เมื่อวานนี้ (1 เมษายน 2024) รัสเซียปฏิเสธข้อกล่าวหาการอยู่เบื้องหลัง ‘ฮาวานาซินโดรม’ (Havana Syndrome) หลังมีรายงานจากสำนักข่าวชื่อดัง 3 สำนักเผยว่า หน่วยสืบราชการลับของเครมลินเป็นต้นเหตุทำให้เจ้าหน้าที่และนักการทูตอเมริกัน ประสบอาการแปลกประหลาดตลอดเวลาที่ผ่านมา
ย้อนกลับไปในปี 2016 ทฤษฎีสมคบคิดเรื่องฮาวานาซินโดรมเริ่มต้นขึ้น หลังเจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองและนักการทูตในสถานทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศคิวบา ได้ยินเสียงแหลมแสบหูในเวลากลางคืน ตามมาด้วยอาการแปลกประหลาด ได้แก่ มึนหัว อาเจียน มีเลือดออกทางจมูก จนถึงมีปัญหาการมองเห็นและการได้ยินในระยะยาว ซึ่งภายหลังมีการสรุปว่า เป็นฝีมือของรัสเซียที่ใช้ ‘คลื่นโซนิก’ (Sonic Wave) หรือคลื่นความถี่สูงในการโจมตีชาวอเมริกันในต่างประเทศ
แม้บางส่วนมองว่าเป็นเรื่องน่าขบขัน ทว่าทฤษฎีดังกล่าวได้รับการตอกย้ำจากรายงานร่วมของ 3 สื่อ ได้แก่ The Insider สื่อที่เน้นข่าวสารในรัสเซียจากประเทศลัตเวีย, Der Spiegel สื่อเยอรมัน และ CBS’s 60 Minutes รายการสัญชาติอเมริกัน โดยอ้างว่า พวกเขาใช้เวลาสอบสวน 1 ปีเต็ม และค้นพบหลักฐานชิ้นสำคัญที่เชื่อมโยงระหว่างจุดกำเนิดคลื่นโซนิกกับ Unit 29155 ในหน่วยข่าวกรองของรัสเซีย (Main Intelligence Directorate: GRU ในภาษารัสเซีย)
ในรายงานฉบับเต็มมีการอ้างถึงการจับกุม วิตาลอิ โควาเลฟ (Vitalii Kovalev) หัวหน้าพ่อครัวในร้านอาหารหรูสไตล์รัสเซียในรัฐฟลอริดา ผู้เป็นเจ้าหน้าที่นอกเครื่องแบบของหน่วยข่าวกรองรัสเซียในปี 2020 ซึ่งทำให้เจ้าหน้าที่หน่วยข่าวกรองสหรัฐฯ (Federal Bureau of Investigation: FBI) คนหนึ่ง มีอาการแปลกประหลาดตามมา หลังสอบสวนโควาเลฟ
“มันมีสิ่งของแปลกๆ อยู่ในกระเป๋าของเขา เช่น ชามที่เต็มไปด้วยเขม่าเผากระดาษแผ่นหนึ่ง กระดาษสมุดโน้ตของโรงแรมที่มีข้อมูลทางธนาคารเขียนไว้” รายงานร่วมกันของ 3 สื่อดังเผยพร้อมเสริมว่า เจ้าหน้าที่เอฟบีไอเห็น ‘โน้ตบุ๊ก’ กับ ‘สายเคเบิล’ ห้อยระโยงระยาง รวมถึงอุปกรณ์คล้ายคลึงกับ ‘วิทยุสื่อสาร’ ที่เสียบเข้ากับคอมพิวเตอร์และรถยนต์ได้
ผลกระทบข้างต้นส่งผลให้เจ้าหน้าที่บางคนมีอาการบาดเจ็บร้ายแรง บ้างต้องเกษียณอายุราชการก่อนวัยอันควร โดย American Foreign Service Association ออกมายอมรับในปี 2020 ด้วยตนเองว่า ฮาวานาซินโดรมทำร้ายนักการทูตสหรัฐฯ ในทางจิตใจและสติสัมปชัญญะอย่างมาก
นอกจากนี้ รายงานดังกล่าวยังสรุปว่า ฮาวานาซินโดรมอาจไม่ได้เริ่มต้นขึ้นในปี 2016 เพราะเจ้าหน้าที่จากสถานกงสุลสหรัฐฯ ในแฟรงก์เฟิร์ต ประเทศเยอรมนี มีอาการป่วยคล้ายคลึงกันในปี 2014 ซึ่งตรงกับช่วงที่ปูตินผนวกแหลมไครเมีย (Crimea) เป็นส่วนหนึ่งของรัสเซีย
อีกทั้งทางการรัสเซียจงใจใช้สายลับแทรกซึมไปในที่ที่บุคลากรทางการของสหรัฐฯ และครอบครัวอาศัยอยู่ เพื่อปฏิบัติการโจมตีไร้เสียง ซึ่งเป็นสงครามลูกผสม (Hybrid Warfare) ในยุคของ วลาดีมีร์ ปูติน (Vladimir Putin) ผู้นำสูงสุดเครมลิน และท้ายที่สุด สมาชิกระดับสูงของรัสเซีย จะได้บำเหน็จรางวัลด้วยยศถาบรรดาศักดิ์ทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม ทางการเครมลินออกมาตอบโต้ด้วยข้อสันนิษฐานดังกล่าว โดย ดมิทรี เปสคอฟ (Dmitry Peskov) โฆษกรัฐบาล กล่าวว่า นี่ไม่ใช่เรื่องใหม่และเป็นการสร้างกระแสเกินจริงเพื่อกล่าวหารัสเซีย
“ไม่มีฝ่ายไหนรายงานหรือตีพิมพ์ข้อมูลน่าเชื่อถือเลยสักนิด ดังนั้น ทั้งหมดไม่มีอะไรมากไปกว่าการกล่าวหาที่ไร้มูลฐานและไร้ข้อเท็จจริงจากสื่อ”
ขณะที่ ซาบรินา ซิงห์ (Sabrina Singh) โฆษกกระทรวงกลาโหมสหรัฐฯ ออกมายอมรับเพิ่มเติมต่อรายงานชุดใหม่ของสื่อว่า อาการแปลกประหลาดดังกล่าวยังคงเกิดขึ้นต่อเนื่อง เพราะในการประชุมสุดยอดนาโต (North Atlantic Alliance Organization: NATO) ที่วิลนีอุส (Vilnius) ประเทศลิทัวเนีย เมื่อปี 2023 เจ้าหน้าที่บางคนรู้สึกมีอาการเดียวกับฮาวานาซินโดรมจริง
ก่อนหน้านี้ มีการเปิดเผยรายงาน ‘ภัยคุกคามของชาติ’ (Annual Threat Assessment) ว่า ภายในชุมชนหน่วยข่าวกรองจะติดตามและเฝ้าดูผู้ป่วยจาก ‘อาการผิดปกติ’ (Anomalous Health Incidents: AHI) อย่างใกล้ชิด พร้อมระบุว่า ‘ไม่น่าเป็นไปได้’ ที่ โรคแปลกประหลาดนี้มาจากฝ่ายตรงข้ามในการเมืองระหว่างประเทศ
ปัจจุบันมีรายงานว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงของสหรัฐฯ ป่วยจากฮาวานาซินโดรมมากกว่า 100 คน ซึ่งกระจายไปทั่วโลก ทั้งในภูมิภาคยุโรป ประเทศจีน หรือภายในประเทศก็ตาม โดยมีอาการหลัก คือ มึนและปวดศีรษะ สมาธิสั้น และได้ยินเสียงแปลกๆ ในลำหู
อ้างอิง
https://theins.ru/en/politics/270450
https://www.politico.eu/article/havana-syndrome-link-russia-military-intelligence-agency-gru-report/
https://themomentum.co/politicianincrime-havana-syndrome/
Tags: อาการป่วย, Havana Syndrome, สหรัฐอเมริกา, ฮาวานาซินโดรม, อเมริกา, หน่วยข่าวกรอง, รัสเซีย, โรคฮาวานา, คิวบา, ฮาวานา, ปูติน, วลาดีมีร์ ปูติน, อเมริกัน, สหรัฐฯ