กระบองเพชรปลูกในตมไม่ได้ฉันใด บัวก็ปลูกในทรายไม่ได้ฉันนั้น — มีมี่ เทา บอกกับเราพร้อมยืนยันว่าเธอจะเดินหน้าทำงานที่อเมริกาและยังไม่มีแผนจะกลับมาอยู่เมืองไทย เพราะด้วยเพศสภาพและความงามในแบบของเธอเองไม่ได้ทำให้เธอมีงานที่นี่ เคยถูกยกเลิกงานเพราะไม่ใช่ผู้หญิงด้วยซ้ำ แต่สำหรับอเมริกา เธอได้เดินแบบบนรันเวย์กว่า 100 โชว์ เพิ่งฝากผลงานที่นิวยอร์กแฟชั่นวีค และล่าสุดได้เข้าร่วมเรียลิตี้โชว์ชื่อดังอย่าง Project Runway ในฐานะนางแบบข้ามเพศคนแรกของรายการเสียด้วย
เธออยากอยู่เมืองไทย แต่เธออยู่ไม่ได้ เธอถูกตัดสิน เมืองไทยไม่มีสิ่งที่เธอต้องการ คงไม่เกินไปนักหากเราจะขอใช้คำว่า hate/love กับความสัมพันธ์ของเธอและบ้านเกิด
เรื่องราวของมีมี่เทาถูกบอกเล่าผ่านหลายสื่อทั้งในไทยและในอเมริกา ด้วยความที่เธอเคยบวชเรียนมากว่า 6 ปี และเรื่องก็ไม่ใช่อย่างที่เราคาดเดาในแวบแรกที่ได้ยิน ชีวิตขณะบวชของมีมี่สงบงามดี แถมยังเป็นช่วงเวลาอันมีค่าที่ทำให้เธอได้อยู่กับตัวเอง ได้ยอมรับในเพศสภาพ ได้เข้าใจความฝัน ความต้องการ และมีภูมิต้านทานกับกระแสสังคมอันเชี่ยวกรากไม่ว่าจะในไทยหรืออเมริกา
และในโอกาสที่เธอกลับไทยเพื่อมาเลือกตั้ง ต่อด้วยเล่นสงกรานต์ เราจึงชวนมีมี่มาพูดคุยกันในหลายๆ ประเด็น ตั้งแต่การบวช ชีวิต ความรื่นรมณ์ และความกังวลทั้งในบ้านเกิดกับบ้านเมืองที่เธอเลือกจะอยู่
นิวยอร์กในแบบที่คุณรู้จักเป็นอย่างไร
ทุกอย่างมันรวดเร็วไปหมด ผู้คนก็ฟรี ไม่ต้องแคร์อะไรมาก คิดอะไรก็พูดออกมา ใครอยากทำอะไรก็ทำ แต่ด้วยความที่มันอิสระขนาดนั้น คนที่นิวยอร์กเลยไม่ค่อยเคารพกัน (หัวเราะ) แล้วที่นั่นมีคนที่มีภาวะทางจิตเยอะมาก คุยคนเดียวบ้าง อยู่ๆ ก็ชกกำแพงบ้าง หรือเราเดินๆ อยู่แล้วถุยน้ำลายใส่ก็มี เพราะมันเป็นเมืองที่คนอยู่เยอะแล้วทุกคนต้องแข่งขันทั้งในเรื่องการงานและเรื่องเวลา มันเลยมีแรงกดดันมาก ซึ่งมี่คิดว่าถ้าเราไม่เคยบวชเรียนหรือมีภูมิต้านทาน ก็อาจจะหลุดไปแล้วเหมือนกัน
ทีนี้ในแง่ของการงาน นิวยอร์กเป็นเหมือนเมืองหลวงของแฟชั่น นายแบบนางแบบเยอะมาก และทุกคนก็หวังว่าจะต้องมีชื่อเสียงที่นี่ คนมาจากทั่วโลกและทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน การแข่งขันมันจึงสูง เราเลยต้องปรับทัศนคติของตัวเอง ว่าไม่เป็นไร โดนปฏิเสธที่นี่ ก็ไปลองที่อื่น ลองทำอย่างอื่น คราวหน้าเอาใหม่ บางคนโดนปฏิเสธเยอะๆ ก็จะเครียดๆๆ แล้วสุดท้ายก็ต้องไปวุ่นวายกับยาเสพติด แล้วก็หลุดไปเลย ดังนั้นเราต้องควบคุมมันให้ได้ ดีลกับความผิดหวังให้ได้และเดินหน้าต่อไป การบวชมันทำให้เรา calm เรามั่นคงมากๆ
จินตนาการตัวเองที่ไม่เคยผ่านการบวชออกไหม
คงไม่ได้เป็นนางแบบ คงไม่ได้มาอยู่ที่นี่
ที่จริงแล้วเพศสภาพเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาพระธรรมหรือเปล่า
พูดถึงวินัยสงฆ์ก่อน วินัยสงฆ์ได้พูดถึงบัณเฑาะก์เอาไว้ว่าแบ่งเป็น 5 แบบด้วยกัน เช่นบัณเฑาะห์ที่เสพสมกับผู้ชาย บัณเฑาะก์ที่เป็นโดยจริต ฯลฯ ซึ่งบัณเฑาะก์ประเภทที่ไม่สามารถบวชได้คือบัณเฑาะก์ที่ไม่มีอวัยวะเพศซึ่งระบุชัดว่าเป็นเพศชาย นั่นคือถูกตอน หรือมีอวัยวะเพศกำกวมที่หมายถึงกะเทยในทางกายภาพ ซึ่งมันยากในแง่ของการจะนิยามว่าคุณจะเป็นภิกษุหรือภิกษุณี จะต้องถือศีลกี่ข้อ นั่นหมายถึงข้อห้ามไม่ให้บัณเฑาะก์บวชมันเป็นเรื่องของการจัดกลุ่มตามลักษณะทางกายภาพมากกว่า ดังนั้นรสนิยมทางเพศไม่ใช่ข้อห้ามในการบวช
และถ้าถามว่ามันเป็นอุปสรรคต่อการศึกษาพระธรรมไหม ไม่นะคะ ถ้าย้อนไปในพุทธกาล ก็มีพระที่ออกบวชเพื่อที่จะใกล้ชิด ได้เห็นหน้าพระพุทธเจ้าทุกวัน ซึ่งท่านก็บรรลุอรหันต์ในที่สุด มันไม่ได้อยู่ที่ว่าเพศสภาพจะเป็นยังไง แต่ทีนี้คนเรากลับมาตัดสินกันด้วยเหตุผลต่างๆ ด้วยความคิดที่ว่าผู้ชายเป็นใหญ่ กดผู้หญิงให้ต่ำลง กดคนที่อยากเป็นผู้หญิงให้ต่ำลง ตุ๊ด กะเทย ก็เลยมีที่ทางอย่างทุกวันนี้
อย่างตอนนี้จะมีมีมที่เกี่ยวกับพระออกสาว ถ้าได้พูดกับน้องๆ ตุ๊ดหรือกะเทย ฯลฯ ที่ตอนนี้บวชอยู่ จะบอกว่าอย่างไร
มันจะมีบทเรียนที่บอกว่า พระสงฆ์เปรียบเสมือนดอกไม้ที่กระจัดกระจายอยู่ พระวินัยก็คือพานที่มาจัดวางให้ดอกไม้เรียบร้อยขึ้น พูดง่ายๆ ก็คือควรปฏิบัติตามหลักน่ะนะคะ พระวินัยก็บัญญัติไว้หลายอย่าง การมาบวชเป็นพระหรือเป็นเณร เราเข้ามารับสถานะบางอย่าง ก็ต้องเคารพกฎที่กำหนดไว้สำหรับบทบาทสถานะนี้ หรือบางอย่างไม่ผิดวินัย แต่มันก็เป็นโลกวัชชะ หรือที่แปลว่า โลกติเตีอน ก็หมายถึงชาวบ้านไม่ชอบ เราก็คงต้องไม่ทำ
นั่นหมายถึงในบางพื้นที่ เราคงไม่สามารถเป็นตัวเองได้ร้อยเปอร์เซ็นต์?
เราว่าการเป็นตัวเองน่ะดีนะ แต่การปฏิบัติตามระเบียบวินัยนั้นดีกว่า สำหรับการบวชนะ เพราะการบวชเข้ามาไม่ใช่เพื่อมาอยู่สุขสบายอิสระเสรีอยู่แล้ว เราเข้ามาเพื่อปฏิบัติตัวให้อยู่ในรูปในรอย มันคือการเข้ามาฝึกตัวเองให้ปฏิบัติตามกฎระเบียบที่มีอยู่ ไม่ใช่การเข้ามาเป็นชนชั้นพิเศษให้คนกราบไหว้อย่างเดียว
เคยคิดอยากกลับไปบวชไหม
เคย ตอนสึกออกมาใหม่ๆ แล้วเจอคนที่เข้ามาหาเราด้วยเรื่องต่างๆ บางทีเราก็รู้สึกว่าน่ากลัว มี่เป็นคนไม่ค่อยกลัวสิ่งที่เป็นรูปธรรม แต่กลัวสิ่งที่เป็นนามธรรม ที่กลัวที่สุดคือความคิดคน เราไม่มีทางรู้เลยว่าใครคิดอะไรอยู่ บางครั้งเขามานั่งอยู่ต่อหน้าเรา ยิ้มแย้มให้ แต่เราไม่รู้เลยว่าจริงๆ เขาต้องการอะไร
อะไรที่ทำให้ปักใจว่าจะต้องทำงานที่อเมริกาให้ได้
มันไม่ใช่แค่เพราะมี่อยากเป็นนางแบบ แต่มี่อยากได้รับการยอมรับ บอกเลยว่าถ้ามีกลับมาเมืองไทย มี่ไม่ได้มีงานรองรับ ไม่มีคนจ้างงานเราอยู่แล้ว เราเคยเดินแบบในเมืองไทยที่เป็นงานเล็กๆ น้อยๆ แต่ไม่เคยมีดีไซเนอร์ไทยจ้างเลย เคยโดนแคนเซิลเพราะเป็นกะเทยด้วยซ้ำ พูดถึงวงการบันเทิงยิ่งแล้วใหญ่ ยิ่งไม่มีเลย มี่เลยคิดว่า มาถึงตรงนี้แล้วเราต้องสู้ให้ถึงที่สุดแล้วนะ เพราะเรามองไม่เห็นอนาคตตัวเองในไทย มันเลยทำให้มี่ฮึดสู้ที่อเมริกา เราจะอยู่ที่นี่แหละ ในที่ของเรา เมล็ดพันธุ์บางอย่างมันปลูกได้ในบางที่ บัวปลูกในทรายไม่ได้ กระบองเพชรก็ปลูกในตมไม่ได้เหมือนกัน เราต้องอยู่ให้ถูกที่ถูกทาง มันจะทำให้ชีวิตการงานเราง่ายขึ้น
คิดว่าอะไรที่ทำให้คุณโดดเด่นในอเมริกา
ค่านิยมความงามของแต่ละชนชาติมันต่างกัน มี่คิดว่ามันเป็นเรื่องที่ว่าคนเราต้องการในสิ่งที่ตนเองไม่มี ฝรั่งเขาก็จะไม่ค่อยมีหน้าโหนกๆ กรามๆ จะหาคนโหนกกรามชัดๆ ยากมาก นั่นเลยทำให้มี่โดดเด่นที่โน่น แต่ผิดกับที่เมืองไทย ที่คนมีโหนกมีกรามเยอะจนบางคนอยากมีหน้าเล็กเรียว อยากผิวขาว อยากมีตาสีเทาสีฟ้า เรามีวรรณคดีหลายเรื่องที่ผลิตขึ้นมาและบอกว่าคนผิวขาวนั้นสวย ผิวสีดำเป็นส่วนของความอัปลักษณ์ ขณะที่ฝรั่งก็อยากผิวแทน มีผมสีเข้ม เหมือนกัน มันขึ้นอยู่กับความพอใจของคนนั่นล่ะ
ก่อนหน้านั้นเคยอยากตัดโหนกหรือตัดกรามบ้างไหม
ไม่เคย เราเสริมจมูกนะ แต่โหนกหรือกรามเราไม่คิดเลย เราเกิดมาก็เจอตลอดกับคำว่า ต้องไปทุบโหนกทุบกรามออกนะ ตอนเริ่มเป็นนางแบบที่เมืองไทย เขาก็ปรินต์รูปเราออกมาเลย เอามือมาปิดให้เห็นว่า เนี่ย โหนกตรงนี้ควรเอาออก เอาออกแล้วจะสวยมากเลยนะ หรือกระทั่งว่า พี่มีคอนเนกชั่นกับหมออยู่นะ ติดต่อให้ได้นะ แต่เราก็บอกว่าไม่ค่ะ พอเขาถามว่าอยากทำอะไรบ้างกับใบหน้า เราก็บอกว่า อยากทำให้ผิวเรียบเนียนขึ้นค่ะ เขาก็จะ อืม พี่ว่าเราไม่เหมาะสมกับงานนี้ ก็ถูกปฏิเสธมา
ซึ่งเราก็ไม่ได้โทษเขานะ แต่เพราะว่าค่านิยมความสวยของเมืองไทยเป็นแบบนี้ เขาก็เลยอยากให้เราเป็นแบบนี้ ขณะที่เมืองนอกเอง ก็มีคนถูกปฏิเสธเพราะเขาอาจจะแค่ขาว หน้าเล็ก ซึ่งมันอาจจะไม่ได้โดดเด่นที่โน่นไง แต่เราไม่คิดจะเปลี่ยนตัวเองให้คนอื่นมาชอบ อยากให้เขาชอบในสิ่งที่เราพอใจแล้วมากกว่า
อะไรที่ทำให้ยืนหยัดแบบนั้น
ก็ยังเป็นช่วงเวลาที่เราบวชนั่นแหละ มันทำให้เราอยู่กับตัวเองเยอะ ได้รักในตัวเอง พอใจในสิ่งที่ตัวเองเป็น ต่างๆ เหล่านี้มันเป็นคำสอนที่เบสิก ฟังดูทั่วไป ง่ายๆ แต่คนไม่ค่อยเข้าถึงมันนะ มันง่ายจนทุกคนคิดว่า อืม กูรู้ไง พอใจในสิ่งที่ตัวเองมี กูก็รู้ แล้วไงล่ะ เข้าใจอยู่ แต่ถามว่ามันปฏิบัติจริงได้ง่ายขนาดนั้นมั้ย ก็ไม่นะ ซึ่งถ้าเราทำได้ การใช้ชีวิตบนโลกใบนี้มันจะง่ายขึ้นมากนะ
หลายคนชอบบอกว่ามี่โลกสวยเกินไป ให้สัมภาษณ์แบบตอแหล แต่มี่คิดอย่างนี้จริงๆ ไม่อย่างนั้นมี่จะไม่มีแรงผลักดันตัวเองที่เป็นแบบนี้มาอยู่จุดนี้ ถ้ามี่เชื่อคำคน ไปตัดโหนกตัดกราม ป่านนี้มี่ก็คงไม่ได้มีงานที่นี่ หรือถ้าเราคล้อยไปตามที่คนพูด ว่าเราไม่สวย ไม่เหมาะสม เราไม่ผ่าน ก็คงท้อแล้วก็หยุดไปแล้ว คงไม่ได้เดินต่อมาจนถึงตอนนี้ เราไม่ได้สตรองแค่ร่างกาย แต่ข้างในมันก็สตรอง
คุณกลัวความคิดคน แต่กลับทำงานในอุตสาหกรรมที่ขึ้นชื่อว่าวงการมายา
ต้องบอกว่าคนไม่ชอบมี่ก็เยอะนะ อาจเพราะมี่มีความคิดที่ไม่เหมือนเขา บางคนก็บอกว่ามั่นหน้าเกินไป (หัวเราะ) เราว่าส่วนหนึ่งเพราะสังคมไทยชอบการนอบน้อม แต่สำหรับมี่ บางครั้งการนอบน้อมมันก็กลายเป็นความเฟค แต่ไม่ใช่ว่ามี่ไม่นอบน้อมนะคะ แค่คิดว่าสิ่งไหนที่คิดว่าไม่ใช่ เราก็จะพยายามไม่ทำ
อย่างถ้าเป็นที่นิวยอร์กเขาก็จะแสดงออกตรงๆ เลยว่าไม่ชอบเรา แบบตาขวางใส่ หรือบอกเลยว่า stay away แบบนั้นเราช็อกนะ แต่เราก็ได้รู้ไปเลยไง ก็โอเค ไม่ต้องยุ่งเกี่ยวกัน แต่อยู่เมืองไทยเราไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ ว่าคนไหนชอบหรือไม่ชอบเรา มันค่อนข้างยากเหมือนกัน นั่นเลยทำให้เรากลัวความคิดคน แต่ถามว่าดีลกับมันยังไง มี่ก็จะพยายามคิดว่า ช่างมันเถอะ ปล่อยไป แล้วเราจะมีความสุขกับการใช้ชีวิตมากกว่า ถ้ามัวแต่มาคิดเราคงไม่สามารถจะมีความสุขได้ แล้วเราก็ต้องอยู่ เพราะนี่มันที่ทำงานของเรา
อย่างที่นิวยอร์ก การที่คน ‘ไม่ชอบ’ คุณ มันเกี่ยวเนื่องกับเชื้อชาติไหม
มีนะ ในบางกรณี การเหยียดเชื้อชาติมันมีอยู่แล้วเราเห็นข่าวอยู่เยอะแยะไป มีครั้งหนึ่งเราเดินไปตามท้องถนนในนิวยอร์ก แล้วมีครั้งหนึ่งที่ผู้ชายเดินเข้ามาขอเบอร์ เราก็บอกว่า ไม่ได้ ฉันไม่ให้ แล้วสิ่งที่เขาพูดใส่เราก็คือ “immigrant bitch” อ้าว (หัวเราะ) เราก็ไม่รู้นะ นิวยอร์กมันร้อยพ่อพันแม่จริงๆ ดังนั้นถ้าเขาไม่ชอบเราก็ไม่ยุ่ง แต่ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเกิดกับมี่หรอกค่ะ เพราะมี่ตัวใหญ่ (หัวเราะ) บางคนมาเย้วๆ แล้วพอเรายืนขึ้น เขาก็จะไปเอง
คุณอินกับการเมืองอเมริกามากน้อยแค่ไหน
อิน เราอินเลย ตอนที่มี่โดนด่ากว่า immigrant bitch นี่ก็เป็นผลมาจากเรื่องการเมืองเหมือนกัน เขาอาจจะเป็นพวกโดนัลด์ ทรัมป์แบบสุดโต่ง คนไหนไม่ใช่คนขาวเท่ากับมึงเป็นผู้อพยพหมด มึงเป็นพวกที่มาอาศัยบ้านกูอยู่ มาแย่งงานพวกกูทำ ทั้งที่จริงแล้ว พวกคนขาวก็เข้าไปทีหลังคนอเมริกันพื้นเมือง ไปแย่งที่อยู่เขามาเหมือนกัน ซึ่งอเมริกันพื้นเมืองที่โน่นก็กลายเป็นถูกบูลลี่ซ้ำอีก เราเลยค่อนข้างจะอินกับการเมืองที่โน่นมากๆ เราเห็นกับตาว่ามันไม่แฟร์
เราเคยคิดว่าอยากเป็นพลเมืองที่นั่น ไม่ใช่แค่เพราะจะได้เดินทางง่าย แต่มันทำให้เรามีสิทธิเลือกตั้งด้วย เพราะเราตั้งใจจะไปใช้ชีวิตที่โน่น แล้วพอเป็นยุคของทรัมป์เขาก็จะไม่ค่อยให้ซิติเซ่นกับคนต่างชาติแล้ว เพราะเขารู้ว่าคนพวกนี้จะมีสิทธิโหวตและจะไม่เลือกเขา เพราะเขาเองมีจุดยืนชัดมาก ออกกฎหมายที่กีดกันผู้อพยพเยอะมาก ไม่ใช่แค่ผู้อพยพ แต่เป็น LGBT ด้วย คนชายขอบกลุ่มอื่นๆ ด้วย ที่อเมริกาเลยตื่นตัวกันมากๆ
ในวงการแฟชั่นล่ะ เป็นอย่างไรบ้าง ภายใต้ยุคของทรัมป์
แฟชั่นมันอยู่ที่การตัดสินใจคนซะมากกว่า อย่างกรณีของวิคตอเรีย ซีเคร็ต ที่ผู้บริหารเขาออกมาบอกว่าเขาไม่ได้ต้องการทรานส์เจนเดอร์หรือคนพลัสไซส์ในโชว์ของเขา เพราะโชว์เขามันขายแฟนตาซี พอพูดอย่างนั้นแล้ว มันทำให้เขาต้องปิดช็อปไปร้อยกว่าแห่ง เหมือนเขาไม่รู้ว่ากะเทยรอดูโชว์เขาแล้วเดินกันกระจาย ผู้หญิงพลัสไซส์ก็ซื้อชุดชั้นในเขาเยอะมาก พอพูดแบบนี้ก็ทำลายฐานแฟนตัวเอง
ส่วนการเลือกปฏิบัติมันก็มีอยู่บ้าง แต่ไม่ได้เป็นเพราะยุคทรัมป์ซะทีเดียว ดีไซเนอร์อเมริกันเขาแทบไม่พูดเรื่องนี้กันแล้ว model ก็คือ model ไม่มีเพศ แต่ถามว่ามี่เคยโดนกีดกันเพราะเพศสภาพมั้ยในนิวยอร์ก ต้องบอกว่าเคย ซึ่งเป็นดีไซเนอร์เกาหลี ตอนแคสติ้งมี่ก็เดินเอาแฟ้มเข้ามายื่นให้เขาที่นั่งอยู่ด้วยกันสองคน พอเราหันกลับมาเพื่อจะเดินให้ดู หันไปปุ๊บเห็นเกาหลีนั่งเบะปากใส่กัน ชัดเจนขนาดนั้นเลย เราก็ได้แต่นึกในใจว่า เอ้อ ไม่เป็นไร เราไปแคสต์ที่อื่นก็ได้ มีอีกหลายคนที่อยากให้ฉันเดินให้ เกาหลีเขาจะแอนตี้ LGBT กันหนักมาก ทั้งที่ประเทศเขาก็เต็มไปด้วยคนเหล่านี้
แต่นี่ก็ยังไม่ร้ายแรงเท่าตะวันออกกลาง มี่เคยคุยกับพี่คนหนึ่งที่เป็นโฮสต์ของรายการนางแบบในเอเชีย มี่ก็ถามเขาว่า พี่คะ มี่ควรไปสมัครรายการนี้ดีไหม พี่เขาบอกว่า อย่าเลย พี่เคยคุยเรื่องนี้กับทางรายการแล้ว แต่รายการให้เหตุผลว่า ถ้ามีทรานส์ในรายการ เขาจะไม่สามารถขายลิขสิทธิ์ในประเทศมุสลิมได้
ขณะที่อเมริกาจะไม่ค่อยมีปัญหานี้ อย่างที่บอกว่าเพราะคนเขาไม่ได้มานั่งคิดเรื่องเหล่านี้แล้ว และกฎหมายเองก็มีส่วน ถ้าใครที่เลือกปฏิบัติกับเรา เราสามารถฟ้องได้ ไม่ใช่แค่ในกรณีของเพศสภาพนะ เรื่องเชื้อชาติ หรืออื่นๆ ที่เข้าข่าย discrimination เราฟ้องได้ ซึ่งนี่เป็นกฎหมายที่มีมาตั้งแต่ยุคก่อนหน้าทรัมป์แล้ว และยังคงแข็งแรงอยู่
ขณะที่บ้านเราเลือกปฏิบัติกันเกรียวกราวมาก เพราะเมืองไทยเป็นวัฒนธรรมที่แต่ไหนแต่ไรมาก็มีขี้ข้า มีไพร่ มีขุนนาง มีราชวงศ์ การเลือกปฏิบัติมันอยู่ในสายเลือด มันมีชนชั้นวรรณะที่ยังหลงเหลืออยู่ ถึงจะไม่ได้รุนแรงเท่าเมื่อก่อน แต่รากมันยังหลงเหลืออยู่ และมันก็ยังปรากฏในหนังในละครอยู่ “อีขี้ข้า มึงอย่าผยองมาเทียบชั้นกู” (ทำการแสดงให้ดู)
นี่เป็นอีกเหตุผลไหม ที่ทำให้ไม่อยากอยู่เมืองไทย
ความจริงแล้ว โดยสัตย์จริง มี่อยากอยู่ไทยที่สุด แต่เมื่อสิ่งที่เราอยาก กับสิ่งที่เราต้องการมันสวนทางกัน เราอยากอยู่เมืองไทยเพราะครอบครัวเราอยู่ที่นี่ แต่สิ่งที่เราต้องการคืออาชีพ การงาน การยอมรับ ในเมื่อมันไม่มีให้เรา เราก็ต้องขวนขวายไปในที่ที่มันมี เราต้องเลือก เหมือนแบบ เรารักผู้ชายคนนี้จังเลย แต่เขาไม่รักเรา เราควรรักเขาต่อหรือเราควรไปหาคนอื่น ถ้ารักต่อเราก็คงเจ็บ งั้นก็ไปรักคนอื่นแล้วกัน จะได้มีความสุข ก็ง่ายๆ
การเมืองไทยกับการเมืองอเมริกา อันไหนน่าหนักใจกว่ากัน
หนักใจของบ้านเรามากกว่า อย่างของอเมริกาเขาก็ยังยืนพื้นที่ประชาธิปไตย ทรัมป์ได้เข้ามาก็เพราะคะแนนเสียงจริงๆ ถ้าเกิดเขาไม่ดีเขาก็แค่อาจจะไม่ได้อยู่ต่อในสมัยต่อไป แต่บ้านเรานี่สิ เรามีเลือกตั้ง แต่เลือกตั้งก็ยังอะไรไม่รู้เลยเนี่ย นี่ที่มี่กลับมาเมืองไทยก็กลับมาเลือกตั้งนะ แล้วนี่เราอยู่มาเป็นเดือนๆ แล้วคะแนนยังไม่ออกมาเป็นเรื่องเป็นราวเลย แล้วที่สำคัญกว่านั้นคือ เรารู้ว่ามันมีการโกงแต่เราทำอะไรไม่ได้อะ กลายเป็นว่าเขามีอำนาจที่จะลิดรอนสิทธิเรา แล้วเราก็ไม่รู้เลยว่าอนาคตจะเป็นยังไง จะอยู่ต่อถึงยุทธศาสตร์ 20 ปีเลยไหม แล้วรัฐบาลที่มาใหม่จะเป็นรัฐบาลที่ไม่ได้อยู่ใต้อำนาจ คสช.หรือเปล่า ก็นั่นแหละ คนที่มีอำนาจเขาก็กลัวที่จะเสียอำนาจไป แล้วเขาก็คงทำทุกทางไม่ให้เสียไป
ดูเหมือนว่าถึงวางแผนจะใช้ชีวิตที่อเมริกาแล้ว แต่การเมืองไทยก็ยังกระทบคุณอยู่ดี
ยังไงเราก็เกิดที่นี่เนอะ เราก็ยังมีความรู้สึก คงพูดไม่ได้หรอกว่าช่างมันเถอะ แล้วแต่ละกัน ไม่ใช่ประเทศกูแล้ว ในความรู้สึกลึกๆ ลงไป มันรับไม่ได้หรอก มันคงเหมือนแฟนเก่าอะ ถ้าแฟนเก่าเราไปเจอคนที่ไม่ดีมากๆ เขาก็ทุกข์ทรมาน เราก็ยังรู้สึกเป็นห่วงเขาไหมอะ แล้วนี่เป็นประเทศเราเลยนะ
ติดตามบทสัมภาษณ์มีมี่ ประเด็น ‘gender’ ได้ในนิตยสาร a day ฉบับเดือนมิถุนายน
อ่านเส้นทางชีวิตและการทำงานของมีมี่เพิ่มเติมได้ที่ บีบีซีไทย
Tags: ข้ามเพศ, นางแบบ, มีมี่ เทา