ใครบ้างจะไม่คิดถึงวันวานของตัวเอง คิดถึงฤดูร้อนที่แสนสดใส ปิดเทอมใหญ่ที่อวลไปด้วยความสนุกสนาน จนเมื่อย่างเข้าเทอมใหม่ ฤดูฝนชื้นแฉะทำเราไม่อยากออกจากบ้าน การเดินเปลี่ยนอาคารเรียนอาจทำให้เราเปียกปอน แล้วในที่สุดฝนก็จะค่อยๆ จากไป เรายินดีที่จะคว้าเสื้อกันหนาวออกมาสวม กลิ่นต้นตีนเป็ดเหม็นพอจะทำให้หลายคนเบือนหน้า แต่เราจะรักแสงแดดอีกมากเท่ามากในยามสาย วัยเรียนของเราคงเป็นแบบนั้นไม่ต่างกัน เต็มไปด้วยเสียงหัวเราะปนเปไปกับน้ำตาบ้างประปราย แต่เป็นช่วงที่น่าจดจำและถูกนำมาเล่าในวงสนทนาเสมอๆ

การนั่งดูซีรีส์สักเรื่องที่ตัวละครกำลังก้าวเข้าสู่วัยกำลังเปลี่ยนผ่าน เราจึงอดไม่ได้ที่จะนึกย้อนกลับไปยังอดีตของตัวเอง แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมด แต่คงมีสักส่วนหนึ่งที่เข้ามากระทบความทรงจำ การเป็นวัยรุ่นนั้นไม่ง่าย การเป็นผู้ใหญ่ก็ไม่ง่ายเช่นกัน ดังนั้นไม่ว่าจะวัยไหนก็ขอให้เราใช้มันอย่างเต็มที่ และหวังว่ามันจะเป็นความทรงจำที่ดีเมื่อเรานึกถึงในวันข้างหน้าต่อๆ ไป

American Vandal

American Vandal เป็นซีรีส์ที่เล่าล้อเลียนสารคดีสืบสวนสอบสวน (True-Crime) แต่เล่นในประเด็นที่ไม่ว่าใครได้ยินแล้วก็คงจะบอกว่าไร้สาระ โดยซีซั่นแรกเป็นการตามล่าคนวาดรูปจู๋ ส่วนซีซั่นสองก็มีเหตุการณ์ฉาวไม่แพ้กันคือเด็กนักเรียนพากันขี้แตกทั้งโรงเรียน

เรื่องราวเกิดขึ้นที่โรงเรียนเล็กๆ แห่งหนึ่ง อยู่ๆ ก็มีคนมือบอนไปพ่นรถคุณครูทั้งลานจอดรถด้วยสเปรย์สีแดงสดใส ซึ่งรูปที่ว่าก็คือรูปจู๋ ข่าวฉาวขำๆ ที่ครูไม่ตลกด้วยนี้จึงแพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว และทุกคนแทบจะปักใจเชื่อในทันทีว่านี่เป็นฝีมือของดีแลน แม็กซ์เวลล์ เพราะคนที่จะทำเรื่องแบบนี้ได้ก็คงมีแต่เขา และเขายังวาดรูปจู๋เป็นประจำอยู่แล้วด้วย

ดีแลนถูกเรียกตัวมาสอบสวนอย่างรวดเร็ว เขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่คำให้การก็ไม่มีน้ำหนักพอจะให้พ้นผิด รวมถึงเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งยังออกมายืนยันด้วยว่าเห็นเขาเป็นคนทำ ในที่สุดดีแลนจึงถูกไล่ออก คดีถูกปิดลงอย่างสมบูรณ์ และคงไม่มีใครจะใส่ใจพอสืบสาวหาความจริง ยกเว้นสองหนุ่ม แซมและปีเตอร์ นักทำรายการสารคดีประจำโรงเรียนที่ระแคะระคายบางอย่าง พวกเขาจึงเริ่มลงมือค้นหาแรงจูงใจ ความเป็นไปได้ และความจริงที่ซุกซ่อนอยู่ งานนี้ถ้าดีแลนผิดจริงก็เสมอตัว แต่ถ้าไม่ คนร้ายก็จะยังคงลอยนวล โดยมีดีแลนเป็นแพะรับบาป ซึ่งนั่นคือสิ่งที่ไม่ถูกต้องที่ควรได้รับการแก้ไข!

การเล่าเรื่องในซีซั่นสองยังคงความน่าสนใจไว้ได้เช่นเคย แต่คราวนี้สองคู่หูจะพาเราไปค้นหาคำตอบในคดีใหม่ที่โรงเรียนคาทอลิกชื่อดัง มันจะเหม็นโฉ่และฉาวยิ่งกว่าเดิม แล้วไปดูกันว่าคดีมันจะพลิกไปได้ไกลสักแค่ไหน

Atypical

Atypical ซีรีส์ที่ว่าด้วยเรื่องราวของแซม เด็กหนุ่มที่มีอาการออทิสติกตั้งแต่เกิด ซึ่งกระแสวิจารณ์ตั้งแต่ซีซั่นแรกมาก็เป็นบวกโดยส่วนใหญ่ แม้ว่าซีซั่นแรกจะถูกชี้ให้เห็นข้อบกพร่องอยู่บ้างในแง่ของความรู้ความเข้าใจของผู้ป่วยและคนรอบข้าง ซีซั่นที่สองทั้งนักเขียนบทและนักแสดงต่างก็ทำการบ้านเพิ่มและยังได้รับคำชมอย่างต่อเนื่อง ส่วนซีซั่นที่สามเพิ่งได้รับการปล่อยตัวไปเมื่อ 1 พฤศจิกายน 2019 ซึ่งก็ได้ผลตอบรับดีอย่างท้วมท้น

ครอบครัวการ์ดเนอร์ประกอบไปด้วย แซม เด็กหนุ่มออทิสติกวัย 18 ที่ไม่ค่อยสนิทกับ ดั๊ก ผู้เป็นพ่อเท่าไรนัก เวลามีเรื่องไม่สบายใจ เขามักจะหันไปหาแม่อย่าง เอลซ่า เสียมากกว่า เธอเลี้ยงเขามาอย่างไข่ในหิน โดยที่บางครั้งก็ลืมนึกถึง เคซี่ ลูกสาววัย 15 ปีไปบ้าง เคซี่ก็เข้าใจทุกอย่างดี แต่บางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะน้อยใจ เพราะไม่ว่าอย่างไรพี่ชายก็มาก่อนเสมอ

แซมดำเนินชีวิตไปตามปกติอย่างที่ควรจะเป็น เขาเข้าเรียนในโรงเรียน ทำงานพาร์ตไทม์ มีเพื่อนสนิทไว้คอยปรึกษา พบนักจิตวิทยาเป็นประจำ แต่สิ่งหนึ่งที่ขาดหายไปในชีวิตวัยกำลังแรกแย้มของเขาก็คือคนรัก เขาเริ่มสนใจในเพศตรงข้ามมากขึ้น และอยากมีความสัมพันธ์กับใครสักคน เขาบอกเรื่องนี้กับครอบครัว ทั้งพ่อและแม่จึงเริ่มเป็นห่วง เพราะบางอย่างก็เป็นเรื่องยากที่แซมจะเข้าใจได้ ขณะที่พ่ออยากให้เขาเรียนรู้มันด้วยตัวเอง แม่เขากลับไม่อยากปล่อยลูกชายให้ผิดหวัง แซมจึงพยายามจัดการทุกอย่างในแบบของตัวเอง เพราะความรักไม่ใช่สิ่งที่ใครจะสอนกันได้ เรารักใครแทนใครไม่ได้ เราเกลียดใครแทนใครไม่ได้ แต่เราสามารถเป็นแรงสนับสนุนให้กันและกันได้ ต่อให้เป็นห่วงเท่าไร แต่อย่างไรเสียเราก็ต้องปล่อยให้เขามีชีวิตและรับมือกับโลกกว้างนี้ให้ได้ดีที่สุด

ไม่ได้มีแค่ประเด็นของแซมเท่านั้นที่จะทำให้เราเอาใจช่วยบ้านการ์ดเนอร์ เพราะตัวละครอื่นๆ ก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นชีวิตคู่ของพ่อแม่ ชีวิตส่วนตัวที่ต้องปรับแก้ไข การดูแลเด็กออทิสติก การรักลููกอย่างไม่น้อยไปกว่ากัน และการมีอิสระในเส้นทางที่เราเลือกเดิน เราทุกคนเป็นคนพิเศษ แต่เราแค่พิเศษในแบบที่ต่างกัน

The Chilling Adventures of Sabrina

ซีรีส์สยองขวัญที่สลัดคราบสาววัยใสสู่การเป็นสาวต้องสาป โดยเนื้อหานั้นถูกดัดแปลงมาจากหนังสือการ์ตูนชื่อเดียวกันของสำนักพิมพ์ Archie ตัวละครซาบรีนาออกมาสู่สายตาผู้อ่านครั้งแรกในปี 1962 และโลดแล่นบนจอแก้วในอีก 4 ปีต่อมา หากใครโตขึ้นมาหน่อยก็คงทันเห็นแม่มดสาวฉบับซีรีส์ Sabrina the Teenage Witch ที่ฉายตั้งแต่ปี 1996-2003 แต่โทนและสีสันของเรื่องจะแตกต่างจากฉบับปัจจุบันอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะบทของเจ้าแม่ซาเลม ซึ่งหนึ่งในเหตุผลที่อยู่เบื้องหลังคือ นอกเหนือจากโทนที่มืดมนกว่าแล้ว เคียร์แนน ชิปกา นักแสดงนำยังแพ้แมวอีกด้วย เมื่อถึงจุดหนึ่งนักเขียนบทของเรื่องถึงกับคิดที่จะเปลี่ยนซาเลมให้กลายเป็นสุนัขไปเลย

ซาบรีนา สเปลแมน แม่มดสาวที่อายุย่างเข้า 16 ปี เธอเติบโตมาภายใต้การดูแลของป้าสองคน ได้แก่ป้าฮิลดาและป้าเซลดา ซาบรีนารู้ตัวดีมาตลอดว่าเธอเป็นครึ่งแม่มดครึ่งมนุษย์ และเมื่ออายุ 16 เต็ม เธอจะต้องเลือกเส้นทางใดเส้นทางหนึ่งให้กับชีวิต ถ้าเลือกเป็นมนุษย์ก็ต้องตัดขาดจากโลกเวทมนต์ แต่ถ้าเลือกโลกเวทมนต์ก็ต้องตัดขาดจากโลกมนุษย์ ความสัมพันธ์ทั้งหลายไม่ว่ากับเพื่อนหรือคนรักที่เคยมีมาจะต้องหายไป

และไม่ใช่แค่นั้น นอกจากตกอยู่ในภาวะที่ต้องเลือกทางใดทางหนึ่งแล้ว ซาบรินาก็ยังตกอยู่ในอันตรายรอบด้าน ทั้งแรงกดดัน พ่อมดแม่มดที่ต่อต้านลูกครึ่งมนุษย์ และแมรี่ วอร์เดล ครูประวัติศาสตร์ที่ถูกมาดามซาตานสิงร่าง เพื่อพาซาบรีนากลับไปยังโลกที่เธอควรจะอยู่ และกลายเป็นเครื่องบรรณาการซาตานแก่เธอ

Elite

ซีรีส์สัญชาติสเปนที่ประสบความสำเร็จไปไม่แพ้เรื่องอื่น และหลังจากปล่อยตัวไปเพียง 12 วันก็มีการต่ออายุโดยเน็ตฟลิกซ์ในซีซั่นสองทันที รวมไปถึงซีซั่นสามที่ต่อสัญญาในหนึ่งสัปดาห์ก่อนที่ซีซั่นสองจะปล่อยตัว เนื้อหาของเรื่องดุเด็ดเผ็ดมันไม่แพ้ชื่อในภาษาไทย ‘เล่ห์ร้ายเกมไฮโซ’ ที่ตีแผ่ความแซ่บและปมร้อนในรั้วโรงเรียนอย่างถึงพริกถึงขิง

หลังโรงเรียนแห่งหนึ่งปิดตัวลงเพราะภัยพิบัติ เด็กนักเรียนสามคนจากครอบครัวชนชั้นแรงงาน ได้แก่ ซามูเอล, คริสเตียน และนาเดีย จึงได้ส้มหล่นลูกใหญ่ พวกเขากำลังจะได้เข้าไปเรียนในโรงเรียนที่ดีที่สุดในฐานะนักเรียนทุน ซึ่งมันเป็นโรงเรียนที่เต็มไปด้วยบรรดาลูกหลานของสังคมไฮโซ ดังนั้น พวกเขาจึงไม่ต่างอะไรจากแกะดำ และตกเป็นเป้าสายตาของเพื่อนร่วมชั้น

ซีรีส์จะค่อยๆ พาผู้ชมไปรู้จักตัวละครแต่ละตัว เริ่มจากมารีน่า เด็กสาวที่ไม่ค่อยสนิทสนมกับใคร แต่กำแพงนั้นก็ถูกทำลายด้วยการมาถึงของซามูเอล ในเวลาเดียวกันนาเดียก็เข้าใกล้กุซแมน หัวโจกประจำโรงเรียนที่ชอบกลั่นแกล้งเป็นนิสัย และคริสเตียน เด็กหนุ่มที่เข้าไปพัวพันกับความรักชวนหัว เรื่องราวคงไม่น่าสนใจถ้ามันเพียงแค่เป็นการรวมตัวของวัยรุ่นทั่วๆ ไป แต่ Elite จะตรึงคนดูไว้ได้ด้วยการตายของมารีน่า เธอถูกฟาดจนจมกองเลือดและตายอยู่ริมสระน้ำ

ตัวละครทั้งหมดจะมีความตื้นลึกหนาบางในตัวเอง หลังการตายปมต่างๆ ด้านความสัมพันธ์จะค่อยๆ คลี่ออก ชนชั้นล่างกับชนชั้นบนจะเขยิบเข้าหากัน มันจะพาเราไปค้นหาแรงงจูงใจของฆาตกรรมครั้งนี้ และยังมีประเด็นอื่นๆ ที่สอดแทรกเข้ามาอีก ทั้งศาสนา สังคม ชนชั้น และเชื้อชาติ แน่นอนว่าหนีไม่พ้นเรื่องเซ็กส์ด้วย ความสัมพันธ์เหล่านี้จะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในซีซั่นสอง แต่ก่อนหน้านั้นเราต้องมาตามหากันก่อนว่าใครคือฆาตกรกันแน่ คนที่มาก่อน หรือคนที่มาหลัง?

Sex Education

Sex Education ออริจินัลซีรีส์ของ Netflix จากเกาะอังกฤษ เปิดตัวซีซั่นแรกไปเมื่อ 11 มกราคม 2019 และประกาศซีซั่นอย่างเป็นทางการภายในระยะเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งปล่อยตัวไปแล้วเมื่อ 17 มกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นซีรีส์ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากจนเข้าไปนั่งแท่นซีรีส์ที่รักของใครหลายคน

ลอรี นันน์ นักเขียนบทบอกว่าเธอตั้งใจสอดแทรกเรื่องเพศศึกษาเข้าไป เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อภาพยนตร์ไฮสคูลของจอห์น ฮิวจ์ ในยุค 80 เช่น The Breakfast Club (1985) และ Pretty in Pink (1986)

แม้ว่าเนื้อเรื่องจะเกิดขึ้นในโรงเรียนอังกฤษ แต่ภายในโรงเรียนก็มีสภาพแวดล้อมคล้ายกับโรงเรียนในอเมริกา อาทิ ตู้เก็บของ, เสื้อแจ็คเก็ตของนักเรียน และการไม่มีเครื่องแบบนักเรียน ทางทีมงานตั้งใจให้เป็นแบบนั้น เพื่อให้ผู้ชมเข้าถึงเรื่องราวได้มากที่สุด และแน่นอนส่วนหนึ่งก็เพราะมีภาพยนตร์ของจอห์น ฮิวจ์ เป็นแรงบันดาลใจ

เมื่อเข้าสู่วัยรุ่น หนุ่มสาวก็ต้องมีเรื่องให้ว้าวุ่นเป็นธรรมดา โดยเฉพาะเรื่องหัวใจและเรื่องเพศ พวกเขาเริ่มที่จะคบหากัน ไปกินข้าวกัน รวมถึงมีเซ็กส์กัน แต่ความรู้เพศศึกษาอาจยังไม่ได้ถูกพูดถึงอย่างกว้างขวางมากนัก พวกเขาจึงมีปัญหาให้ต้องมากลัดกลุ้ม และนั่นเองเป็นช่องว่างให้เมฟ สาวแก่นประจำโรงเรียนเล็งเห็นช่องทางทำเงิน ซึ่งเธอเป็นคนชักนำโอทิส เด็กหนุ่มที่แม้แต่ช่วยตัวเองยังทำไม่ได้มาเป็นกูรูเรื่องเพศซะเลย

Sex Education จึงมีแกนกลางของเรื่องอยู่ที่ปัญหาวัยรุ่น มันไม่ได้เป็นซีรีส์ที่บอกว่าพวกเธอจงไปมีเซ็กส์กันซะ! แต่เป็นการมองเรื่องเซ็กส์อย่างรอบด้าน รวมถึงความสัมพันธ์กับเพื่อน คนรัก และครอบครัว มันมีมิติในหลายๆ ด้าน และแต่ละด้านล้วนพูดอย่างเข้าอกเข้าใจ ในซีซั่นสองเราจะได้เห็นพัฒนาการของทุกตัวละครมากขึ้น เล่นประเด็นที่ใหญ่ขึ้น แต่ยังคงเข้มข้นด้วยความสนุกเหมือนเดิม

Tags: ,