ด้วยความที่ภาษาอังกฤษขึ้นชื่อเป็นภาษาที่มีจำนวนคำมากที่สุดภาษาหนึ่งในโลก แน่นอนว่าเราคงหมุนเวียนทุกคำมาใช้ในชีวิตประจำวันอย่างเท่าเทียมกันไม่ได้เหมือนในภาษาไทยที่เราก็ไม่พูดคำว่าเครื่องราชกกุธภัณฑ์ทุกวัน

จึงไม่แปลกที่จะมีคำบางคำที่ไม่ค่อยมีคนหยิบมาใช้ ถูกทิ้งในมุมมืดของภาษาให้ฝุ่นเกาะ อาจจะเพราะเป็นคำยากที่พูดไปแล้วคนฟังเกาหัวแกรกๆ กันหมด (เช่น การเรียกวันที่ไม่ดีว่าทินศูนย์) หรืออาจจะเป็นคำที่เสื่อมความนิยมจนไม่มีใครใช้แล้ว (เช่น การเรียกส้วมว่าเวจ) แบบที่เราได้เคยนำเสนอไปแล้วบ้าง

ในสัปดาห์นี้ เราจะไปสำรวจคำศัพท์ยากและศัพท์พิสดารในภาษาอังกฤษกันอีกครั้ง แต่เน้นไปที่คำแซ่บๆ ที่นำมาใช้เรียกคนที่ไม่น่าคบค้าสมาคมด้วย

Quidnunc: คนชอบแส่เรื่องชาวบ้าน

หนูๆ ป้าถามหน่อย

ตอนนี้หนูทำงานอยู่บริษัทไหน

ได้เงินเดือนเท่าไหร่เหรอ

แล้วมีแฟนหรือยัง

แฟนหล่อไหม

แล้วแฟนเงินเดือนเท่าไหร่เหรอ

คำนี้มาจากวลีภาษาละติน Quid nunc? แปลว่า What now? ทำนองว่า ไหน มีอะไรเกิดขึ้นอีก ซึ่งน่าจะเป็นประโยคติดปากที่คนที่ชอบเมาท์เรื่องชาวบ้าน

Scambler: คนที่โผล่มากินข้าวฟรีโดยไม่ได้รับเชิญ

ทุกคนต้องมีเพื่อนแบบนี้

ร้อยวันพันปีไม่เคยได้พบหน้า

โผล่หัวมาเฉพาะเวลาที่เขากินข้าวกัน

เพราะหวังได้กินข้าวฟรี

Barmecide: คนที่ให้สัญญาหรูหราแต่น่าผิดหวังเพราะเป็นเรื่องลวง

ตอนเลือกตั้งประกาศนโยบายไว้เสียสวยหรู

ค่าแรงขั้นต่ำ 400-450 บาท

ยกเว้นภาษีพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ 2 ปี

ลดภาษีบุคคลธรรมดา 10 เปอร์เซ็นต์

พอได้รับเลือกตั้งจริง

บอกว่าเป็นเพียงนโยบายที่ใช้หาเสียง

คำนี้มาจากเรื่อง The Story of the Barber’s Sixth Brother ใน The Arabian Night หรือ 1,001 ราตรี เรื่องมีอยู่ว่า ในแบกแดดสมัยก่อนมีตระกูลผู้ครองเมืองนามว่า Barmeki (บางเวอร์ชั่นก็เขียนเป็น Barmecide) วันหนึ่งมีชายขอทานหิวโซเข้ามาขออาหารกับเจ้าชายตระกูลนี้ เจ้าชายจึงเรียกเข้ามาในวังและสัญญาว่าจะจัดข้าวให้กิน ปรากฏว่าพอถึงเวลาจริง เจ้าชายกลับใจมารกลั่นแกล้งชายขอทาน เสิร์ฟให้แต่จานเปล่า ไม่มีข้าวแม้แต่เม็ดเดียว ส่วนตัวเองก็ทำทีเป็นกินอาหารในจินตนาการนั้นอย่างเอร็ดอร่อย 

ด้วยเหตุนี้ ชื่อของ Barmecide จึงถูกนำมาใช้เรียกคนที่ให้สัญญากับคนอื่นว่าจะให้โน่นให้นี่ แต่ถึงเวลาจริงก็ไม่ได้ให้อะไร นอกจากนั้น ยังทำให้เกิดสำนวน Barmecidal feast หมายถึง อะไรที่ดูหรูหราแต่น่าผิดหวังเพราะเป็นเรื่องลวง จับต้องไม่ได้

Mawworm: คนมือถือสากปากถือศีล

แสดงตัวเป็นคนใจบุญสุนทาน

โพสต์ภาพเดินจงกรมนั่งวิปัสสนา

ปล่อยปลาปล่อยนกรักสิ่งมีชีวิตทุกชนิด

แต่พอเห็นภาพผู้ชุมนุมโดนเจ้าหน้าที่แทงเข่าใส่

กดหัวเราะสะใจในความเจ็บปวดของเพื่อนมนุษย์

Sycophant: คนขี้ประจบสอพลอ

นายท่านคือที่สุดของที่สุด

หล่อกว่าณเดชน์ พัก ซอ-จุน และคริส เฮมสวอร์ธรวมกัน

ฉลาดกว่าไอน์สไตน์

ปราดเปรื่องกว่าขงจื๊อ

เก่งกีฬากว่าราฟาเอล นาดาล

วาดภาพเก่งกว่าเลโอนาร์โด ดา วินชี

ใจบุญสุนทานยิ่งกว่าแม่ชีเทเรซา

คำนี้จริงๆ มาจากคำว่า sykophantes ในภาษากรีกโบราณ หมายถึง ผู้ที่ว่าร้ายคนอื่น แต่ตัวคำจริงๆ แล้วหมายถึงคนโชว์ลูกมะเดื่อ (มาจาก sykon ที่แปลว่ามะเดื่อ รวมกับกริยา phainein ที่แปลว่าแสดง) ส่วนที่มะเดื่อมาเกี่ยวกับการว่าร้ายคนอื่นได้มีอยู่สองทฤษฎี บ้างก็บอกว่าเป็นในสมัยกรีกโบราณ พ่อค้าแม่ค้าหลายคนลักลอบนำมะเดื่อมาขายที่ตลาดโดยไม่ได้สำแดงกับเจ้าหน้าที่เพื่อจะได้ไม่ต้องเสียภาษี ก็จะมีคนจำพวกหนึ่งไปฟ้องเจ้าหน้าที่ให้รู้ว่าพ่อค้าแม่ค้าเหล่านี้นำมะเดื่อมาขาย 

คำที่ใช้เรียกคนชี้เป้าลูกมะเดื่อเหล่านี้จึงถูกเอามาใช้ในความหมายว่า คนที่ว่าร้ายคนอื่น แต่อีกสายหนึ่งบอกว่าคำนี้ไม่ได้เกี่ยวกับลูกมะเดื่อจริงๆ เพราะมะเดื่อในที่นี้หมายถึงการใช้มือทำท่าหยาบคายเพื่อด่าคนอื่น (คล้ายๆ ชูนิ้วกลางให้คนอื่นในปัจจุบัน) โดยการกำหมัดแล้วสอดนิ้วโป้งระหว่างนิ้วชี้และนิ้วกลาง อย่างไรก็ตาม พอคำนี้เข้ามาในภาษาอังกฤษ ความหมายก็เปลี่ยนไปจากผู้ที่ว่าร้ายคนอื่นมาเป็นคนขี้ประจบสอพลออย่างที่ใช้ในปัจจุบันนั่นเอง

Fabulist: คนชอบปั้นเรื่อง

อดีตผู้จัดการดารา

ปั้นเรื่องเป็นตุเป็นตะอย่างกับนิทาน

กล่าวหาว่าที่เจ้าบ่าวของอดีตดาราที่ตนดูแล

ว่าแอบซ่อนผู้หญิงไว้อีกคน

ทั้งยังไปเอารูปคนไม่รู้อิโหน่อิเหน่จากในอินเทอร์เน็ต

มาเล่าเสริมเติมแต่งให้ดูน่าเชื่อถือ

แต่งเรื่องเก่งขนาดนี้ ไปเขียนนิยายเถอะจ้ะ

คำนี้รากเดียวกับ fable ที่แปลว่าเรื่องเล่า จะใช้ในความหมายว่าคนที่ประพันธ์หรือเล่านิทานก็ได้ แต่เนื่องจากเรื่องแต่งประเภทนี้ไม่ใช่เรื่องจริง คำว่า fabulist จึงนำมาใช้หมายถึง คนที่ชอบปั้นเรื่องต่างๆ ได้ด้วย

Solipsist: คนที่เห็นแก่ตัวสุดขั้ว

สิ่งเดียวฉันรับรู้ได้ว่ามีอยู่จริงในจักรวาลก็คือตัวฉัน

ดังนั้นฉันไม่จำเป็นต้องคำนึงถึงความต้องการหรือความเดือดร้อนของคนอื่น

ไม่ว่าจะชาวบ้านบางกลอย

คนอื่นถือว่าไม่มีตัวตน

ชาวบ้านบางกลอยจะกลับบ้านไม่ได้ก็ช่าง

ผู้ถูกจับกุมในคดีม.112 จะโดนขังแดนเดียวกับนักโทษประหาร

ทั้งที่ยังไม่ได้ไต่สวนก็ช่าง

ใครจะตายก็ช่างมัน

ให้ฉันสบายเป็นใช้ได้

คำนี้มาจากชื่อแนวคิดทางปรัชญาที่เรียกว่า solipsism ซึ่งเชื่อว่าเรารับรู้ได้แต่ตัวตนของเรา ดังนั้น จึงมีแต่เพียงตัวเราเท่านั้นที่มีอยู่จริง ประกอบขึ้นจากคำละตินว่า solus ที่แปลว่า โดดเดี่ยว และ ipse แปลว่า ตัวตน เดิมทีคำนี้ใช้แต่ในเชิงปรัชญาเท่านั้น แต่ภายหลังเริ่มนำมาใช้หมายถึงภาวะเห็นแก่ตัวชนิดที่ไม่เห็นหัวคนอื่น สนใจแต่ความต้องการของตน

Supercilian: คนที่ชอบดูแคลนผู้อื่น

หัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลที่ชื่นชอบนาฬิกาเป็นชีวิตจิตใจ

ดูแคลนผู้สื่อข่าวว่ามีคุณสมบัติสู้คนในพรรคตนที่ถูกถามถึงอยู่ไม่ได้

จึงโพล่งถามผู้สื่อข่าวไปว่าจบมาจากมหาวิทยาลัยแห่งหนึ่งใช่ไหม

มองคนไม่เท่ากัน เหยียดยันการศึกษา

คำนี้เป็นคำโบราณที่ปัจจุบันไม่ใช้แล้ว ทุกวันนี้ใช้แต่คำว่า supercilious เป็นคุณศัพท์หมายถึงดูถูกดูแคลนผู้อื่น คิดว่าตนเองสูงส่งกว่า มีที่มาจากคำว่า supercilium ในภาษาละติน แปลว่าคิ้ว ส่วนที่คิ้วมาเกี่ยวกับการดูแคลนคนอื่นได้ก็เพราะการเลิกคิ้วก็เป็นกริยาอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่าเรารู้สึกสูงส่งกว่าคนอีกคนนั่นเอง

Snollygoster: คนกลับกลอกไร้หลักการ

ให้คำสัญญาไว้เป็นเหมาะเป็นมั่น

ว่าพรรคตนจะผลักดันการแก้รัฐธรรมนูญ

ตามประสงค์ของประชาชน

พอถึงเวลาลงมติจริง

กลับวอล์กเอาต์ยกพรรคไม่ยอมลงคะแนน

คำนี้ปกติมักใช้กับนักการเมือง

 

 

บรรณานุกรม

http://oed.com/

American Heritage Dictionary of the English Language

Bowler, Peter. The Superior Person’s Little Book of Words. Hawthorn Press: Perth, 1987.

Bowler, Peter. The Superior Person’s Second Book of Weird & Wondrous Words. David R. Godine Publisher: New Hampshire, 1992.

Bramwell, David. The Mellifluous Book of Hard Words. Page One: Singapore, 2008.

Byrne, Josefa Heifetz. Mrs. Byrne’s Dictionary of Unusual, Obscure, and Preposterous Words. Twelfth Printing: New Jersey, 1974.

Elster, Charles Harrington. There’s a Word for it: A Grandiloquent Guide to Life. Pocket Books: New York, 2005.

Forsyth, Mark. The Horologicon: A Day’s Jaunt Through the Lost Words of the English Language. Icon Books: London, 2012.

Gates, Michael. The Word I’m Thinking of: A Devilish Dictionary of Difficult Words. Zabriskie Street Press, 2013.

Gillard, Joe. The Little Books of Lost Words. Ten Speed Press: New York, 2019.

Kacirk, Jeff. The Best of Forgotten English: Vanishing Vocabulary and Folklore. Sellers Publishing: South Portland, 2016.

Nurnberg, Maxwell. I Always Look up the Word “Egregious.” Barnes & Noble Books: New York, 1981.

Piercy, Joseph. A Word a Day: 365 Words to Augment Your Vocabulary. Michael O’ Mara Books: London, 2019.

Poole, Steven. A Word for Every Day of the Year. Quercus: London, 2019.

Tags: , , , ,