป
“ตอนเรียนการแสดงทำให้เราเริ่มเข้าใจความรู้สึกตัวเอง ตอนแรกคือความเหนื่อย เราก็พยายามทำความเข้าใจตัวเองว่า ทำไมเราเหนื่อย ซึ่งเราตอบตัวเองได้ว่า เพราะมันไม่ใช่ตัวเรา บางทีเราพยายามทำในสิ่งที่เราคิดว่าดี แต่มันไม่ใช่ตัวเราเลย ทำให้ไม่มีความสุข จากนั้นเราเลยเริ่มเรียนรู้ ซึ่งถือเป็นตัวเลือกที่ถูกต้องที่สุดในชีวิตเลย เพราะทำให้เราได้เข้าใจตัวเองมากขึ้น” จั๊มพ์กล่าว
แม้หลายคนจะรู้จักจั๊มพ์ในมุมศิลปินจากเพลง Nice Guy? แต่ความจริงแล้วก่อนหน้านี้เขาเคยมีผลงานการร้องเพลงร่วมกับเพื่อนนักแสดงในโปรเจกต์ซีรีส์ วุ่นรักนักจิ้น (Why You… Y Me?) ที่วงดนตรีในเรื่องชื่อว่า EVENING SUNDAY และปล่อยผลงานเพลงออกมาอย่าง ร้ายกาจ LIFEGUARD, ใครสอน (Good Friend), คิดถึงที่ไหน, อยากให้เธอรู้ และอื่นๆ
แต่เมื่อต้องมาทำงานในฐานะศิลปินเดี่ยว เขาสารภาพติดตลกว่า ‘เหงา’
“เหงาครับ (หัวเราะ) ไม่มีเพื่อนไง แต่ก็ยังมีทีมงานที่คอยช่วยปรึกษาอยู่ เราต้องรับผิดชอบอะไรหลายอย่างด้วยตัวคนเดียวมากขึ้น ก็มีความรู้สึกกลัวแล้วก็ไม่มั่นใจ แต่ความรู้สึกแบบนี้มันอาจขัดขวางความสำเร็จ เพราะฉะนั้นเราต้องออกจากคอมฟอร์ตโซน”
ในวันนี้จั๊มพ์ที่เดินออกจากคอมฟอร์ตโซนคงได้เป็น Nice Guy ในแบบของตนเอง ไม่ใช่ตามมาตรฐานของคนอื่นอีกต่อไปแล้ว แต่ถึงกระนั้นลึกๆ เขาเองก็ยังมีความกลัว ความไม่มั่นใจ และตั้งคำถามกับตัวเอง
“ความรู้สึกกลัวเกิดขึ้นตลอดเวลา ก่อนเริ่มต้นทำอะไรอย่างนี้ คือธรรมชาติของเราเป็นคนคิดมาก เป็นคนเครียดง่าย อยากให้ทุกอย่างออกมาดี เลยเต็มที่มากๆ แล้วบางทีเราก็ไปผูกจิตไว้กับอะไรที่เราควบคุมไม่ได้ ซึ่งบางอย่างก็ต้องปล่อยให้มันเป็นไป เราอยู่ในเส้นทางที่ทำได้ดีกว่า” จั๊มพ์กล่าว
จั๊มพ์เชื่อว่า เส้นทางของการเป็นนักร้องคงเป็นอีกทางที่ทำออกมาได้ดี ซึ่งเขาสัญญาว่า จะปล่อยเพลงออกมาอีกและหวังว่าทุกคนจะชอบ
“เรารู้ว่าเราไม่ได้ปล่อยแค่เพลงเดียวแน่นอน แต่ว่ามันจะถึงอัลบั้มหรือเปล่าไม่รู้ หรือว่ามันจะสำเร็จขนาดมีคนชอบเยอะจนเปิดคอนเสิร์ตได้หรือเปล่าไม่รู้ แต่ว่าที่รู้ๆ คือเราชอบร้องเพลงแค่นั้น”
Get Set and Jump
นอกจากเดบิวต์ในฐานะศิลปินเดี่ยวแล้ว อีกเรื่องที่น่าภูมิใจของจั๊มพ์ในปีนี้คือ เป็นบัณฑิตจบใหม่จากคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
จั๊มพ์เล่าว่า ตอนอยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย เขาชอบเที่ยวเล่นหาอะไรสนุกทำกับเพื่อนๆ และเป็นคนที่ชอบกิจกรรมมากกว่าวิชาการ เราจึงสงสัยว่า จั๊มพ์เริ่มชอบร้องเพลงตอนช่วงเรียนมหาวิทยาลัยหรือเปล่า ซึ่งจั๊มพ์บอกว่า ต้องเล่าย้อนไปถึงสมัยมัธยมศึกษาที่คุณครูส่งจั๊มพ์เป็นตัวแทนโรงเรียนเข้าประกวดร้องเพลง
“จริงๆ ชอบร้องเพลงตั้งแต่เด็กๆ ชอบร้องเพลงในห้องน้ำ อาบน้ำก็จะร้องเล่นเต้นรำสนุกๆ แต่ไม่คิดว่าตัวเองร้องแล้วจะมีคนฟัง ไม่คิดว่ามีคนชอบเสียงเรา เพราะว่าเสียงเรามันขัดกับสแตนดาร์ดของคนฟังนะ เพราะเพลงป็อปอาจต้องเสียงสูง แต่เสียงเรามันโทนต่ำ (Chest Tone) เลยไม่รู้ว่ามันมีพื้นที่สำหรับเสียงเราไหม” จั๊มพ์เล่าถึงจุดเริ่มต้น
เขาเล่าต่อว่า ตอนเรียนชั้นมัธยมศึกษาที่จังหวัดชลบุรี มีอาจารย์ส่งเขาเป็นตัวแทนโรงเรียน เพื่อประกวดร้องเพลงในงานศิลปหัตถกรรมนักเรียนประจำปี
“อาจารย์ส่งไปประกวดร้องเพลง ตอนนั้นเราก็คิดว่า ทำไมเลือกเรา ในหัวเราตอนนั้นเลยคิดว่าเพราะเราตัวสูงหรือเปล่า คงหน่วยก้านโอเคมั้ง แต่ประกวดร้องเพลงปีแรกก็ร้องไม่ดีเลยนะ แต่อาจารย์ก็ยังเลือกเราไปทุกปี เราก็ค่อยๆ หาเพลงที่เข้าปากเรา เอาเพลงที่เราชอบไปร้อง ไม่ได้คิดว่าจะชนะหรือเปล่า”
ในช่วงมัธยม เขาได้เป็นตัวแทนโรงเรียน แต่ก็ยังไม่มั่นใจในเสียงตัวเอง และไม่ได้ออดิชันร้องเพลง เพื่อเข้าวงการบันเทิงเป็นศิลปิน ซึ่งหากเป็นเด็กๆ ส่วนใหญ่ที่รักในการร้องเพลงคงตัดสินใจเลือกเส้นทางเข้าวงการตั้งแต่ยังเด็ก แต่จั๊มพ์เริ่มมั่นใจในการร้องเพลงของตัวเอง ตอนเริ่มก้าวขาเข้าสู่วงการในช่วงเรียนมหาวิทยาลัย ทางค่ายได้ส่งจั๊มพ์ไปเรียนร้องเพลง แล้วได้รับคำชมจนเริ่มรู้สึกมั่นใจ
“พอไปเรียนร้องเพลงแล้วได้รับคำชมกลับมา ก็เลยอ๋อ นี่เราร้องเพลงได้เหรอ รู้สึกดีใจ มีคนชมว่าเสียงเราเพราะ เราก็รู้สึกมั่นใจขึ้น ที่รู้ตัวช้าอาจเพราะเรามีความมั่นใจในตัวเองน้อยด้วยมั้ง ไม่ใช่ประเภทขวนขวาย เราไม่ได้กระเหี้ยนกระหือรืออยากจะเป็นนักร้องด้วย เพราะเราไม่ได้มั่นใจขนาดนั้น แต่ตอนนี้ผมรู้สึกว่าโอเค ถ้าคนยอมรับแล้วเราได้โอกาสร้องเพลง เราก็ทำให้มันดี”
ไม่แน่ว่า หากตอนมัธยมเขามีความมั่นใจในการประกวดร้องเพลง เราอาจได้รู้จักจั๊มพ์ในฐานะนักร้องก่อนเป็นนักแสดงก็เป็นได้
“คนเรามีทางเดินของตัวเอง เราอย่าไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ซึ่งเรามีโอกาสเข้ามาในช่วงชีวิตนี้ แล้วเราโอบกอดมัน เราทำให้ดีที่สุดในช่วงเวลาที่เราได้แบบนี้มากกว่า
“เราอาจไม่ได้เข้าวงการเร็ว แต่เราว่าวันนี้เราเป็นตัวเองมากกว่า แล้วคนอื่นได้รู้จักเราในช่วงเวลาที่เราเป็นตัวของตัวเองมากที่สุด ได้ใช้ชีวิตอย่างจริงใจในแบบที่เป็นเรา” เขากล่าว
สำหรับตัวจั๊มพ์ที่เริ่มเล่นภาพยนตร์ตอนอายุประมาณ 20 ปี ซึ่งอาจมีคนมองว่า เขามีชั่วโมงบินด้านการแสดงน้อยกว่าเพื่อนในวัยไล่เลี่ยกัน แต่นี่อาจไม่ได้ช้าเกินไป เพราะเมื่อเข้าวงการมาแล้วเล่นภาพยนตร์เรื่องแรกก็ได้รางวัลสุพรรณหงส์ ตามสำนวนไทยอย่าง ช้าๆ ได้พร้าเล่มงาม
“รางวัลสุพรรณหงส์สำหรับผมเหมือนดาบเอ็กซ์แคลิเบอร์ (ดาบในตำนานของอังกฤษ) เหมือนเป็นอาวุธที่มีพลังวิเศษ แล้วเราต้องเลือกว่า เราจะใช้สิ่งนี้ในการทำสิ่งที่ดี หรือจะใช้สิ่งนี้เป็นข้ออ้างในการหยุดทำสิ่งต่างๆ
“ช่วงแรกที่ได้มาเราก็มีความลังเลว่า เราจะต้องเตรียมตัวให้ดีที่สุดให้สมกับที่ได้สุพรรณหงส์ หรือเราไม่ต้องทำงานแล้วเพราะได้รางวัลมาแล้ว เพราะว่าธรรมชาติของเราขี้เกียจ แต่สุดท้ายแล้วเราก็โอบรับสิ่งนี้มา เพื่อจะเอาไปพัฒนาตนเองให้ทำงานอื่นๆ ให้ดียิ่งขึ้นไป” เขากล่าวถึงความสำเร็จแรก
ไม่เพียงแค่ฝีมือทางด้านการแสดง ที่มัดใจให้ใครหลายคนตกหลุมรักบทบาทของเขา แต่รอยยิ้มทรงเสน่ห์ที่พร้อมส่งต่อพลังงานดีๆ ให้คนรอบข้างของจั๊มพ์ยังตกแฟนคลับได้อีกมากมาย
“ถ้าให้พูดถึงเสน่ห์ของตัวเองเหรอ ไม่รู้ (หัวเราะ) ไม่กล้าพูดด้วย เราว่าเรื่องนี้ต้องให้คนอื่นพูด แต่เราชอบตัวเองเวลาที่ตัวเองแฮปปี้ ชอบตัวเองตอนที่ตัวเองไม่คิดมาก มันอาจเป็นช่วงเวลาที่ทำให้คนคิดว่า เรามีเสน่ห์ที่สุดมั้ง” จั๊มพ์ตอบพร้อมรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ
แต่รอยยิ้มเปี่ยมด้วยความสดใส ยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นที่อยากพัฒนาตัวเองให้เก่งมากยิ่งขึ้น
“คำติชมมีอยู่เรื่อยๆ ครับ เราเปิดรับคอมเมนต์อยู่เรื่อยๆ มันทำให้เราไม่หยุดพัฒนา เพราะสิ่งที่ว่าดีแล้วมันก็ละเอียดขึ้นได้อีก มันดีขึ้นได้เรื่อยๆ ทั้งการแสดงและการร้องเพลง” เขากล่าว
นอกจากเปิดรับคอมเมนต์ของแฟนเพลงกับแฟนภาพยนตร์แล้ว จั๊มพ์ยังเล่าว่า คนในครอบครัวยังให้คำแนะนำกับเขาตลอดเวลา แม้ว่าแม่ของจั๊มพ์ไม่เคยรู้มาก่อนว่า จั๊มพ์ร้องเพลงเพราะ
“แม่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าผมร้องเพลงได้ แม่เป็นคนสุดท้ายที่รู้ว่าร้องเพลงได้ ส่วนเรื่องการแสดงคือที่บ้านคอมเมนต์กันฉ่ำ (หัวเราะ) ซึ่งเราเปิดรับนะ แล้วเราก็ถามฟีดแบกคนรอบตัวว่า เป็นไงบ้าง ตรงนี้ดูแล้วเป็นไงบ้าง ความรู้สึกเป็นไง แต่คอมเมนต์จากครอบครัวมันก็มีทั้งดีและไม่ดีนะ เพราะพ่อแม่เราดูหนังเยอะ เขามีความละเอียดในแบบของเขา ซึ่งการติของเขาก็มีส่วนช่วยเสริมในอาชีพนักแสดงของเราด้วย แล้วก็ทำให้เราเปิดใจรับความเห็นจากคนอื่นได้ง่าย เพราะถูกฝึกมาจากในบ้านแล้ว” เขากล่าวถึงครอบครัว
Tags: The Frame, jum:p, Jump Pisitpol