11.56 น. ของวันที่ 25 เมษายน 2015 ในประเทศเนปาล เกิดแผ่นดินไหวขนาดความรุนแรง 7.8 แมกนิจูด เป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตเกือบ 9,000 คน บาดเจ็บกว่า 22,000 คน และกว่า 500,000 คนต้องไร้ที่อยู่อาศัย ในวันนั้น โอมาร์ ฮาวานา (Omar Havana) ช่างภาพผู้สื่อข่าวชาวสเปนประจำเนปาล คือหนึ่งในผู้ประสบภัย
นับจากนาทีที่รอดตาย โอมาร์บันทึกภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่นทุกวัน แม้เอเจนซี่ภาพต้นสังกัดและสื่ออื่นๆ ไม่ต้องการให้พื้นที่ข่าวกับเหตุแผ่นดินไหวที่เนปาลอีกต่อไป แต่เขาก็เลือกที่จะเป็นประจักษ์พยานและร่วมชะตากรรมกับชาวเนปาลต่อมาอีก 7 เดือน ซึ่งภาพและบันทึกสั้นๆ ที่สดในความรู้สึกของเขาถูกรวบรวมไว้ในหนังสือภาพชื่อ Endurance
“Endurance เกี่ยวกับผู้คนในเนปาลและการต่อสู้ของพวกเขา
มันเป็นหนังสือของคนเนปาล ผมแค่ทำหน้าที่ของผมเท่านั้นเอง”
ก่อนเป็นช่างภาพอาชีพ คุณผ่านอะไรมาบ้าง
ผมเริ่มอาชีพช่างภาพตอนปี 2002 เป็นแค่ช่างภาพฟรีแลนซ์ มันอยู่ยากนะ เลยต้องทำงานหลายอย่าง ตั้งแต่พนักงานโรงแรม พนักงานบริษัทให้เช่ารถ และพนักงานสายการบินที่อังกฤษ จนในที่สุดก็มาเป็นช่างภาพอาชีพและเลี้ยงตัวด้วยการถ่ายภาพ
งานส่วนใหญ่ตอนนี้เป็นงานแบบใด
ส่วนใหญ่ผมถ่ายภาพข่าวรายวัน ตอนนี้ถ่ายให้ The New York Times โครงการของเอ็นจีโอบางแห่ง และโปรเจกต์ส่วนตัวในประเด็นที่ผมสนใจ ช่างภาพบางคนบอกว่าการถ่ายภาพข่าวรายวันมันง่าย มันก็ไม่ง่ายหรอก แต่ก็ง่ายกว่าถ่ายภาพสารคดี อย่างคุณจะถ่ายภาพการชุมนุมประท้วงสำหรับข่าวรายวัน คุณก็แค่ติดตามผู้ประท้วงและถ่ายสิ่งที่เกิดขึ้น แต่สำหรับงานสารคดี คุณต้องคิดว่าคุณต้องการอะไร จะเล่าเรื่องอย่างไร มันใช้เวลา แต่ผมชอบมากกว่า
ผมประจำกัมพูชามาแปดปีแล้ว มีเข้าๆ ออกๆ บ้าง ยกเว้นตอนไปเนปาลช่วงปี 2014 ที่อยู่นานร่วมปีครึ่ง กัมพูชาเปลี่ยนไปเร็วมากเพราะการพัฒนา ผมกำลังทำโปรเจกต์ระยะยาวส่วนตัวเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของพนมเปญ ตอนที่มาใหม่ๆ พนมเปญมีแต่บ้านหลังเล็กๆ ผมอยากเก็บภาพที่บันทึกให้เห็นว่าเมืองโตขึ้นอย่างไร สภาพบ้านเรือนเปลี่ยนไปอย่างไร ทำไมตึกใหญ่ๆ จึงมีค่ามากกว่าบ้านเล็กๆ หลายๆ หลัง มันเกี่ยวข้องกับผู้คนทั้งชนชั้นกลาง คนจน และคนรวย ผมพยายามทำให้เป็นสารคดีเกี่ยวกับความยุติธรรมในสังคม ผมไม่ได้เป็นห่วงคนรวยหรอก แต่อยากนำเสนอเรื่องราวของคนที่ไม่มีเงิน คนที่มีชีวิตยากลำบาก ไม่มีสิทธิ์ไม่มีเสียงในสังคม ไม่มีใครสนใจ ผมรู้สึกว่านี่เป็นภาระหน้าที่ที่ต้องทำ
ตอนย้ายจากกัมพูชาไปอยู่เนปาล มีเหตุผลอะไรเป็นพิเศษหรือไม่
หลังจากปรึกษากับบรรณาธิการที่ Getty Images เราเห็นตรงกันว่าผมน่าจะท้าทายงานถ่ายภาพของตัวเองด้วยการหาอะไรใหม่ๆ แล้วเนปาลก็เป็นหนึ่งในประเทศที่เราสนใจ ตอนนั้นผมไม่รู้จักเนปาลเลย และนั่นก็เป็นเหตุผลที่ผมเลือกย้ายไปเนปาล
ผมชอบไปประเทศที่ผมไม่รู้จัก เพื่อจะได้ค้นพบอะไรใหม่ๆ และเรียนรู้ผู้คน ในฐานะช่างภาพ ผมคิดว่ามันคงดีถ้าเจออะไรที่ทำให้รู้สึกประหลาดใจ โดยไม่ได้ตั้งธงไปล่วงหน้าว่าจะเจออะไร และเนปาลก็ทำให้ผมประหลาดใจมาก
เนปาลมีอะไรที่ทำให้คุณประหลาดใจ
ผมหลงรักประเทศนี้ทันทีที่ไปถึง สำหรับผม ประเทศที่สวยงามไม่ได้อยู่ที่อนุสาวรีย์ ไม่ใช่อาคารสถานที่ ไม่ใช่แม้แต่ภูเขาหิมาลัย แต่คือผู้คน คนเนปาลเป็นมิตร ยิ้มแย้ม คนเนปาลได้ใจผมไปเต็มๆ
เหตุการณ์อะไรที่ทำให้คุณตกหลุมรักคนเนปาลขนาดนั้น
เป็นเรื่องของช่างภาพชาวเนปาล ผมอยู่ได้ประมาณหนึ่งเดือนก็ต้องไปถ่ายภาพการประชุมระหว่างนายกรัฐมนตรีอินเดียและบังกลาเทศ ผมทำงานให้เอเจนซี่ ช่างภาพอีกสามคนก็ทำงานให้เอเจนซี่เหมือนกัน แต่เขาเป็นช่างภาพท้องถิ่นซึ่งได้ค่าตอบแทนน้อย ทำงานก็หนัก ตอนนั้นเรากำลังนั่งส่งรูปกันอยู่ จู่ๆ ก็มีอาหารและเครื่องดื่มมาวางที่โต๊ะ ผมถามว่าเท่าไหร่ เขาตอบว่าไม่ นายทำงานบอกเล่าเรื่องราวของประเทศเรา เราเลี้ยงข้าวนายเอง ผมบอกว่าไม่เอาน่า นายก็ไม่ได้มีเงินมากมายอะไร ให้ฉันจ่ายเถอะ เขายืนคำขาดเลยว่าไม่! ถ้าอยู่ในเนปาล เขาจะเป็นคนจ่าย
อีกครั้งหนึ่งเป็นคืนแรกหลังเกิดเหตุแผ่นดินไหว ผมนอนอยู่ริมถนน เพราะตึกที่ผมเช่าอยู่พังเสียหายหมด มันยังมีอาฟเตอร์ช็อกอยู่เรื่อยๆ ทุก 40-45 นาที ผมนอนไม่ค่อยหลับ แล้วก็รู้สึกว่ามีใครบางคนมาสัมผัสตัว ในใจคิดว่าจะมาขโมยกล้องหรือเปล่า ปรากฏว่าเป็นผู้หญิง เธอมาเพื่อบอกว่าไม่ต้องกังวลนะ เราจะดูแลคุณเอง คุณคิดดู นั่นมันคืนแรกหลังจากแผ่นดินไหว บ้านทุกคนก็พัง เธอก็เหมือนกัน แต่เธอบอกผมว่าจะดูแลผมเอง นี่แหละคนเนปาล พวกเขาดีใจที่ได้ช่วยคน พวกเขาทำให้คนต่างชาติรู้สึกว่าเนปาลคือบ้าน ในเนปาล ผมไม่เคยรู้สึกว่าเป็นนักท่องเที่ยวหรือเป็นคนต่างชาติ ผมรู้สึกว่านี่คือประเทศของผม คนเหล่านั้นคือเพื่อนร่วมประเทศของผม
ตอนเกิดแผ่นดินไหว คุณทำอะไรอยู่
ผมหลับอยู่ ตอนนั้นสายแล้วล่ะ ผมยังไม่ตื่น น่าจะเกือบๆ เที่ยง ผมรู้สึกเหมือนมีคนเตะเตียง คิดว่าแฟนคงมาปลุกเหมือนทุกวัน ตื่นๆ! อะไรแบบนั้น ผมอยู่บนตึกสูง พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็เห็นห้องมันส่าย ผมพยายามจะลุกขึ้นยืน แต่ยืนไม่อยู่ แล้วก็ล้มลงไป จึงพยายามหนีออกจากตึก พอออกมาได้ ได้ยินเสียงร้องตะโกนจากแถวนั้น เห็นกำแพงพังเสียหาย ผนังกระจกแตกละเอียด มันน่ากลัวมาก ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่าเกิดแผ่นดินไหว สมองยังงงๆ เวลาตื่น ผมต้องดื่มกาแฟและสูบบุหรี่ ผมถึงจะตื่นจริงๆ แต่พอเห็นคนที่พากันหนีออกมาจากบ้านตัวเองร้องไห้อยู่บนถนน สีหน้าและปฏิกิริยาของพวกเขาทำให้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ แล้ว ผมจึงรีบเก็บภาพสิ่งที่เกิดขึ้น และนั่นก็เป็นสิ่งที่ผมทำไปตลอดเจ็ดเดือนหลังจากนั้น
ตลอดเจ็ดเดือนนั้น คุณเห็นอะไรบ้างนอกจากภาพที่คุณถ่าย
สิ่งที่ผมเห็นคือรอยยิ้ม ผมคิดว่าสิ่งที่งดงามที่สุดในชีวิตคนเราคือรอยยิ้ม ไม่ว่าตอนไหน ผมก็เห็นรอยยิ้มของคนเนปาล ผมควรถ่ายรูปคนกับรอยยิ้มให้มากกว่านี้ เพราะผมต้องการแสดงให้เห็นว่าคนเนปาลใจสู้แค่ไหน แต่ผมไม่ได้ถ่าย เพราะพวกเขายิ้มให้ผม และผมไม่อยากแบ่งรอยยิ้มนั้นให้ใคร มันเป็นรอยยิ้มที่ทำให้ผมรักเนปาล ผมอยากจะจดจำมันไว้ในใจ ภาพพวกนี้บันทึกไว้ด้วยดวงตาของผม ในหนังสือไม่มีภาพรอยยิ้ม แต่ผมรู้สึกถึงมันได้
การถ่ายภาพคือการตัดทอนหรือเพิ่มเติมบางสิ่งในภาพ ซึ่งทำให้ความหมายในภาพนั้นเปลี่ยนไปได้ด้วยซ้ำ คุณมีวิธีการถ่ายทอดเรื่องราวผ่านภาพถ่ายของคุณอย่างไร
ผมพยายามสะท้อนความเป็นจริงออกมาให้ได้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ในฐานะช่างภาพผู้สื่อข่าว เราเปลี่ยนมันไม่ได้ และจะไม่ทำให้ภาพมันเกินไปจากความเป็นจริง แน่นอนว่าเราบันทึกทุกสิ่งทุกอย่างในภาพเดียวไม่ได้ เราต้องเลือกเฟรมภาพที่แสดงถึงเหตุการณ์นั้น
เวลาถ่ายภาพแล้วต้องเจอกับผู้คนที่กำลังเจ็บปวดหรือทรมาน และเขาไม่อยากให้ถ่ายภาพ คุณมีวิธีอย่างไรที่จะได้ภาพเหล่านั้นมา
ทางเดียวที่จะเข้าหาผู้คนได้ก็คือไม่เข้าหาในฐานะช่างภาพ แต่ไปในฐานะเพื่อนมนุษย์คนหนึ่ง สุภาพและอ่อนน้อม พยายามเข้าใจว่าพวกเขาคือใคร พวกเขาต้องการอะไร ไปด้วยรอยยิ้มและความเอาใจใส่ พยายามเข้าใจความรู้สึกของพวกเขา
ผมไม่ชอบถ่ายภาพที่ปราศจากความเข้าใจ ไม่รู้จักว่าเขาเป็นใคร อยู่อย่างไร สำหรับผม การพูดคุยนั้นสำคัญกว่าการถ่ายภาพ ผมพูดได้ห้าภาษา สเปน อังกฤษ ฝรั่งเศส อิตาลี กัมพูชา ปกติก็จะใช้หนึ่งในภาษาที่พูดได้นี่แหละคุยเอง ไม่ก็ไปกับล่ามหรือนักข่าวท้องถิ่น มีหลายครั้งที่ผมไปเจอผู้คนเพื่อรายงานข่าว แต่ผมไม่ได้ถ่ายภาพพวกเขาเลย สำหรับผม ภาพถ่ายเป็นเรื่องรอง สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการเห็นใจกันและกัน
ทำไมถึงอยากเผยแพร่ภาพถ่ายชุด Endurance
เวลาเกิดเหตุการณ์อะไรแบบนี้ ทุกคนต้องการความช่วยเหลือ ผมจะบินกลับประเทศเลยก็ได้ นี่ไม่ใช่ประเทศของผม แต่ที่นี่คือบ้านของผม ผมรักประเทศนี้ ผมรักคนเหล่านี้ รู้สึกว่าต้องทำอะไรสักอย่าง ผมรักษาคนไม่เป็น สิ่งเดียวที่ทำได้ในชีวิตของผมคือการถ่ายภาพ ผมต้องบอกเล่าเรื่องราวพวกนี้
วันแรกที่เกิดเหตุ ผมไปถ่ายรูป มีชายคนหนึ่งคงกำลังค้นหาร่างของผู้รอดชีวิต เขามองมาที่ผมแล้วบอกว่าหยุดถ่ายรูปแล้วมาช่วยผม ผมชะงักเลย พับผ่าสิ! ผมไม่ควรถ่ายรูป แต่ใครบางคนพูดขึ้นว่า ไม่! คุณต้องถ่าย เพราะจะได้บอกให้คนอื่นรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
ผมต้องบอกให้โลกรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่เนปาล ต้องสื่อสารให้เครือข่ายเอ็นจีโอทั่วโลกรับรู้ เขาจะได้มาช่วยเหลือ มันเป็นงานของผม และเหตุผลที่ทำเป็นหนังสือภาพขึ้นมาก็เพราะภาพภาพนี้ (เขาชี้ให้ดูเส้นกราฟที่พุ่งขึ้นสูงและวูบดิ่งรวดเร็ว) นี่คือกราฟความสนใจประเทศเนปาลของสื่อนานาชาติ หนึ่งสัปดาห์หลังแผ่นดินไหว ไม่มีสื่อให้ความสนใจอีกเลย ในขณะที่คนเนปาลยังต้องฟื้นฟูประเทศ แต่สื่อไม่สนใจอีกแล้ว ผมต้องการบอกเล่าเรื่องราวเหล่านี้ มันเป็นเรื่องราวที่งดงาม ผู้คนต่อสู้ไปด้วยกัน ยินดีไปด้วยกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน
ทำไม Endurance จึงเป็นภาพขาวดำ
เพราะเนปาลเป็นประเทศที่มีสีจัดจ้านมาก แดงก็แดงจัด เหลืองก็เหลืองจัด เวลาดูภาพ คุณจะเห็นสีเด่นขึ้นมาก่อน มันทำให้สับสนว่าอะไรคือสิ่งที่ภาพจะสื่อสาร ภาพพวกนี้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกของผู้คน ผมคิดว่าไม่จำเป็นต้องใช้สีในการบอกเล่าความรู้สึกดีใจ เสียใจ หรือความแข็งแกร่งในจิตใจ ผมชอบภาพขาวดำ โปรเจกต์ส่วนตัวของผมประมาณ 70% เป็นภาพขาวดำ
อะไรคือแรงบันดาลใจที่ทำให้คุณถ่ายทอดเรื่องราวความเป็นมนุษย์ในภาพถ่ายของคุณ
ในฐานะช่างภาพและในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง ผมสนใจผู้คนและรักผู้คน ถึงได้ให้ความสำคัญกับเรื่องราวของมนุษย์ ผมไม่ได้สนใจภูเขาหรือแม่น้ำเท่าไร สำหรับผม ภาพถ่ายจะไม่มีความหมายเลย หากไม่สัมผัสถึงผู้คน ช่างภาพอย่างผมมีข้อได้เปรียบตรงที่ได้เจอผู้คนในที่ที่ผมเดินทางไป มันทำให้ผมได้เรียนรู้จากชีวิตของพวกเขา
รูปไหนที่คุณรู้สึกว่าภูมิใจมากที่สุด
รูปต่อไปที่ผมจะถ่าย
Tags: Omar Havana, Endurance, แผ่นดินไหว, เนปาล