โดนัลด์ ทรัมป์ (Donald Trump) แคนดิเดตท้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา จากพรรครีพับลิกัน (Republican Party) คว้าชัยในการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024 หลังกวาดคะแนนเสียงคณะผู้เลือกตั้ง (Electoral College) เบื้องต้นถึง 277 เสียง และมีคะแนนโหวต 70,700,823 เสียง หรือ 51% โดยรัฐคะแนนผันผวน (Swing States) ที่ชี้ชะตา ‘ตัดเชือก’ เอาชนะ กมลา แฮร์ริส (Kamala Harris) แคนดิเดตจากพรรคเดโมแครต (Democratic Party) ไปอย่างขาดลอย คือ รัฐจอร์เจีย (Georgia), รัฐเพนซิลเวเนีย (Pennsylnia) และรัฐวิสคอนซิน (Wisconsin) ที่มีคะแนนคณะผู้เลือกตั้งถึง 16, 19 และ 10 ที่นั่งตามลำดับ
ชัยชนะครั้งนี้ส่งผลให้ทรัมป์ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งประธานาธิบดีคนใหม่ โดยมี เจ ดี.แวนซ์ (J.D. Vance) วุฒิสมาชิกรัฐโอไฮโอ (Ohio) และอดีตนาวิกโยธินกองทัพสหรัฐฯ เป็นรองประธานาธิบดี โดยพิธีสาบานตนจะจัดขึ้นวันที่ 20 มกราคม 2025 ที่หน้าอาคารรัฐสภาสหรัฐฯ
สำหรับชีวประวัติของทรัมป์ เขามีอายุ 78 ปี เกิดที่ย่านควีนส์ (Queens) เมืองนิวยอร์กซิตี (New York City) เป็นบุตรชายคนที่ 4 ของ เฟรเดริก ทรัมป์ (Frederic Trump) นักธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ยักษ์ใหญ่ที่เติบโตในช่วงหลังสงคราม และแมรี ทรัมป์ (Mary Trump) นักสังคมสงเคราะห์
แม้จะเติบโตมาในครอบครัวผู้มีอันจะกิน แต่ทรัมป์มักถูกปลูกฝังให้ทำงานตำแหน่งระดับล่างของบริษัทตั้งแต่เด็ก ว่ากันว่าเขาเป็นคนมั่นใจตนเอง โดยครั้งหนึ่ง แมรี แม่ของทรัมป์เคยเล่าว่า บุตรชายของตนเองชอบกลั่นแกล้งหรือมีปากเสียงกับครู จนท้ายที่สุด เฟรเดริกต้องส่งเขาไปดัดนิสัยที่โรงเรียนเตรียมทหารนิวยอร์ก (New York Military Academy) พื้นที่ที่ทรัมป์ยอมรับว่า เขาได้รู้จักวิธีเปลี่ยนแปลงความก้าวร้าวไปสู่ความสำเร็จ
ต่อมาเขาเข้าศึกษาด้านธุรกิจที่ Wharton School มหาวิทยาลัยเพนซิเวเนีย (Pennsylvania) ก่อนที่เฟรเดริกจะเลือกให้สืบทอดกิจการแทนพี่ชายคนอื่น และบริหารโครงการใหญ่จนสร้างการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
ความสำเร็จของทรัมป์สะท้อนจากการมีอยู่ของทรัมป์ทาวเวอร์ (Trump Tower) ในถนนฟิฟฟ์เอเวนิวส์ (Fifth Avene) สุดโด่งดัง ขณะที่โรงแรมเก่าแก่อย่างคอมมอดอร์ (Commodore) ก็รีแบรนด์ใหม่ให้กลายเป็นโรงแรมแกรนด์ไฮแอท (Grand Hyatt)
นอกจากเป็นเจ้าของคาสิโน คอนโดมิเนียม สนามกอล์ฟ โรงแรมทั้งในแอตแลนติกซิตี (Atlantic City), ชิคาโก (Chicago), อินเดีย และฟิลิปปินส์ ทรัมป์ยังสนใจแวดวงบันเทิง โดยเฉพาะวงการนางงาม หลังเคยเป็นเจ้าของ Miss Universe, Miss USA, Miss Teen USA รวมถึงการเป็นพิธีกรร่วมในรายการ The Apprentice ในช่อง NBC โดยนิตยสารฟอร์บส์ (Forbes) ประเมินว่า ปัจจุบัน เขาอาจมีทรัพย์สินมูลค่ามากกว่า 4,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
“การเมืองเป็นโลกที่โหดร้ายมาก” คือคำสัมภาษณ์ของชายผู้เป็นประธานาธิบดีคนใหม่ในปี 1980 แต่ท้ายที่สุด เขาก็เลือกเส้นทางนี้ตั้งแต่ปี 2012 และสร้างทฤษฎีสมคบคิดตั้งคำถามว่า บารัก โอบามา (Barack Obama) อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จากพรรคเดโมแครต เกิดในสหรัฐฯ จริงหรือไม่ จนกระทั่งในปี 2015 ทรัมป์ประกาศตัวว่า เขาจะลงสมัครตำแหน่งประธานาธิบดี ด้วยคำขวัญที่ว่า “จะทำให้อเมริกายิ่งใหญ่และดีขึ้นกว่าเดิม”
ไม่มีใครเชื่อว่า ชายผู้ที่หาเสียงด้วยความร่ำรวยของตนเอง และชี้หน้าตีตราว่า ประเทศเพื่อนบ้านอย่างเม็กซิโกค้ายา ก่ออาชญากรรม พร้อมด้วยนโยบาย ‘กำแพงกั้นพรมแดน’ ที่ถูกล้อเลียนว่าเป็นกำแพงเมืองจีน 2.0 จะเอาชนะ ฮิลลารี คลินตัน (Hillary Clinton) อดีตรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศและสตรีหมายเลขหนึ่งได้ หลังดึงดูดความสนใจจากสื่อและคนบางส่วน ด้วยลีลาการอภิปรายดุเดือด โจมตีฝ่ายตรงข้ามตรงไปตรงมา และคาดเดาไม่ได้ ซึ่งผิดวิสัยของนักการเมืองทั่วไป
‘ประธานาธิบดีที่สร้างเรื่องมากที่สุดในประวัติศาสตร์’ อาจเป็นคำจำกัดความผลงานตลอดการบริหารแผ่นดินของทรัมป์ หลังเขาถอนตัวจากข้อตกลงทางการค้า ความร่วมมือด้านสภาวะอากาศ แบน 7 ประเทศมุสลิม ออกข้อจำกัดด้านพรมแดน ยังไม่รวมการทำสงครามการค้ากับจีน ทิ้งพันธมิตรชาติตะวันตก แต่กลับชื่นชมจอมเผด็จการอย่าง คิม จองอึน (Kim Jong-un) ผู้นำเกาหลีเหนือ และวลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ประธานาธิบดีรัสเซีย
ความไม่พอใจของชาวอเมริกันพุ่งสูงสุดในช่วงการระบาดของโควิด-19 เมื่อทรัมป์เผชิญกับเสียงวิจารณ์ว่า เขากำลังทิ้งประชาชนไว้ข้างหลัง จนท้ายที่สุดการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในปี 2020 พิพากษาการทำงานของเขา ด้วยการที่ โจ ไบเดน (Joe Biden) ประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนปัจจุบัน กวาดคะแนนจากคณะผู้เลือกตั้ง อีกทั้งยังได้ Popular Vote มากกว่าถึง 7 ล้านเสียง
แม้ไม่ได้เป็นผู้นำอย่างต่อเนื่อง แต่ทรัมป์ก็ทิ้งทวนความปั่นป่วนในประเทศ ด้วยเหตุการณ์จลาจลของรัฐสภาในเดือนมกราคม 2021 หลังกลุ่มผู้สนับสนุนปักใจเชื่อว่า เขาถูก ‘โกง’ เลือกตั้ง ซึ่งต่อมาถูกฟ้องร้องในข้อหา ‘กบฏ’ พยายามล้มผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในปี 2020
ดูเหมือนชีวิตนักการเมืองของทรัมป์จะจบลง หลังผู้สนับสนุนหรือคนใกล้ตัวประกาศว่า จะไม่สนับสนุนเขาอีกต่อไป แต่ด้วยความดื้อด้านและมั่นใจในตัวเอง ทรัมป์ก็ยังยืนยันจุดประสงค์ในการเป็นผู้นำประเทศ จนกลายเป็นแคนดิเดตตัวเต็งแซงหน้าทุกคนในพรรครีพับลิกัน
ทว่าเหตุการณ์การลอบสังหารในวันที่ 13 กรกฎาคมที่ผ่านมา แปรเปลี่ยนชีวิตของเขาไปตลอดกาล ทรัมป์ได้รับคะแนนนิยมเพิ่มขึ้นในชั่วข้ามคืน ขณะที่พรรครีพับลิกันที่เคยด่าทอ กลับออกมาสนับสนุนเขาอย่างล้นหลาม จนมีคำกล่าวว่า เขาคือกาวใจที่สมานรอยร้าวภายในพรรค
ขณะที่ชีวิตส่วนตัว ทรัมป์เคยแต่งงานถึง 3 ครั้ง โดยภรรยาของเขาทั้งหมด ได้แก่
1. อีวานา เซลนิสโควา (Ivana Zelníčková) นางแบบและนักกีฬาชาวเชก โดยมีบุตรสาวที่โด่งดัง คือ อิวานกา ทรัมป์ (Ivanka Trump)
2. มาร์ลา เมเปิลส์ (Marla Maples)
3. เมลาเนีย คเนาส์ (Melania Knauss) หรือ เมลาเนีย ทรัมป์ อดีตนางแบบชาวสโลวีเนีย โดยมีบุตรชายคือ บาร์รอน วิลเลียม ทรัมป์ (Barron William Trump)
นโยบายโดดเด่นของทรัมป์ในการเลือกตั้งสหรัฐฯ 2024
– นโยบายเศรษฐกิจ Make American Great Again คือ การยุติเงินเฟ้อและทำให้คนอเมริกันใช้จ่ายได้อีกครั้ง รวมถึงลดหย่อนภาษีคนรวย ขณะที่ตั้งกำแพงภาษีสินค้าที่มาจากจีนถึง 60%
– การทำแท้ง ทรัมป์แสดงจุดยืนไม่ชัดเจน แต่บอกว่าจะปล่อยให้สิทธิการตัดสินใจเป็นของแต่ละรัฐแทน
– กวาดล้างผู้อพยพด้วยนโยบายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ ปิดผนึกพรมแดน และใช้กฎหมายเข้มข้นขึ้น
– การต่างประเทศ ให้สหรัฐฯ กลับมาสนใจเรื่องภายในประเทศ และดำเนินนโยบายโดดเดี่ยวจากโลกระหว่างประเทศ (Isolationism)
.
อ้างอิง
– https://www.biography.com/political-figures/donald-trump
– https://www.cfr.org/election2024/candidate-tracker
– https://www.bbc.com/news/articles/cwy343z53l1o
– https://www.bbc.com/news/world-us-canada-35318432
–https://www.newsweek.com/trump-sent-reform-school-teen-bullying-nieces-book-says-1516370
.
Tags: Swing State, Donald Trump, โดนัลด์ ทรัมป์, ทรัมป์, Republican, พรรครีพับลิกัน, เลือกตั้งสหรัฐฯ 2024, กมลา แฮร์ริส, kamala harris, Republican Party