บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) เผยทิศทางการดำเนินธุรกิจปี 2565 โดยตั้งเป้าทำสถิติรายได้นิวไฮ ที่ 1.34 หมื่นล้านบาท จากเดิมในปี 2564 ที่มีรายได้รวมอยู่ที่ 7,739 ล้านบาท ด้วยกลยุทธ์กระจายการลงทุน และจับมือพันธมิตรเสริมความแข็งแกร่งในทั้ง 4 กลุ่มธุรกิจหลัก พร้อมประกาศวิสัยทัศน์เร่งหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ รับเมกะเทรนด์ สร้างซินเนอร์จีธุรกิจให้สอดคล้องกับเป้าหมายการขยายตัวเฉลี่ยปีละ 25% ใน 5 ปี 

ฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. สิงห์ เอสเตท เล่าถึงแผนงานว่า เพื่อให้ สิงห์ เอสเตท สามารถก้าวไปเป็นหนึ่งในผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับแถวหน้าของประเทศไทย ที่ผนึกกำลังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจรและธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง เราจึงได้ทำการศึกษาเทรนด์ด้านธุรกิจและวิถีชีวิตของผู้คนที่เปลี่ยนไปหลังจากที่เราอยู่กับยุคนิวนอร์มอลมากว่าสองปี และมองเห็นโอกาสรวมถึงการสร้างสรรค์โมเดลธุรกิจใหม่ๆ ที่จะทำให้เราสามารถเสริมศักยภาพให้กับพอร์ตธุรกิจของเราในอนาคต

“ขณะเดียวกัน เราจะใช้ประโยชน์จาก 4 กลุ่มธุรกิจ ในการสร้างให้เกิดธุรกิจร่วมเพื่อส่งเสริมซี่งกันและกัน สร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตของเราจากภายใน ที่สำคัญการเติบโตในครั้งนี้ เราจะไม่เดินคนเดียว เรายังพร้อมมองหาพันธมิตรในธุรกิจร่วมทุนที่จะทำให้เกิดผลสำเร็จแบบวงกว้างเราเปิดโอกาสในการร่วมมือกับพันธมิตรแขนงต่างๆ เพื่อให้เราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของตลาด และเสริมสร้างความแตกต่างที่ดีที่สุดให้กับบริษัทฯ ได้ โดยเราเชื่อว่าการกลยุทธ์ดังกล่าวจะผลักดันให้เราสามารถขยายการเติบโตทางธุรกิจภายใน 5 ปีข้างหน้า เฉลี่ย 25% ต่อปี” 

ความสำเร็จจาก 4 ธุรกิจหลักในปี 2564 จะส่งผลในการสร้างนิว ไฮ 13,400 ล้านในปี 2565 แบ่งออกเป็น

1. ธุรกิจที่อยู่อาศัย ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้น 50% ในปีนี้ จากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดพร้อมอยู่ 2 โครงการ ได้แก่โครงการ ดิ เอส แอท สิงห์ คอมเพล็กซ์ (The ESSE at Singha Complex) และ ดิ เอส อโศก (The ESSE Asoke) รวมไปถึงโครงการบ้านแนวราบ ‘สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส’ ซึ่งมีมูลค่า Backlog อยู่ที่ 2,600 ล้านบาท โดยคาดว่าจะรับรู้รายได้ 70% ในปีนี้ นอกจากนี้ยังมีแผนเปิดโครงการแนวราบเพิ่มอีก 1 โครงการในทำเลพัฒนาการในช่วงครึ่งหลังของปีมูลค่า 2,900 ล้านบาท โดยจะสามารถรับรู้รายได้ทันในปี 2565 นี้ 

2. ธุรกิจอาคารสำนักงาน ในช่วงกลางปี 2565 จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการของโครงการ เอส โอเอซิส (S OASIS) ซึ่งเป็นอาคารสำนักงานพร้อมพื้นที่รีเทลแห่งใหม่ล่าสุดย่านวิภาวดี ด้วยพื้นที่รวม 55,700 ตารางเมตร ซึ่งตั้งเป้าว่าจะมีอัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy rate) ราว 50% ณ ปีที่เปิดให้บริการ รวมถึงการเปิดตัวรูปแบบใหม่ของโครงการ เอส เมโทร (S METRO) อาคารสำนักงานหรูย่านพร้อมพงษ์ 

3. ธุรกิจโรงแรม ตั้งเป้าเติบโต 88% สร้างรายได้แตะ 8,500 ล้านบาท เพื่อก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้ประกอบการโรงแรมไทยที่มียอดรายได้สูงขึ้นเป็นอันดับที่ 2 โดยจะดำเนินกานผ่านกลยุทธ์แบบกระจายความเสี่ยง (Well-diversified portfolio) ด้วยการมีโรงแรมในเครือที่ตั้งอยู่ในจุดหมายปลายทางด้านการท่องเที่ยวที่สำคัญในภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลก โดยเฉพาะพอร์ตในสหราชอาณาจักรและมัลดีฟส์ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศที่มีการขยายตัวของภาคการท่องเที่ยวเร็วที่สุดของโลก ทั้งนี้ธุรกิจโรงแรมยังมีโอกาสเติบโตได้อีก หากภาคการท่องเที่ยวและโรงแรมในไทยสามารถฟื้นตัวได้เร็วขึ้นในช่วงท้ายของปี 2565 นอกจากนี้บริษัทฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงและพัฒนาโครงการโรงแรมในเครือที่มีศักยภาพอย่างต่อเนื่อง เพิ่มรูปแบบการให้บริการเพื่อกลุ่มลูกค้าที่หลากหลาย ซึ่งคาดว่าโรงแรมในเครือที่มีการปรับปรุงใหม่แล้วเสร็จจะสามารถสร้างผลกำไรที่เพิ่มขึ้นได้ถึงกว่า 40% 

4. ธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ในปี 2565 มีความพร้อมในการรับรู้รายได้จากการขายและโอนที่ดินเป็นปีแรก หลังจากที่ได้มีการเข้าไปลงทุนและปรับพื้นที่และก่อสร้างระบบสาธารณูปโภคและโครงสร้างพื้นฐานไปแล้วในปี 2564 ทั้งนี้บริษัทฯ ตั้งเป้าโอนที่ดินในปีนี้ราว 15% ของพื้นที่นิคมอุตสาหกรรม ซึ่งมีพื้นที่ขายรวมราว 992 ไร่

จับมือพันธมิตรเสริมแกร่ง เพื่อสร้างโอกาสใหม่ทางให้ธุรกิจ

ที่ผ่านมา สิงห์ เอสเตท ได้ร่วมมือกับพันธมิตรชั้นนำในกลุ่มธุรกิจต่างๆ เพื่อขยายศักยภาพในการลงทุนและการพัฒนาโครงการในทุกพอร์ตธุรกิจ อาทิ การร่วมทุนกับฮ่องกง แลนด์ เพื่อขยายฐานลูกค้าต่างชาติ, วาย อีโค เวิลด์ ดีเวลลอปเปอร์ จำกัด สำหรับโครงการโรงแรมหรู So Maldives นอกจากนี้ยังวางแผนให้เช่าระยะยาวอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกระดับพรีเมียมของบริษัท 3 อาคาร คือ สิงห์ คอมเพล็กซ์, เอส เมโทร และพื้นที่ค้าปลีก ซันทาวเวอร์ส แก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) โดยตั้งเป้าขึ้นแท่นเบอร์ 1 กองทรัสต์ประเภทอาคารสำนักงาน

ในช่วงปลายปี 2564 สิงห์ เอสเตท ยังได้เข้าลงทุนในธุรกิจนิคมอุตสาหกรรมและโครงสร้างพื้นฐาน โดยถือหุ้น 30% ในบริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 1 จำกัด  ซึ่งดำเนินโครงการโรงไฟฟ้าประเภทพลังความร้อนร่วม ด้วยกำลังผลิต 123 เมกะวัตต์ 

และปี 2565 นี้ บริษัทฯ จะสามารถรับรู้ผลประกอบการของโรงไฟฟ้าเต็มปีเป็นครั้งแรก นอกจากนี้ บริษัทยังได้ร่วมลงทุนกับ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 2 จำกัด และ บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ (อ่างทอง) 3 จำกัด เพื่อพัฒนาโรงไฟฟ้าพลังงานความร้อนร่วมอีก 2 แห่งด้วยกำลังการผลิตรวม 280 เมกะวัตต์ ซึ่งโรงไฟฟ้าทั้งสองโรงจะสามารถดำเนินการจ่ายไฟฟ้าได้ในปี 2566

จากผลการดำเนินงานปี 2564 สู่การสร้างรายได้โตแบบเท่าตัว 13,400 ล้านในปีนี้ สิงห์ เอสเตท ยังคงมองหน้าในการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ผ่านกลยุทธ์การ Synergy ทั้งภายในกลุ่มธุรกิจ และเปิดโอกาสร่วมมือกับพันธมิตรเสริมความแข็งแกร่ง เพื่อสร้างการเติบโตปีละ 25% ต่อไปอีก 5 ปี

Tags: , ,