วรฉัตร ลักขณาโรจน์ กรรมการผู้จัดการ แกร็บ ไฟแนนเชียล กรุ๊ป ประเทศไทย กล่าวว่า พฤติกรรมการชำระเงินของคนแบบไร้เงินสด ทั้งพร้อมเพย์ และ mobile banking เติบโตอย่างมากในช่วงที่ผ่านมา เนื่องจากคนมีความกังวลเรื่องโควิด-19 โดยข้อมูลของแกร็บเองระบุว่าการชำระเงินผ่าน GrabPay Wallet เพิ่มขึ้น 100% ในช่วงเดือนเมษายน – มิถุนายน ขณะที่ GrabPackages หรือแพ็คเกจส่วนลดเติบโตขึ้น 3 เท่าตัว เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ และยังคงมีการใช้งานอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน

ขณะที่แกร็บ ไฟแนนเชียล ก็มีการพักชำระหนี้ให้กับพาร์ทเนอร์คนขับไปแล้ว 20,000 ราย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพาร์ทเนอร์ที่ให้บริการเดินทาง และมีสินเชื่อเฉลี่ย 20,000-30,000 บาท เนื่องจากจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง และมาตรการล็อกดาวน์

“ครึ่งปีหลัง เราต้องมาวิเคราะห์ใหม่ สร้างแผนธุรกิจใหม่ พร้อมกับออกผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ เนื่องจากพฤติกรรมคนเปลี่ยน รายได้ของคนเปลี่ยน ร้านอาหารแม้จะกลับมาเปิดได้ แต่ดีเหมือนเดิมหรือเปล่า ยังเป็นคำถาม เพราะค่าใช้จ่ายเขาเยอะขึ้นแน่นอน เราต้องเอาข้อมูลเชิงลึกที่มีมาสร้างโอกาสทางธุรกิจใหม่ๆ”

วรฉัตร เปิดเผยว่าครึ่งปีหลังจะไปเร่งการเติบโตของการชำระเงินแบบไร้เงินสดในต่างจังหวัด เนื่องจากปัจจุบันการชำระเงินแบบไร้เงินสดส่วนใหญ่ยังคงอยู่ในกรุงเทพฯ เป็นหลัก ซึ่งคนต่างจังหวัดใช้บัตรเครดิตค่อนข้างน้อย

“เราจะออกแคมเปญการตลาดเพื่อเจาะในแต่ละจังหวัดที่มียอดการใช้งานแอปเราสูง และจะเปิดให้ลูกค้าธนาคารอื่นๆ สามารถใช้งาน GrabPay Wallet ได้ด้วย เพราะปัจจุบันใช้ได้เฉพาะลูกค้าธนาคารกสิกรไทยโดยเป้าหมายสูงสุดในระยะยาวของเราคือ มีสัดส่วนธุรกรรมแบบไร้เงินสดราว 80%”

นอกจากนี้เตรียมออกสินเชื่อสำหรับร้านอาหาร โดยจะเน้นไปที่ร้านอาหารขนาดเล็ก เช่น ร้านรถเข็น ร้านอาหารตึกแถว เป็นต้น ซึ่งจะใช้รูปแบบสินเชื่อเดียวกับของพาร์ทเนอร์คนขับ สามารถเลือกผ่อนชำระรายวัน หรือชำระผ่านแอปได้เช่นกัน

และเปิดตัวผลิตภัณฑ์ประกันที่เกี่ยวข้องกับบริการของแกร็บ โดยจะต้องเป็นรูปแบบประกันที่พาร์ทเนอร์และผู้ใช้บริการแกร็บสามารถเข้าถึงได้ โดยอาจจะเป็นประกันการเดินทาง ประกันของหายหรือความเสียหายระหว่างการจัดส่ง เป็นต้น