ตอนอายุ 19 ปี คุณทำอะไรอยู่?
ในวัย 19 ปี ของ จูด เบลลิงแฮม (Jude Bellingham) นักฟุตบอลดาวรุ่งสัญชาติอังกฤษจากสโมสรโบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ แห่งบุนเดสลีกา ลีกใหญ่ในประเทศเยอรมัน กำลังถูกสโมสรยักษ์ใหญ่แห่งลาลีกา สเปน อย่างเรอัลมาดริดตามจีบ เตรียมทำสัญญาจ่ายเงินเพื่อเป็นค่าตัวในการดึงเขาไปร่วมทีมราว 103 ล้านยูโร หรือประมาณ 3,800 ล้านบาท
และอาจเพิ่มขึ้นไปสิ้นสุดที่ 133 ล้านยูโร หรือประมาณ 4,500 ล้านบาท!
ราคาเท่านี้จะทำให้ ‘หนุ่มจูด’ กลายเป็นนักฟุตบอลอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล แซงหน้า แจ็ค กรีลิช (Jack Grealish) ที่ย้ายจากสโมสรแอสตัน วิลลา ไปสโมสรแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยราคา 116 ล้านยูโร เมื่อปี 2021 ทันที
น่าสนใจว่า ทำไมเด็กหนุ่มที่เพิ่งลงเล่นให้กับสโมสรจากลีกรองของอังกฤษเมื่อ 4 ปีก่อน จึงกลายมาเป็นดาวรุ่งค่าตัวแพงที่สโมสรเบอร์ต้นของโลกอย่างเรอัลมาดริดสนใจอย่างจริงจัง และยอมจ่ายแพงเช่นนี้เพื่อดึงมาร่วมทีมให้ได้
Game On สัปดาห์นี้ ชวนอ่านเส้นทางของ จูด เบลลิงแฮม สุดยอดดาวรุ่งจากเกาะอังกฤษที่ร้อนแรงที่สุดในเวลานี้ ผู้ถูกหมายมั่นว่าจะกลายมาเป็นหนึ่งในนักฟุตบอลคนสำคัญของเรอัลมาดริดยุคใหม่ และของโลกฟุตบอล
เด็กหนุ่มผู้มีสายเลือดนักฟุตบอล
จูด เบลลิงแฮม ลืมตาดูโลกเมื่อวันที่ 29 มิถุนายน 2003 ที่สเตาร์บริดจ์ (Stourbridge) เมืองหลวงของดัดลีย์ (Metropolitan Borough of Dudley) ในประเทศอังกฤษ ด้านครอบครัว มาร์ก เบลลิงแฮม (Mark Bellingham) พ่อของเขาเป็นจ่าสิบเอกของสถานีตำรวจ West Midlands Police และเป็นนักฟุตบอลนอกลีกที่มีฝีเท้าดี นั่นเองที่อาจมีส่วนในสายเลือดส่งต่อมาถึงจูดและโจบ เบลลิงแฮม (Jobe Bellingham) น้องชายเขา ซึ่งปัจจุบันเป็นนักฟุตบอลของสโมสรเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในลีกแชมป์เปียนชิพของอังกฤษ อดีตต้นสังกัดของจูด
ในวัยเด็ก จูดเข้าเรียนที่โรงเรียนไพรเออรี (The Priory School) เบอร์มิงแฮม และเข้าร่วมทีมฟุตบอลเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ในรุ่นอายุต่ำกว่า 8 ปี (U-8) ก่อนจะขยับมาเล่นทีม U-18 ตั้งแต่อายุเพียง 15 ปี
ฝีเท้าของจูดถือว่าโดดเด่นกว่านักฟุตบอลในรุ่นเดียวกัน กระทั่งถึงเดือนมีนาคมปี 2019 ก่อนที่จะอายุ 16 ปีเต็ม นิตยสารฟุตบอลชื่อดังอย่าง FourFourTwo ก็จัดอันดับให้จูดอยู่ในรายชื่อ ‘ดาวรุ่งที่น่าตื่นตามากที่สุดของวงการฟุตบอลอังกฤษ’ โดยเขียนถึงเขาไว้ว่า ‘เป็นที่สนใจของสโมสรใหญ่ในยุโรป’
ในขณะที่ยังเป็นเยาวชน จูดมีโอกาสได้ลงฝึกซ้อมร่วมกับทีมชุดใหญ่ของเบอร์มิงแฮม ซิตี้ นั่นทำให้เขาได้เรียนรู้สภาพแวดล้อมและบรรยากาศของความเข้มข้นในทีมชุดใหญ่อย่างเต็มเปี่ยม รวมถึงได้ลองซ้อมกับนักเตะชุดใหญ่ และมีโอกาสเข้าไปชมเกมการแข่งขันด้วย
หลังจากนั้น ในเดือนกรกฎาคม ปี 2019 จูดได้รับทุนการศึกษาเป็นเวลาสองปีกับเบอร์มิงแฮม ซิตี้ และถูกเรียกตัวให้เป็นส่วนหนึ่งของแคมป์ฝึกซ้อมชุดใหญ่ของสโมสร ที่สำคัญคือ เขาได้ลงเล่นในเกมกระชับมิตรช่วงปรีซีซั่นของทีมและทำประตูได้ด้วย
นั่นคือจุดเริ่มต้นของ จูด เบลลิงแฮมกับอาชีพนักฟุตบอล
อายุน้อยเป็นประวัติศาสตร์ของสโมสร
ในตอนที่การแข่งขันลีกแชมเปียนชิพ ซึ่งเป็นลีกรองของอังกฤษ ฤดูกาล 2019-2020 เปิดฉาก จูด ได้รับเสื้อหมายเลข 22 และได้ลงเล่นเป็นทางการในเกม EFL Cup ในการไปเยือนสโมสรพอร์ตสมัธ (Portsmouth) นั่นทำให้เขากลายเป็นผู้เล่นทีมชุดใหญ่ที่อายุน้อยที่สุดของเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ขณะที่อายุ 16 ปี 38 วัน แม้ทีมจะแพ้ไป 3 ต่อ 0 แต่ในวันนั้น จูดก็ได้รับเลือกให้เป็นแมนออฟเดอะแมตช์ของเบอร์มิงแฮม
หลังจากนั้น 19 วันถัดมา จูดก็ได้ประเดิมสนามในเกมลีกเป็นครั้งแรก โดยเป็นตัวสำรองช่วงครึ่งหลังในเกมที่พ่ายต่อสวอนซี ซิตี้ (Swansea City) 3 ต่อ 0
และในที่สุด ประตูแรกของจูดเกิดขึ้นในเกมที่เบอร์มิงแฮม ซิตี้ เอาชนะ สโตก ซิตี้ (Stoke City) 2 ประตูต่อ 1 ซึ่งทำให้จูดทำลายอีกหนึ่งสถิติ คือการเป็นผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดของสโมสรด้วยวัย 16 ปีกับ 63 วัน
หลังจากนั้น จูดมีโอกาสได้ลงเล่นอย่างต่อเนื่อง และถูกปรับตำแหน่งจากการเล่นปีกซ้ายไปเป็นมิดฟิลด์ตัวกลาง โดย เป๊ป โคลเท็ต (Pep Clotet) หัวหน้าโค้ชของสโมสรเคยกล่าวว่า จูดรู้สึกสบายใจมากขึ้นในการประจำตำแหน่งแดนกลาง ซึ่งจะสามารถเข้าไปป้วนเปี้ยนใกล้กรอบเขตโทษของฝ่ายตรงข้ามได้
ด้วยฟอร์มการเล่นที่น่าจับตาขณะที่อายุยังน้อยมาก เดือนมกราคม 2020 จูดมีข่าวกับสโมสรใหญ่หลายแห่ง ถึงขั้นมีรายงานว่า ในวันสุดท้ายของตลาดซื้อขายนักเตะ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ได้ปฏิเสธข้อเสนอ 20 ล้านปอนด์จากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด (Manchester United) ยักษ์ใหญ่แห่งพรีเมียร์ลีก ซึ่งในขณะนั้นมีโอเล กุนนาร์ โซลชา (Ole Gunnar Solskjaer) เป็นผู้จัดการทีม
หลังจากจูดได้ลงเล่นทีมชุดใหญ่อย่างสม่ำเสมอ เขาก็กลายเป็นส่วนสำคัญของทีม และช่วยให้เบอร์มิงแฮม ซิตี้รอดจากการตกชั้นในฤดูกาลดังกล่าว จนทำให้สโมสรประกาศยกเลิกเสื้อหมายเลข 22 ของจูด เพื่อเป็นเกียรติให้เขาเลยทีเดียว
ในเวลานั้น เขากลายเป็นดาวรุ่งที่น่าจับตาที่สุดของเกาะอังกฤษไปแล้ว
มุ่งหน้าสู่เยอรมัน เวทีแห่งการปั้นดาวรุ่งพรสวรรค์สูง
ศึกบุนเดสลีกา (Bundesliga) ของเยอรมัน มีชื่อเสียงในเรื่องของการเป็นเวทีสำหรับนักเตะดาวรุ่งพรสวรรรค์สูงน่าจับตาทั่วโลกที่มาโชว์ฝีเท้า และทีมที่ขึ้นชื่อเรื่องการปั้นนักเตะอายุน้อยให้กลายเป็นนักเตะระดับโลก ก็คงหนีไม่พ้น โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ (Borussia Dortmund)
โรเบิร์ต เลวานดอฟสกี (Robert Lewandowski), อิลคาย กุนโดกาน (Ilkay Gündogan), ปิแอร์-เอเมอริค โอบาเมยอง (Pierre-Emerick Aubameyang), อุสมาน เดมเบเล (Ousmane Dembele), คริสเตียน พูลิซิช (Christian Pulisic), เจดอน ซานโช (Jadon Sancho) และเออร์ลิง ฮาลันด์ (Erling Haaland) ล้วนแล้วแต่ผ่าน ‘โรงเรียนเสือเหลือง’ แห่งนี้มาแล้วด้วยกันทั้งนั้น
จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจที่หลังจากมีข่าวกับสโมสรยักษ์ใหญ่หลายแห่ง ท้ายที่สุด จูด เบลลิงแฮม จะเลือกมาซบใต้ชายคาสังเวียน ซิกนัล อิดูนา พาร์ก (Signal Iduna Park) สนามเหย้าของดอร์ทมุนด์ ด้วยค่าตัวที่ไม่เปิดเผย แต่สำนักข่าวสกายสปอร์ต (SkySports) รายงานว่า น่าจะอยู่ที่ราว 25 ล้านปอนด์ ซึ่งทำให้จูดกลายเป็นนักเตะอายุ 17 ปี ที่ค่าตัวแพงที่สุดในประวัติศาสตร์
การเข้ามาสู่ทีมถูกดอร์ทมุนด์ซึ่งเป็นทีมใหญ่ของยุโรป ช่วยพัฒนาฝีเท้ารวมถึงความสามารถในการ ‘รับแรงกดดัน’ ของจูดได้เป็นอย่างดี เขาได้เดบิวต์ลงสนามครั้งแรกในเดือนกันยายน 2020 ด้วยวัย 17 ปี 77 วัน ในศึกฟุตบอลถ้วย เดเอฟเบ โพคาล (DFB-Pokal) และยิงประตูได้ กลายเป็นผู้ทำประตูที่อายุน้อยที่สุดของสโมสรในการแข่งขันเดเอฟเบ โพคาล
ไม่เพียงแค่นั้น ในเดือนตุลาคมปีเดียวกัน ในศึกยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (UEFA Champions League) ถ้วยใหญ่ที่สุดของสโมสรยุโรป เกมที่ดอร์ทมุนด์พบกับลาซิโอ (Lazio) จูดก็กลายเป็นนักเตะอังกฤษอายุน้อยที่สุดที่ได้ลงเล่นในแชมเปียนส์ลีก ทำลายสถิติของฟิล โฟเดน (Phil Foden) ที่ทำไว้ก่อนหน้านี้
ถูกจับตามองโดยยักษ์ใหญ่แห่งโลกฟุตบอล
หลังจากนั้น จูดพัฒนาฝีเท้าขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นตัวหลักของทีมอย่างแท้จริง ด้วยวัยเพียง 19 ปี เขาคือนักเตะที่สมบูรณ์แบบ เป็นกองกลางที่สามารถครองบอลและขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้ดี ครองบอลเหนียวแน่น รับความกดดันจากการเพรสซิ่งได้ หาช่องว่างในแนวรับของคู่แข่งเก่ง รวมถึงทั้งจ่ายบอลให้เพื่อนยิงประตูและทำประตูเองได้
“เขาเป็นหนึ่งในผู้เล่นที่มีพรสวรรค์มากที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา” ฟิล โฟเดน กองหน้าดาวรุ่งจากแมนเชสเตอร์ ซิตี้ กล่าวถึงเพื่อนร่วมทีมชาติอังกฤษของเขาทางช่องไอทีวีเมื่อเดือนธันวาคมปีที่ผ่านมา “ผมไม่เห็นจุดอ่อนในเกมของเขาเลย ผมคิดว่าเขามีทุกอย่าง และมั่นใจว่าเขาจะเป็นกองกลางที่ดีที่สุดในโลก”
ขณะที่แกเร็ธ เซาธ์เกต (Gareth Southgate) ผู้จัดการทีมชาติอังกฤษกล่าวว่า “ไม่มีใครคาดเดาได้ว่า จูดจะเติบโตอย่างรวดเร็วในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งพาเขาไปสู่อีกระดับหนึ่ง” ส่วนรอย คีน (Roy Keane) ตำนานของทีมปิศาจแดงและกูรูของช่องไอทีวีกล่าวว่า “ผมไม่เห็นมิดฟิลด์ดาวรุ่งโชว์ฟอร์มแบบนี้มาหลายปีแล้ว โดยปกติแล้วคุณจะเห็นฟอร์มแบบนี้ได้จากผู้เล่นระดับโลกที่อายุ 26 หรือ 27 ปี ทุกอย่างที่เขาทำในเกมการแข่งขัน สิ่งที่เกิดขึ้นในสมองของเขา การตัดสินใจ การจบสกอร์ การผ่านบอล ไอ้เด็กคนนี้มีทุกอย่าง”
ไม่น่าแปลกใจที่เขากลายเป็นหนึ่งในดาวรุ่งที่ดีที่สุดของยุโรปไปแล้ว และถูกจับตามองโดยยักษ์ใหญ่แห่งโลกฟุตบอล
สู่ราชันชุดขาวด้วยค่าตัวสถิติโลก
“มันเป็นความฝันที่เป็นจริง” จูดเคยกล่าวกับเว็บไซต์ bundesliga.com “ตอนที่ผมเซ็นสัญญากับดอร์ทมุนด์ครั้งแรก มันเป็นสิ่งที่ผมไม่เคยคิดเลยด้วยซ้ำว่าจะเป็นไปได้ (การเป็นกัปตันทีม) จนกระทั่งผมได้พบกับเพื่อนร่วมทีม และตระหนักได้ว่าพวกเขาสามารถให้ความเชื่อมั่นแก่ผมในการเป็นกัปตันทีมได้ในสักวันหนึ่ง”
ด้วยวัย 19 ปี จูดผ่านการสวมปลอกแขนกัปตันทีมดอร์ทมุนด์มาแล้ว และฝากสถิติมากมายที่ดอร์ทมุนด์และบุนเดสลีกา ถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษแล้ว 24 นัด ยิงประตูและจ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้ในฟุตบอลโลก แถมยังคว้ารางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของลีกฤดูกาลล่าสุดมาครองได้
ดังนั้น เมื่อฤดูกาล 2021-2022 จบลง อนาคตของจูดก็ถูกจับตาอย่างหนัก
ทีมยักษ์ใหญ่ที่มีข่าวกับจูด ได้แก่ แมนเชสเตอร์ ซิตี้, ลิเวอร์พูล และเรอัลมาดริด ฝั่งซิตี้ของกุนซือเป๊ป กวาดิโอลาร์ (Pep Guardiola) มองหาการเสริมความแข็งแกร่งในแดนกลางก่อนฤดูกาลหน้าจะเริ่มต้น แต่ในขณะที่ให้ความสนใจในตัวนักเตะ ซิตี้กลับไม่ได้ยื่นข้อเสนอค่าตัวหรือค่าเหนื่อยให้แก่สโมสรและจูดอย่างเป็นทางการ
ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ลิเวอร์พูลก็ถอนตัวจากการชิงตัวจูด หลังจากพิจารณาว่าข้อเสนอค่าตัวของจูดโดยรวมสูงเกินไป ดังนั้นเรอัลมาดริด สโมสรซึ่งมีสถิติคว้าแชมป์มากมาย จึงกลายเป็นตัวเต็งที่จะได้รับดาวรุ่งอันดับหนึ่งคนนี้ไปร่วมทีม
กระทั่ง 7 มิถุนายน 2023 ที่ผ่านมา ดอร์ทมุนด์ก็แถลงการณ์ยืนยันว่า จูด เบลลิงแฮม จะเซ็นสัญญาร่วมทีมเรอัลมาดริด ด้วยมูลค่า 103 ล้านยูโร และอาจเพิ่มขึ้นไปสิ้นสุดที่ 133 ล้านยูโร เมื่อรวมค่าแอดออน (Add-on) เรียบร้อยแล้ว
และนั่นทำให้เขากลายเป็นนักฟุตบอลอังกฤษที่มีค่าตัวแพงที่สุดตลอดกาล แซงหน้าแจ็ค กรีลิช (Jack Grealish) ที่ย้ายจากแอสตัน วิลลา ไปแมนเชสเตอร์ ซิตี้ ด้วยราคา 116 ล้านยูโร เมื่อปี 2021
หัวใจของราชันยุคใหม่
มีการคาดการณ์กันว่า การเข้ามาของจูดจะช่วยแก้ปัญหาการขาดนักเตะในตำแหน่งกองกลางได้ เนื่องจากโทนี โครส (Toni Kroos) วัย 33 ปี และลูกา โมดริช (Luka Modric) วัย 37 ปี สองห้องเครื่องคนสำคัญของทีม ต่างก็ล่วงเลยเข้าสู่ช่วงปลายอาชีพแล้ว รวมถึงมาดริดก็เพิ่งเสียคาริม เบนเซมา (Karim Benzema) กองหน้าคนสำคัญให้กับสโมสรอัล-อิตติฮัด (Al-Ittihad) แห่งซาอุดีอาระเบียไป
การมาร่วมทีมราชันชุดขาว จะทำให้เขาได้ผนึกกำลังร่วมกับเหล่านักเตะอายุน้อยของทีมหลายคน อาทิ วินิซิอุส จูเนียร์ (Vinicius Junior), เอดูอาร์โด คามาวิงกา (Eduardo Camavinga), โรดริโก (Rodrygo) และเฟเดริโก บัลเบเด (Federico Valvede) เพื่อนำเรอัลมาดริดไปสู่ยุคใหม่อย่างเป็นทางการ
น่าตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่งว่า ดาวรุ่งค่าตัวประวัติศาสตร์คนนี้ จะกลายเป็นฟันเฟืองสำคัญของยักษ์ใหญ่แห่งสเปนอย่างเรอัลมาดริดในยุคใหม่นี้ได้อย่างไรบ้าง
อ้างอิง
https://www.dw.com/en/bundesliga-jude-bellingham-to-join-real-madrid/a-65852782
https://www.bundesliga.com/en/bundesliga/player/jude-bellingham
https://theathletic.com/4484624/2023/06/07/jude-bellingham-real-madrid-transfer-dortmund/
Tags: จูด เบลลิงแฮม, Germany, Spain, ฟุตบอล, นักฟุตบอล, เรอัลมาดริด, ลาลีกา, Jude Bellingham, บุนเดสลีกา, โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์