เซนต์ออกุสทีน (St. Augustine) เป็นเมืองเล็กๆ แสนเก๋แสนสวยในฟลอริดา เมืองนี้มีอะไรน่าสนใจหลายอย่าง เช่นความงามของสถาปัตยกรรม ธรรมชาติ ชายหาด ท่าเรือ ป้อมโบราณรูปดาวที่มีชื่อว่า Castillo de San Marco และอื่นๆ อีกมาก
แต่ที่อยากชวนคุณไปทำความรู้จัก คือป้อมเล็กๆ ที่มีชื่อว่า Fort Matanzas
บางคนอาจสงสัย ทำไมต้องสนใจป้อมเล็กๆ นี้ด้วยล่ะ
ลองมาดูคำแปลของป้อมนี้กันหน่อย คำว่า Matanzas นั้น โดยรากศัพท์มาจากภาษาสเปน แปลว่า ‘การฆ่า’ หรือ ‘การฆ่าสัตว์’ ซึ่งมีนัยทั้งการ ‘กำจัดทิ้ง’ และ ‘หมิ่นหยาม’ ไปด้วยในตัว พูดง่ายๆ ก็คือเป็นการฆ่าที่เกิดจากความเกลียดชังโดยแท้ทีเดียว
ว่าแต่ว่า ใครฆ่า ฆ่าอะไร ฆ่าใคร และทำไมถึงต้องเกิดความเกลียดชังอะไรกันขนาดนั้นด้วยเล่า
ว่ากันว่าชื่อ Matanzas มาจากชื่อแม่น้ำที่อยู่ใกล้ๆ และแม่น้ำสายนี้เอง ที่เป็นพยานรู้เห็นถึง ‘การฆ่า’ ครั้งใหญ่ เมื่อทหารสเปนจัดการ ‘เจี๋ยน’ ทหารฝรั่งเศสนับร้อยๆ คนที่บริเวณนี้ เรียกได้ว่าเป็นการสังหารหมู่ครั้งใหญ่ในยุคหลังจากโคลัมบัสค้นพบทวีปอเมริกากันเลยทีเดียว
คำถามก็คือ เกิดอะไรขึ้นที่นี่กันแน่?
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในปี 1565 ตอนนั้นนายพลเรือสเปนอย่าง เปโดร เมเนนเดซ พาทหารห้าร้อยนายมายกพลขึ้นบกที่บริเวณนี้ ในตอนนั้น พื้นที่บริเวณนี้ถูกทหารฝรั่งเศสยึดครองและตั้งเป็นเมืองเล็กๆ ชื่อเซนต์ออกุสทีนขึ้นมาแล้ว เมเนนเดซอยากเข้าโจมตีฝรั่งเศสที่ป้อมแคโรลีนก่อนจะรู้ตัว แต่ด้วยความที่เกิดพายุใหญ่จึงเดินทางลำบาก แต่กระนั้น เมื่อมาถึงเมืองก็สามารถโจมตีเอาชนะได้อย่างรวดเร็ว
เปล่าเลย ไม่ใช่เพราะทหารสเปนเก่งกาจกว่า แต่เพราะทหารฝรั่งเศสรู้ข่าวการมาถึงของทหารสเปนจึงมุ่งหมายแบบเดียวกัน คือจะยกพลไปโจมตีเสียก่อนไม่ให้ทันตั้งตัว โดยเป็นการโจมตีทางเรือ แต่เพราะพายุใหญ่เดียวกันนั้นเอง ทำให้เรือล่มไปหลายลำ ผลก็คือทหารฝรั่งเศสต้องซมซานกลับมาที่ป้อมแคโรลีน
กลับมาเพื่อจะถูกฆ่า!
แต่เปล่านะครับ เมเนนเดซไม่ได้ฆ่าเพราะทหารฝรั่งเศสเหล่านี้เพราะเป็นฝรั่งเศสหรอก เขาบอกว่าที่เขาต้อง ‘ฆ่า’ ก็เพราะทหารพวกนี้นับถือคริสต์ศาสนานิกายลูเทอแรนต่างหากเล่า!
ในตอนนั้น ถือกันว่าลูเธอแรนเป็นศัตรูตัวร้ายของคริสตจักรคาทอลิก แค่ชื่อก็คงพอรู้แล้วว่ามาจาก ‘มาร์ติน ลูเธอร์’ ซึ่งเป็นผู้ก่อให้เกิดนิกายโปรเตสแตนท์ (อันแปลว่าผู้ต่อต้าน) ขึ้นมา
และก็เป็นที่รู้กันอยู่ว่าสเปนนั้นเป็นคาทอลิกที่เคร่งครัดในศาสนามากแค่ไหน เพราะฉะนั้น ป้อมมาแทนซาสจึงเป็นป้อมที่เป็น ‘ตัวแทน’ ของ ‘การฆ่า’ ที่มีที่มาจากความเชื่อและความศรัทธาในศาสนาโดยแท้
คำถามถัดไปก็คือ แล้วความเชื่อนี้มาจากไหน?
เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปในประวัติศาสตร์สเปนก่อนหน้าที่โคลัมบัสจะค้นพบอเมริกา
ในปี 1469 กษัตริย์เฟอร์ดินานด์แห่งอารากอน ได้สมรสกับราชินีอิซาเบลลาแห่งคาสติลล์ ซึ่งถือว่าเป็นคู่ที่น่าทึ่งอย่างยิ่ง เพราะทั้งสองพระองค์ได้รวบรวมแผ่นดินสเปนให้เป็นหนึ่งเดียวได้ภายในเวลาไม่นานนัก ปีที่อิซาเบลลาประสูตินั้น ประเทศสเปนยังไม่มีอยู่ในสารบบโลกเลย มีแต่อาณาจักรเล็กๆ ที่แย่งกันครอบครองคาบสมุทรไอบีเรียอยู่เท่านั้นเอง
ที่น่าทึ่งยิ่งไปกว่านั้นก็คือ อิซาเบลลาเป็นราชินีที่มีอำนาจเท่าเทียมกับกษัตริย์ พระนางกลายเป็นผู้ครองอำนาจตัวจริง และทรงออกรบร่วมกับผู้ชายด้วย จนในที่สุดก็สามารถยึดครองกรานาดา อันเป็นที่มั่นสุดท้ายของชาวมัวร์ซึ่งเป็นมุสลิมได้ เหตุการณ์นี้เป็นที่เฉลิมฉลองกันไปทั่วยุโรป และทำให้อิซาเบลลามั่นอกมั่นใจในความเป็นสเปน และต้องการจะขยายอำนาจออกไปอีก จึงอนุญาตให้ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ออกเดินทางไปค้นหาดินแดนใหม่ (ลองคิดดูว่าพระนางใช้เวลา ‘สร้างประเทศ’ แค่ไม่กี่สิบปีเท่านั้น จากที่ไม่มีอะไรเลยกลายมาเป็นมหาอำนาจได้ ถือว่าเก่งมากๆ)
ในเวลาเดียวกันกับที่กำจัดคนต่างศาสนาออกไปได้ พระนางเริ่มรู้สึกว่าคนที่มีรากฐานทางศาสนาแบบเดียวกัน เช่น ชาวยิวนั้นเป็นพวกที่อันตราย เพราะมักจะเข้ามาทำทีเป็นเข้ารีตเป็นคาทอลิก แต่ลักลอบปฏิบัติพิธีกรรมของตัวเองอย่างลับๆ ในที่สุดจึงมีการรื้อฟื้นศาลศาสนาขึ้นมาเพื่อใช้ความรุนแรงพิพากษาจัดการกับคนยิว ศาสนาในยุคนั้นจึงกลายเป็นเครื่องมือทางการเมืองที่สุดโหดหิน แต่ก็เป็นเครื่องมือสำคัญในการรวบรวมประเทศให้เป็นปึกแผ่นและมีความเชื่อเดียวด้วย
ตอนโคลัมบัสจะออกเรือนั้น พระนางอิซาเบลลานี่แหละ ที่มีคำแนะนำให้เอา ‘หมู’ ขึ้นเรือไปด้วย เพราะนอกจากหมูจะเป็นแหล่งโปรตีนชั้นดีที่แพร่พันธุ์เร็วแล้ว ยังรับประกันด้วยว่าทุกคนที่ขึ้นเรือไปจะไม่ใช่ชาวยิว เพราะชาวยิวไม่กินหมู ดังนั้น หมูของราชินีอิซาเบลลาจึงมีส่วนสร้างความ ‘มั่นคง’ ให้กับการค้นพบอเมริกา และในเวลาเดียวกันก็เป็นสัญลักษณ์ของการส่งถ่ายความโหดร้ายในการ ‘กำจัด’ คนต่างศาสนาด้วย
จึงไม่น่าแปลกใจเลย ที่ทหารสเปนจะสังหารหมู่ทหารฝรั่งเศสซึ่งมีความเชื่อทางศาสนาต่างกันที่เมืองเซนต์ออกุสตีน และสร้างตำนานแห่งความโหดเหี้ยมที่สุดครั้งหนึ่ง ที่มนุษย์ทำกับมนุษย์ขึ้นมา
ความเชื่อถือศรัทธาอย่างมืดบอด คือเชื้อปะทุชั้นดีของความรุนแรงเสมอ
Tags: World’s End, St. Augustine, Fort Matanzas