1

“ตอนผมเห็นกองทัพยูเครนครั้งแรก พวกเขาเหมือนกองทัพโซเวียตยิ่งกว่ากองทัพรัสเซียเสียอีก” 

เจ้าหน้าที่ทหารสหรัฐอเมริกาให้ข้อมูลกับนักข่าว เขาเป็นที่ปรึกษากองทัพยูเครน ได้เดินทางมาดูการฝึกของทหารยูเครนหลายครั้ง ครั้งแรกเขาเห็นระบบสั่งการที่เหมือนกองทัพโซเวียตก่อนล่มสลาย คือไร้ประสิทธิภาพ แต่ในเวลาต่อมากองทัพยูเครนก็ปรับตัวได้อย่างน่าเหลือเชื่อ

มันทำให้รัสเซียไม่อาจยึดยูเครนทั้งประเทศได้

ผลงานทั้งหมด ไม่ได้เกิดจากวิสัยทัศน์ของนายทหารเพียงไม่กี่คน แต่ยังรวมถึงนักการเมือง ระบอบการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยเปิดกว้างให้ข้ารัฐการกล้าสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ มาเปลี่ยนแปลงประเทศ

ก่อนที่รัสเซียจะทำการรุกรานยูเครนในวันที่ 24 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ตัวประธานาธิบดี โวโลดีมีร์ เซเลนสกี ไม่ได้เป็นที่นิยมของคนยูเครนเท่าไรนัก เขามีคะแนนนิยมที่ตกจากตอนเข้ารับตำแหน่งใหม่ๆ สื่อตะวันตกบอกว่า เซเลนสกีฟังแต่ทีมงานใกล้ชิด ซึ่งให้ข้อมูลที่เขาชอบ สร้างความผิดหวังให้กับคนยูเครน ที่เลือกอดีตนักแสดงที่ต้องการเปลี่ยนแปลงการเมืองในประเทศ

ขณะที่รัสเซีย โดยเฉพาะพระเจ้าซาร์องค์ใหม่ วลาดีมีร์ ปูติน มั่นใจว่าเซเลนสกีคงจะหนีออกนอกประเทศทันทีที่ทัพรัสเซียบุก ปูตินดูถูกเซเลนสกีว่าเป็นแค่นักแสดงตลกเท่านั้น

แต่การรุกรานยูเครนเป็นความสูญเสียบอบช้ำของรัสเซีย และเป็นโอกาสพลิกผันของนักการเมืองธรรมดาสู่รัฐบุรุษของประเทศ เซเลนสกีถอดสูท แต่งชุดสีเขียวออกเยี่ยมทหาร ใช้ทวิตเตอร์และโลกออนไลน์สื่อสารกับทั้งโลก ประกาศไม่จำนน รัฐมนตรีกระทรวงดิจิทัลยูเครนใช้งานเครื่องมือการสื่อสารได้อย่างทรงประสิทธิภาพ แนวรบทางการเมืองยูเครนไม่เพลี่ยงพล้ำ แต่กลับปลุกยุโรปให้ตื่น ปลุกทั้งโลกให้ต่อต้านรัสเซีย

นี่คือสิ่งที่ผิดคาดจากที่รัสเซียหวังไว้มาก

แต่ปัจจัยสำคัญ คือการทำศึก รัสเซียถึงกับแปลกใจที่ยูเครนตรึงแนวรบได้อย่างยอดเยี่ยม สังหารทหารรัสเซียมากมายขนาดนี้ ทุกอย่างเกิดจากการปฏิรูปกองทัพ ภายใต้ผู้บัญชาการทหารบกที่ได้รับการแต่งตั้งจากนักการเมือง บุรุษเหล็กตามที่สื่อตะวันตกตั้งฉายา ชายที่บอกว่าตนเป็นทหาร มีหน้าที่สั่งการวางแผนรบ แต่ไม่ได้มีหน้าที่ออกมาพบปะผู้คนแสดงตนโอ้อวด เขามอบหน้าที่ในการหลอมรวมคนยูเครนและทั้งโลกแก่นักการเมือง

ส่วนเขามีหน้าที่เดียว คือชนะสงคราม

นี่คือเรื่องราวของนายพล วาเลรี ซาลุจนี

2

เดิมทีกองทัพยูเครนก็สืบทอดระบบทหารจากสหภาพโซเวียต หากถามว่าระบบทหารโซเวียตเป็นอย่างไร ก็ขอให้ดูทหารรัสเซียเป็นตัวอย่าง นักการทหารจากชาติตะวันตกเห็นตรงกันว่า กองทัพโซเวียตนั้น มีระบบสั่งการที่รวมศูนย์มาก คำสั่งมากมายจะส่งจากบนลงล่าง ดังนั้นการตัดสินใจก็จะต้องสั่งการแบบล่างขึ้นบน

มันทำให้ทุกอย่างล่าช้า ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่โซเวียตรบกับนาซีเยอรมัน ระบบสั่งการรวมศูนย์แบบนี้ ทำให้เหล่านายพลต้องตั้งกองบัญชาการใกล้สนามรบเพื่อสั่งการอย่างใกล้ชิด แม้จะถูกมองว่าเสี่ยงอันตราย แต่ข้อดีก็คือ มันสร้างขวัญกำลังใจให้ทหาร เพราะขนาดนายพลยังร่วมโรมรันด้วยเลย

แตกต่างจากกองทัพชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ที่กองบัญชาการรบ เหล่านายพล จะไม่อยู่ใกล้สมรภูมิขนาดนั้น แต่เขาให้อำนาจสั่งการกับนายทหารสัญญาบัตร ยศร้อยตรีขึ้นไป หรือแม้กระทั่งนายทหารประทวน ยศจ่าก็มีอำนาจตัดสินใจได้ จะเห็นได้จากวีรกรรมที่ทหารยศเล็กๆ หาทางแก้ปัญหาในสมรภูมิได้เอง จากสงครามโลกครั้งที่ 2 จนถึงสงครามยุคใหม่

อีกสิ่งที่กองทัพตะวันตกหมกมุ่นสนใจมากกว่ากองทัพโซเวียตก็คือ เรื่องระบบการขนส่งกำลังบำรุง ที่จะต้องดำเนินการอย่างเต็มประสิทธิภาพ เพื่อให้ทหารได้รับอาวุธ เสบียง กำลังหนุน หรือแม้กระทั่งการส่งตัวกลับไปรักษาหลังบาดเจ็บในสนามรบอย่างทันท่วงที

ทั้งหมดนี้คือสิ่งที่นายพล วาเลรี ซาลุจนี ผู้บัญชาการทหารบกของยูเครนตระหนักเป็นอย่างดี และเขาคือคนที่เริ่มปฏิรูประบบกองทัพยูเครน หลังจากเห็นความพินาศของทหารในการรุกรานภาคตะวันออกของรัสเซียในปี 2014 ซึ่งเป็นการรุกรานดินแดนไครเมีย และทหารยูเครนสู้ไม่ได้เลย 

การได้เห็นคนหนุ่มสาวในเครื่องแบบและพลเรือนบาดเจ็บล้มตาย ทำให้นายพลคนนี้เร่งเปลี่ยนแปลงกองทัพโดยด่วน เพราะหากยังยึดติดกับระบบเดิมที่สืบทอดจากสหภาพโซเวียต ยูเครนคงไม่มีวันรบชนะทหารรัสเซียได้อย่างแน่นอน

ว่ากันว่าการรุกรานของรัสเซียที่ผ่านมา ชาติตะวันตกและเกจิการทหารทั่วโลกเชื่อว่า ยูเครนไม่มีวันยันทัพรัสเซียได้แน่ และคงถูกยึดครองในเวลาไม่กี่วัน แต่นายพลวาเลรีไม่เชื่อแบบนั้น เขารู้ว่าศึกครั้งนี้จะนองเลือดอย่างมาก แต่ทัพยูเครนจะยันรัสเซียอยู่

นี่ไม่ใช่ความเพ้อฝันอันบ้าคลั่ง แต่มาจากการวางแผน ปรับโครงสร้างกองทัพที่ดำเนินการมาหลายปี จนสัมฤทธิ์เห็นผล สร้างความตกตะลึงไปทั่วโลก

3

นายพลวาเลรีอายุเพียง 48 ปีเท่านั้น เพิ่งได้ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. ของยูเครนในเดือนกรกฎาคม ปีที่แล้ว อย่างไรก็ดี ตัววาเลรีและเหล่านายพลยูเครนคนอื่นๆ ต่างเตรียมพร้อมรับมือการบุกของรัสเซียมาตั้งแต่ปี 2014 แล้ว

สิ่งแรกที่นายพลหนุ่มคนนี้เห็น เริ่มจากการซ้อมรบร่วมกับชาติยุโรปตะวันตกที่เข้าร่วมในองค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือนาโต ซึ่งทำให้ทหารยูเครนเห็นถึงรูปแบบกองทัพที่แตกต่างไปจากกองทัพโซเวียต จนถูกดึงมาปรับใช้ต่อกองทัพยูเครนในเวลาต่อมา

การที่ทหารยูเครนได้ฝึกรบกับชาติตะวันตก และระบอบประชาธิปไตยที่เบ่งบานในประเทศ ทำให้มีทหารยุคใหม่หัวก้าวหน้าเล็งเห็นประสิทธิภาพของรูปแบบกองทัพจากประเทศอื่น พวกเขาจึงนำมันมาปรับใช้ทันที เริ่มจากการกระจายอำนาจในกองทัพไม่ให้รวมศูนย์มากเกินไป การให้อำนาจผู้บังคับบัญชาในสนามรบตัดสินใจได้ ไม่ต้องรอนายระดับสูง เพราะในสมรภูมิ คนรู้ดีที่สุดคือคนอยู่หน้างาน

เหล่านายพลยูเครนถึงขั้นปรับวิธีคิดของทหารประทวนทั้งหลาย ให้พร้อมทำหน้าที่ทหารสัญญาบัตรในสงครามได้เลย หากเกิดกรณีทหารสัญญาบัตรเสียชีวิต พวกเขาก็จะสามารถนำลูกน้องได้ทันที นี่เป็นการปรับวิธีคิดที่สำคัญมาก เพราะในระบบกองทัพรัสเซีย หากทำอะไรล้มเหลว ทหารประทวนยศจ่าเหล่านี้ ถือเป็นแพะรับบาปชั้นดีของกองทัพเลย

ทหารยูเครนถูกซอยหน่วยให้ย่อยลงแบบเล็กพริกขี้หนู ไม่ได้มีระบบสั่งการแข็งตายตัวแบบในอดีตอีก การซอยหน่วยให้ย่อยทำให้เกิดการเคลื่อนพลได้อย่างว่องไว รวดเร็วกว่าเดิม มันเหมาะปรับใช้กับการปะทะกับข้าศึกที่มีกำลังจำนวนมาก ให้อำนาจคนอยู่พื้นที่เยอะในการตัดสินใจ 

เมื่อนายพลวาเลรี ดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ. จากการแต่งตั้งของประธานาธิบดีเซเลนสกี สิ่งแรกที่นายพลหนุ่มคนนี้ทำก็คือ เตรียมรับมือการบุกของรัสเซียอย่างเต็มรูปแบบ การปรับปรุงกองทัพบกให้เปี่ยมประสิทธิภาพ และทำให้ข้าศึกเคลื่อนกำลังได้ช้า ถูกทำลายให้มาก นั่นคือภารกิจที่เร่งทำโดยไว และตระหนักว่า ตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนก่อน ทหารของตัวเองต้องแสดงความกล้าหาญ จะไปหวังพึ่งใครอื่นนั้นคงไม่ได้

“หน้าที่ของเราคือเตรียมกองทัพให้พร้อม อย่าไปหวังรอคอยพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์อะไรทั้งสิ้น”

ทหารจากชาติตะวันตกได้เห็นความเปลี่ยนแปลงในกองทัพยูเครน ทุกครั้งที่เกิดการซ้อมรบ ทหารยูเครนมีความคล่องตัวมากขึ้น และสามารถตัดสินใจปรับกลยุทธ์ในสนามซ้อมรบ ตามโจทย์สถานการณ์ที่เปลี่ยนไป สิ่งเหล่านี้เห็นได้อย่างจะแจ้งมากขึ้นในวงการทหาร มีการเขียนรายงานกลับไปยังประเทศตัวเองถึงกองทัพยูเครนที่เปลี่ยนระบบคิดไป แต่นั่นก็คือสนามซ้อมรบ เอาเข้าจริง ไม่มีใครรู้ว่าทหารของตัวเองจะดีเยี่ยมแค่ไหน จนกว่าจะเผชิญกับการคุกคาม

นับตั้งแต่ปี 2014 ทหารยูเครนได้ฝึกรบกับประเทศตะวันตกจำนวนมาก พวกเขามีความเข้าใจ และเตรียมพร้อมรับมือการบุกเต็มรูปแบบของรัสเซียอยู่แล้ว แน่นอนว่าความสูญเสียจะต้องเกิดมากยิ่งขึ้น แต่ก็ไม่ได้เป็นดังที่รัสเซียหวังว่า ทหารยูเครนจะยอมแพ้ง่ายดายอะไรขนาดนั้น

เพราะนี่คือมาตุภูมิของพวกเขา ประเทศยูเครนไม่ใช่ส่วนหนึ่งของรัสเซีย ดังที่ปูตินหลอกลวงกันมา

4

นายพลวาเลรีเกิดในครอบครัวทหาร พ่อของเขาประจำการอยู่ที่ค่ายทางตอนเหนือของยูเครน ก่อนจะเข้าเรียนฝึกอบรมในระบบทหารของยูเครน เข้าประจำการในกองทัพ หลังจากประเทศได้รับเอกราชจากการล่มสลายของจักรวรรดิสหภาพโซเวียต เมื่อคนยูเครนลุกฮือปฏิวัติประเทศให้เป็นระบอบประชาธิปไตยดีกว่าเดิม นายพลวาเลรีก็ได้รับแนวคิดจากสังคมมาด้วย

เขาฝันถึงการเป็นทหารมาตั้งแต่เด็ก แต่กับตำแหน่งผู้บัญชาการนั้น มันไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดคิดมาก่อน

เมื่อวาเลรีถูกส่งไปประจำการรบในสมรภูมิทางภาคตะวันออกของยูเครน ซึ่งรัสเซียรุกรานยึดแหลมไครเมีย แบ่งแยกยูเครน สงครามครั้งนั้นถือเป็นการศึกที่โชกเลือด ดุเดือด และมีทหารยูเครนถูกฆ่าตายเป็นจำนวนมาก เหตุการณ์นั้นทำให้นายพลวาเลรีรู้เลยว่า หากกองทัพยูเครนไม่ทำอะไรสักอย่างเพื่อเปลี่ยนแปลงตัวเอง

พวกเขาไม่มีวันต่อกรกับรัสเซียได้อย่างแน่นอน

เขารับเทคโนโลยีการทหารแบบใหม่เข้ามา ดึงนายพลยูเครนออกจากแผนที่ เพื่อไม่ให้หมกมุ่นกับเรื่องคาดการณ์ในทฤษฎี เพราะการรุกรานที่จะต้องเจอ ไม่ใช่สมรภูมิแบบสงครามโลกครั้งที่ 2 อีกแล้ว การซ้อมรบกับชาติอื่นๆ การวางแผนโดยยึดสถานการณ์จริงตรงหน้า รวมถึงการปรับวิธีคิดของคนในกองทัพ จะทำให้ยูเครนพร้อมรบในปี 2022 ยิ่งกว่าเดิม

“เรื่องย้อนแย้งก็คือ นายพลยูเครนปรับกองทัพให้ใหม่เอี่ยมรับปี 2022 แต่ข้าศึกที่พวกเขาเจอ ยังใช้รูปแบบเหมือนสงครามโลกครั้งที่ 2 อยู่เลย”

กองทัพรัสเซียยังใช้ระบบสั่งการแบบโบราณ แถมวางแผนผิดพลาด คิดว่าคนยูเครนจะยอมแพ้อย่างง่ายดาย ไม่นับว่ากองทัพรัสเซียนั้น เต็มไปด้วยการคอร์รัปชันทุจริตเป็นทอดๆ พอมาเจอกองทัพที่สมัยใหม่ รบอย่างมียุทธวิธี ตีโต้และถอยหนี ยิ่งนักการเมืองรวมใจคนทั้งชาติและคนทั้งโลกให้ต่อต้านรัสเซียได้ มันจึงเป็นสิ่งที่สร้างความพินาศให้กับกองทัพที่ยิ่งใหญ่เป็นอันดับ 2 ของโลกในเวลานี้ กองทัพของพระเจ้าซาร์องค์ใหม่

นักการเมืองและข้ารัฐการ เมื่อ 2 สิ่งสอดประสานกันเป็นหนึ่งเพื่อประเทศ ทำให้ทหารรัสเซียสูญเสียกำลังพล และนายพลถูกเป่าหัวทิ้ง ยุทโธปกรณ์เสียหาย จนต้องใช้การทำสงครามอย่างป่าเถื่อน ถล่มฆ่าพลเรือนอย่างโหดเหี้ยม เป็นอาชญากรสงครามระหว่างประเทศ พอทหารรัสเซียต้องถอยร่นกลับไปภาคตะวันออก ภาพถ่ายความเลวร้าย ประชาชนยูเครนที่ถูกสังหาร ความรุนแรงของทหารรัสเซียได้ปรากฏเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วโลก

นี่คือความเลวร้ายที่เกิดจากสงครามที่ไม่ควรเกิดขึ้นแม้แต่น้อย แน่นอนว่ารัสเซียก็ยังไม่หยุดยั้ง แต่จะทำสงครามอย่างโหดเหี้ยมต่อไป บางทีสันติภาพยังคงเลือนรางเกินกว่าที่เราจะเห็นได้ในเร็ววันนี้อย่างแน่นอน

5

ยูเครนใช้เวลาเพียง 5 ปี ในการเปลี่ยนถ่ายแนวคิดทางกองทัพ และถึงจุดนี้ ทหารยูเครนไม่มีวันย้อนกลับไปใช้ระบบเดิมอีกแล้ว

ปัจจุบันวาเลรี ยังคงวางแผนทำหน้าที่ของตัวเองเป็นอย่างดี เขาอาจถูกมองเป็นวีรบุรุษ แต่ไม่ใช่ดาราดัง เขายังคงให้สัมภาษณ์น้อยมาก ปล่อยหน้าที่การปลุกระดมรวมใจคนยูเครนเป็นเรื่องของประธานาธิบดีเซเลนสกีที่ทำได้อย่างดีเยี่ยม ส่วนเรื่องกองทัพต้องเป็นหน้าที่ของนายพลยุคใหม่ ทหารอาชีพที่วางแผนการรบให้เป็นที่ประจักษ์แก่คนทั้งชาติ นายพลหนุ่มคนนี้ให้สัมภาษณ์กับสื่อท้องถิ่นไว้อย่างน่าสนใจว่า

“คนยูเครนหน้าไหนที่คิดว่าทหารตัวเองจะยอมแพ้เมื่อเจอกับข้าศึกอย่างรัสเซียนั้น เราถือว่าคุณกำลังสบประมาททหารยูเครนอย่างมาก เราหยุดการเคลื่อนกำลังของข้าศึกได้ทุกทิศทาง เราทำให้อีกฝ่ายสูญเสียในระดับที่พวกเขาคาดไม่ถึง นี่คือสิ่งที่คนในยูเครนรู้กันทั่ว

“เช่นเดียวกับคนทั้งโลก”

 

ข้อมูลอ้างอิง

https://www.politico.com/news/2022/04/08/ukraines-iron-general-zaluzhnyy-00023901

Call Sign Chaos: Learning to Lead โดยนายพลจิม แมททิส และบิง เวสต์

In the Company of Soldiers: A Chronicle of Combat โดยริกค์ แอตกินสัน

 

Tags: , , , ,