*มีการเปิดเผยเนื้อหาส่วนสำคัญของภาพยนตร์
คุณนั่งบนรถโดยสารในยามเย็น คุณกำลังกลับบ้านหลังผ่านวันที่แย่มากๆ มา คุณอาจจะเพิ่งโดนไล่ออกจากงาน เอาเพิ่งโดนตัดสวัสดิการยาต้านเศร้า แม่ของคุณกำลังป่วย คุณเองก็ป่วยด้วยโรคที่ไม่สามารถห้ามการหัวเราะของตัวเองได้ หรือคุณอาจจะเพิ่งถูกกระทืบมา แล้วก็มีเด็กน้อยหนึ่งนั่งตรงเบาะหน้าคุณ ปีนเบาะหันมามองคุณ คุณเริ่มหยอกเล่นกับแก เด็กน้อยหัวเราะให้กับมุกตลกของคุณ แล้วจู่ๆ แม่ของเด็กหันมาตะคอกฉุนเฉียวใส่คุณว่า หยุดแกล้งลูกของเธอสักที คุณพยายามจะอธิบายแต่คุณก็ไม่อาจห้ามไม่ให้ตัวเองหัวเราะ คุณหัวเราะเวลาที่คุณเศร้า ในเมืองที่คุณอยู่อาศัยคุณหัวเราะตลอดเวลา นี่ล่ะเมืองที่คุณอาศัยอยู่ ผู้คนที่คุณร่วมหายใจ
คุณฝันอยากเป็นนักแสดงตลก คุณอยากเป็นคนตลกแต่ที่คุณเป็นคือตัวตลก ทั้งตัวตลกทาหน้าขาวในอาชีพ และตัวตลกน่าสมเพชเวทนาของเพื่อนร่วมงาน คุณกลับบ้านไปดูทีวีกับแม่ ดูรายการตลกจากนักแสดงตลกที่คุณนับถือ แต่คุณเป็นได้แค่ตัวตลก กระทั่งเขาเองก็จะเห็นคุณเป็นตัวตลก ในคืนหนึ่งคุณในชุดตัวตลก โดนคนที่มองว่าคุณกำลังทำตลกใส่พวกเขากระทืบ บังเอิญว่าคุณมีปืนอยู่ในมือ ปืนที่เพื่อนร่วมงานตัวตลกพยายามยัดเยียดขายให้คุณมา คุณคิดว่าพวกมึงควรรู้ กูไม่ตลก
แล้วตัวตลกจอมวายร้ายก็ไม่ได้กลายเป็นเรื่องตลก เมื่อเราพบว่าชีวิตของเราเป็นเรื่องตลก เราทุกคนล้วนเป็นตัวตลกของรัฐไม่ได้เรื่องราว ของพวกคนรวยสันดานเสีย ของโลกที่ไม่เป็นธรรม และได้เวลาแล้วที่มุกตลกจะถูกคืนกลับไปหาคนที่หัวเราะเยาะคนอื่นในฐานะตัวตลกมาตลอดชีวิต
มันอาจเริ่มต้นจากการมีฐานะเป็นภาคแยกของหนังตระกูลซูเปอร์ฮีโร่ของค่าย DC เริ่มจากการเป็นตัวร้ายที่ได้รับความนิยมพอๆ กับพระเอกจาก Batman ที่สร้างซ้ำกันมาหลายครั้ง ในที่สุดโจ๊กเกอร์ก็มีเรื่องราวของตัวเอง โดยไม่ได้เป็นเพียงคู่ปรับของแบทแมน หาก Joker ตัดทอนขนบของหนังในตระกูลซูเปอร์ฮีโร่ออกจนหมด ตัดทอนพล็อตเรื่องที่เล่าเพื่อเอื้อไปสู่ฉากแอคชั่นขนาดใหญ่ที่เน้นสร้างความตื่นตาให้กับผู้ชม Joker เปลี่ยนตัวเองจากหนังเหล่านั้นไปสู่หนังของการสำรวจจิตใจของตัวละครหลักเพียงตัวเดียว หนังฉายภาพด้านในว่าเขาผ่านสิ่งใดมาจึงได้กลายเป็นเช่นนี้ ขณะที่บรรดาตัวร้ายในหนังตระกูลนี้มักเป็นตัวละครที่ถูกทอดทิ้ง ถูกเล่าผ่านๆ เพื่อสร้างความชอบธรรมให้การที่คนเหล่านี้ต้องถูกกำจัด เกิดมาชั่ว หรือถูกกดดันจนเลือกทางผิด มีทางเลือกไม่มากนักสำหรับการเป็นตัวร้ายในหนังซูเปอร์ฮีโร่
หากมันถูกทำขึ้นพิเศษเฉพาะโจ๊กเกอร์มันก็น่ากระอักกระอ่วนไม่น้อย เพราะเดิมทีตัวละครนี้เป็นตัวละครที่ผู้ชมไม่สามารถอธิบายได้ เป็นความบ้าโดยสมบูรณ์ที่เหนือการคาดเดา เป็นเหมือนบั๊กในระบบที่เกิดมาทำลายล้างเพื่อทำลายล้างโดยไม่จำเป็นต้องการครอบครองโลก หรือต้องการล้างแค้นใครสักคน ด้วยความที่โจ๊กเกอร์เป็นตัวร้ายที่พิเศษ มันจึงครองใจผู้คนเพราะโดยตัวมันเองไม่ได้เป็นสัญญะของความชั่วร้ายมากไปกว่าการเป็นสัญญะของการต่อต้านและอนาธิปไตย
หากมันถูกทำขึ้นพิเศษเฉพาะโจ๊กเกอร์มันก็น่ากระอักกระอ่วนไม่น้อย เพราะเดิมทีตัวละครนี้เป็นตัวละครที่ผู้ชมไม่สามารถอธิบายได้ เป็นความบ้าโดยสมบูรณ์ที่เหนือการคาดเดา เป็นเหมือนบั๊กในระบบที่เกิดมาทำลายล้างเพื่อทำลายล้างโดยไม่จำเป็นต้องการครอบครองโลก หรือต้องการล้างแค้นใครสักคน
Joker เป็นเหมือนส่วนผสมของบทสนทนาของหนังอย่างน้อยสองเรื่องของ Martin Scoresese เรื่องแรกคือ The King Of Comedy ที่โรเบิร์ต เดอนีโร รับบท รูเพิร์ต พัพกิ้น ชายป่วยจิตน่ารำคาญที่อยากเป็นนักแสดงตลกตาม เจอร์รี่ แลงดอน นักแสดงตลกที่เป็นเหมือนไอดอลของเขา ชีวิตของรูเพิร์ตเหวี่ยงไปมาระหว่างการหลอนไปเองว่าเจอร์รี่เป็นเพื่อนสนิทของเขาจากเหตุจับพลัดจับผลูที่ได้เข้าไปเกี่ยวข้องกันโดยบังเอิญ รูเพิร์ตพยายามอย่างยิ่งที่จะให้เจอร์รี่ให้คำแนะนำแก่การแสดงของเขาในฐานะเพื่อน ความฝันสูงสุดคือการได้ออกรายการของเจอร์รี่ จนในที่สุดเขาถึงกับก่ออาชญากรรมเพื่อให้ได้ออกทีวีในรายการของเจอร์รี่ ในฐานะ ‘ราชาตลก’ หรือ King ในตอนจบหนังเสียดเย้ยความฝันแบบอเมริกันด้วยการที่อาชญากรรมของเขากลายเป็นทางสู่ความสำเร็จจริงๆ เขาได้กลายมาเป็นพิธีกรรายการแบบเดียวกับที่เจอร์รี่ที่รักของเขาเคยเป็นในอดีต ซึ่งนี่ทำให้การเอา เดอนีโร มาเล่นบท เมอร์เรย์ แฟรงคลินใน Joker จึงเป็นมากกว่าการ tribute หากเป็นทั้งการรีเมค การเขียนภาคต่อ และการเล่าเรื่องเดียวกันในระดับของความสำเร็จที่ต่างกัน
เรื่องที่สองคือ Taxi Driver อีกครั้งที่เดอนีโรรับบทเป็น ทราวิส เบคเคิล ทหารผ่านศึกเวียดนามป่วยจิตผู้ประกอบอาชีพขับแทกซี่ในนิวยอร์ก ผูกสัมพันธ์กับโสเภณีเด็กขณะเคียดแค้นก่นด่าสังคมโสมมที่เขาอยู่อาศัย ถูกทำร้าย ทำลายล้าง และอีกครั้ง ลุกขึ้นมาก่ออาชญากรรมเพื่อปัดกวาดให้โลกนี้สะอาดขึ้น เช่นกันหนังใช้สภาพภายในของชายจิตป่วยเพื่อสะท้อนภาพของสังคมอเมริกันปลายยุค 70’s ที่บ้าคลั่งและบิดเบี้ยว โดยใช้ฉากหลังเป็นนิวยอร์กซึ่งก็เป็นแรงบันดาลใจของเมืองกอทแธมอีกที
เราจึงอาจเปรียบเปรยสิ่งที่เกิดขึ้นกับ อาเธอร์ (ชื่อก่อนจะกลายเป็นโจ๊กเกอร์) โดยแนบมันเข้ากับสิ่งที่เกิดขึ้นกับ รูเพิร์ต และโดยเฉพาะทราวิส เรื่องภายในของผู้คนเพื่อสะท้อนโครงสร้างทางสังคม โจ๊กเกอร์เป็นทั้งราชาและคนขับแท็กซี่ในคนเดียวกัน แต่สำหรับ Joker มันซับซ้อนและน่าสงสัยกว่านั้น จนในที่สุดเราไม่อาจทำเสมือนว่านี่เป็นเพียงการรีเมคสิ่งที่หนัง Scorsese พูดไปแล้วตั้งแต่ในยุค 70’s ได้
Joker ฉบับ Todd Phillips เปลี่ยนจากหนังซูเปอร์ฮีโร่ กลายไปเป็นหนัง Character Study ที่พยายามจะเล่า ประกอบสร้างความเปลี่ยนแปลงภายในของตัวละครตัวใดตัวหนึ่ง ทั้งจากปัจจัยภายนอกที่บีบคั้นเขาและปัจจัยภายในตัวเขาเอง ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลงเขา จากคนหนึ่งไปเป็นคนหนึ่ง หนังปล่อยให้ผู้ชมจับจ้อง อาเธอร์ เฟลค ตัวละครเพียงตัวเดียวที่แบกหนังทั้งเรื่องเอาไว้ หนังเปิดตัวเขาไม่ใช่ในฐานะคนธรรมดาแต่ในฐานะผู้ป่วยทางจิตที่ใกล้จะสติแตก ร่างกายผ่ายผอมเก้งก้าง ดวงตาที่ไม่อาจคาดเดา อาการประสาทหลอนครึ่งดีครึ่งบ้าและการหัวเราะที่ควบคุมไม่ได่้ มันจึงไม่ใช่หนังที่ว่าคนธรรมดากลายเป็นอาชญากรทีละน้อยจากสังคมได้อย่างไร แต่เป็นการดิ้นรนครั้งสุดท้ายของผู้ป่วยทางจิตที่จะประคับประคองตัวเองไว้จากการเป็นบ้า หนังฉายให้เห็นว่าสำหรับผู้ป่วยจิตเวช เขาไม่ได้แค่ต้องต่อสู้กับจิตใจของตนเอง สารสื่อประสาทของตนเองแต่เขายังต้องต่อสู้กับสังคมที่เขาสังกัดด้วย ตัวละครหลักของหนังจึงมีสองตัวไม่ใช่ตัวเดียว หนึ่งคืออาเธอร์และอีกหนึ่งคือ เมืองกอทแธมที่เขาอาศัย
กอทแธมในหนังคือภาพของเมืองที่เสื่อมโทรม อาชญากรรมเกิดขึ้นได้ในทุกที่ รัฐอ่อนแอและไร้ตัวตน (ครั้งเดียวที่อำนาจรัฐร่วมมือทำลายผู้คนคือการตัดสวัสดิการการรักษาโรคจิตเวชของตัวละคร) ผู้คนเกลียดกลัวกันเอง ซึ่งจุดนี้คือสิ่งที่หนังเน้นย้ำอย่างยิ่ง ในกอทแธม คนแปลกหน้าจะมีความเชื่อว่าอีกคนหนึ่งจะเข้ามาฉกฉวย ทำร้าย หลอกลวง ผู้คนตั้งการ์ดสูงตลอดเวลาต่อคนอื่นๆ ทั้งในยามปกติ และในยามที่แต่ละคนเจอปัญหา ไม่มีใครช่วยใครเพราะต่างไม่รู้ว่าช่วยแล้วจะซวยด้วยไหม สังคมกอทแธมจึงเป็นสังคมที่เหนือกว่าสังคมแล้งน้ำใจแต่เป็นสังคมที่เชื่อว่าคนอื่นคิดร้ายต่อกันตลอดเวลา ซึ่งไม่ใช่เรื่องที่เกิดขึ้นเพราะผู้คนชั่วร้ายจากจิตใต้สำนึก แต่เกิดขึ้นเหมือนเป็นวงจรของสังคมที่ไม่ปลอดภัย ผู้คนจึงต้องระแวดระวังตนเอง ทั้งหมดจึงเป็นการเมืองของสิ่งที่ไม่เป็นการเมืองอย่างเช่น ‘ความดี’ หรือ ‘ความมีน้ำใจ’ ‘การเห็นอกเห็นใจคนอื่น’ อย่างที่เราเข้าใจและเชื่อว่ามาจากปัจเจกมากกว่าสังคม และการปราศจากรัฐนี้เองทำให้กอทแธมเป็นภาพกลับหัวของสังคมในบ้านเราที่เต็มไปด้วยความรุนแรงจากรัฐหรือคนที่เป็นแขนขาจากรัฐ แต่ยังพอมีน้ำจิตน้ำใจจากคนเล็กคนน้อยหลงเหลืออยู่บ้าง
หนังฉายให้เห็นว่าสำหรับผู้ป่วยจิตเวช เขาไม่ได้แค่ต้องต่อสู้กับจิตใจของตนเอง สารสื่อประสาทของตนเองแต่เขายังต้องต่อสู่กับสังคมที่เขาสังกัดด้วย
ดูเหมือนหนังจงใจผลักการเมืองออกจากตัวหนังตลอดเวลา หนังแทบไม่พูดถึงรัฐ ในฐานะของการบังคับใช้กฏหมาย แม้ปมหนึ่งของหนัง (ซึ่งล้อไปกับพลอตหลักของ Batman อย่างคมคาย) คือการที่ โทมัส เวยน์ พ่อของบรูซ เศรษฐีประจำเมืองจะลงเลือกตั้ง แต่สิ่งใดๆ ที่เกิดกับอาเธอร์ เป็นเรื่องระดับปัจเจก สังคม มากกว่าเรื่องโครงสร้าง แม้แต่เรื่องของเขากับแม่และโทมัสก็ยังเป็นเรื่องที่ปัจเจกมากๆ (จนเกือบจะน้ำเน่า) เป็นเรื่องที่สังคมไม่ได้กดขี่เขาโดยตรง เป็นปัญหาส่วนบุคคล สิ่งที่รุมเร้าเขาและเขาพูดถึงตลอดเวลาคือ ความไม่ใส่ใจกันของผู้คนในระดับปัจเจก ในช่วงท้ายอาร์เธอร์ถึงกับพูดย้ำในรายการด้วยซ้ำว่าถ้าคนเราเคารพคนอื่นๆ มากกว่านี้เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น
การฆ่าของเขาก็ไม่ได้เป็นเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้น ไม่ใช่เรื่องการเมือง เป็นเพียงอาการประสาทแดกสติหลุดของคนบ้าเท่านั้น การฆ่าของเขาไม่ใช่การฆ่าของทราวิสที่ประกาศชัดเจนตลอดเวลาราวกับศาสดาผู้ประกาศสัจจะในการกวาดล้างโลกโสมม ซึ่งจะว่าไปแล้ว ปัญหาเชิงปัจเจกเช่นเรื่องพ่อแม่ของอาเธอร์ก็กลายเป็นปัญหาด้านกลับของบรูซที่ในเวลาต่อมากลายเป็น Batman โดยมีปมทางใจในแบบเดียวกัน จนมันตลกที่เราอาจจะบอกได้ว่าแบทแมนเป็นแบทแมนได้เพราะเขาถูกหวยทางพันธุกรรมด้วยการเกิดมาเป็นเศรษฐี
อาร์เธอร์ถึงกับพูดย้ำในรายการด้วยซ้ำว่าถ้าคนเราเคารพคนอื่นๆ มากกว่านี้เรื่องแบบนี้คงไม่เกิดขึ้น การฆ่าของเขาก็ไม่ได้เป็นเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้น ไม่ใช่เรื่องการเมือง เป็นเพียงอาการประสาทแดกสติหลุดของคนบ้าเท่านั้น
นี่จึงไม่ใช่หนังที่พูดเรื่องการต่อสู้ทางชนชั้นแต่อย่างใด เอาเข้าจริงเจตจำนงของการสงครามชนชั้นในหนังค่อนข้างคลุมเครือและย้อนแย้งด้วยซ้ำ ในทางหนึ่งมันเป็นหนังที่ว่าด้วยไอ้บ้าที่โดนชีวิตตัวเองและสังคมหลอกหลอนจนลุกขึ้นมาฆ่าไอ้ชั่วสามคนโดยบังเอิญแล้วดันดังขึ้นมา แต่ในอีกทางหนึ่ง ความไม่การเมืองของมันกลับทำให้หนังมันซับซ้อนในอีกระดับเมื่อการฆ่าที่ไม่การเมืองมากๆ ถูกทำให้เป็นการเมืองมากๆ ในเวลาต่อมา
เพราะไม่มีเรื่องใดไม่ใช่การเมือง การปราศจากการเมืองของการฆ่าจึงเป็นการเมืองแบบหนึ่งเมื่อมันถูกตีความแบบช่วงใช้ โดยฝูงชนที่ความคับแค้นเจ็บปวดมีสงครามชนชั้นที่ผูกติดอยู่กับตัวอยู่เดิม คนที่ถูกรัฐทอดทิ้ง ถูกคนรวยหยามเหยียด เราอาจบอกได้ว่าแม้แต่ความบ้าที่ไม่การเมืองของอาเธอร์ก็มาจากการเมืองของการขาดยาต้านอาการเพราะสวัสดิการโดนตัด ความบ้าของอาเธอร์มาจากการที่รัฐไม่ใส่ใจดูแลแม่ของเขาเพียงพอ จากการที่รายการทีวีทุนนิยมหากินกับการเหยียดหยามและทำให้คนอื่นเป็นตัวตลก ความรุนแรงและการฆ่ากลายเป็นการเยียวยาความบ้า การมาตุฆาตแม่ที่ไม่ใช่แม่ เลยกลายเป็นฟางเส้นสุดท้ายที่ตัดขาดตัวเขาจาการยึดโยงจากระบบศีลธรรมใดๆ ในสังคมดั้งเดิมโดยสิ้นเชิง
แต่เหนือไปกว่านั้น อาชญากรรมของอาเธอร์คือฟางเส้นสุดท้ายบนหลังลา คือน้ำผึ้งหยดเดียวที่นำไปสู่การลุกฮือทางชนชั้น ด้วยอุบัติเหตุแห่งความบ้า คนบ้าจึงเป็นทั้งฮีโร่และแอนตี้ฮีโร่ในคราวเดียวกันเราอาจจะบอกว่าหนังกำลังฉายให้เห็นถึงความอันตรายหรือความน่าเคลือบแคลงของมวลชนที่ในที่สุดตีความผิดๆ จนยกย่องคนบ้าเป็นวีรบุรุษ ในอีกทางหนึ่งก็บอกได้ว่า เพราะกระทั่งการกระทำที่ไม่การเมืองที่สุดของคนบ้าที่บ้าไปแล้วก็ไม่สามารถหนีพ้นจากความเป็นการเมืองได้
เรื่องตลกจึงคือการเปลี่ยนเรื่องที่ไม่การเมืองให้เป็นการเมืองขึ้นมา ตัวตลกกลายเป็นสิ่งคาดเดาไม่ได้ ผู้คนไม่ตลกกับเรื่องเดียวกัน ความตลกเป็นเรื่องของทั้งรสนิยม เรื่องของชนชั้นและวัฒนธรรม การหัวเราะผิดที่กลายเป็นการเหยียดหยาม การเหยียดหยามจะเกิดขึ้นได้เพราะคนเราไม่เท่ากัน และเมื่อความไม่เท่ากันไม่ใช่เรื่องตลก สิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกันมันจึงเกี่ยวข้องกัน เรื่องส่วนตัวของคนคนหนึ่งกลายเป็นเรื่องส่วนรวมของคนอื่นๆ การต่อสู้อย่างโดดเดี่ยวกลายเป็นการต่อสู้ของชนชั้น การเมืองจึงเป็นเรื่องตลกโดยมีประชาชนเป็นตัวตลก คนร่ำรวยเป็นผู้หัวเราะและรัฐจัดเก็บค่าแสดงตลกไปให้ผู้ชม
Joker จึงอาจจะไม่ใช่ทั้งหนังที่พูดถึงการต่อสู้ทางสังคมพอๆ กับที่ไม่ใช่หนังวิเคราะห์จิตใจของอาชญากร (พล็อตหลักที่เปลี่ยนแปลงเขาเป็นเรื่องแบบเรื่องเล่ามากๆ ภายนอกผิวเปลือกมากๆ จนเราไม่ได้สำรวจจิตใจด้านในของเขามากนัก-โชคดีที่หนังได้การแสดงของ Joaquin Phoenix มากลบเกลื่อนจุดอ่อนนี้ไว้) มันเป็นหนังว่าด้วยคนบ้าและความบ้าของคนไม่บ้าที่ทำให้คนใกล้บ้าเป็นบ้า และคนที่ไม่บ้าต้องกลายเป็นคนบ้าไปในท้ายที่สุด
Tags: Filmsick, Joker