สต็อปโมชั่นเป็นเทคนิคการสร้างภาพเคลื่อนไหวที่มีประวัติมาอย่างยาวนาน และถูกนำมาใช้ในวงการภาพยนตร์อย่างต่อเนื่อง โดยภาพยนตร์สต็อปโมชั่นเรื่องแรกที่มีการบันทึกไว้ได้แก่ The Humpty Dumpty Circus ของสองนักสร้าง Albert E. Smith กับ J. Stuart Blackton ในปี 1898 โดยแอนิเมเตอร์ยุโรปเป็นคนแรกๆ ที่ใช้เทคนิกนี้ในการเล่าเรื่อง แต่ผู้ที่นำมันมาใช้ในวงการภาพยนตร์คือ Willis O’Brien ซึ่ง The Lost World (1925) เป็นเรื่องแรกที่เขาได้มีส่วนร่วมในการสรรสร้างฉากพิเศษที่ตื่นตาตื่นใจ

จนปัจจุบันสต็อปโมชั่นก็มีการพัฒนาเทคนิคต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง แต่ถึงอย่างไรมันก็ยังเป็นงานที่ยากและเต็มไปด้วยความประณีตอยู่ดี เพราะต้องประดิษฐ์สิ่งละอันพันละน้อยมากมาย และขยับการเคลื่อนไหวของตัวละครด้วยมือ การสร้างแอนิเมชันสต็อปโมชั่นแต่ละเรื่องจึงใช้ทั้งพลังกาย พลังทั้งใจ รวมถึงเวลาอันมหาศาล ดังนั้น เมื่อมีแอนิเมชันสต็อปโมชั่นออกมาสักเรื่อง เราจึงอดที่จะตื่นเต้นและชื่นชมความอุตสาหะของพวกเขาไปไม่ได้ นอกจากงานด้านโปรดักชันที่ไม่เป็นรองใครแล้ว เนื้อเรื่องก็ยังยอดเยี่ยมอีกต่างหาก ใครที่สนใจจะหยิบมาดูเชิญลองหยิบจับจาก 5 เรื่องด้านล่างนี้ได้เลย

Coraline (2009)

Coraline ดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของนีล เกแมน นักเขียนผู้มีผลงานเป็นที่ประจักษ์แก่สายตาหลากเรื่อง เช่น Stardust, American Gods และ The Graveyard Book ในตอนแรกภาพยนตร์เรื่องนี้จะออกมาในรูปแบบของคนแสดง โดยวางดาโกตา แฟนนิ่ง ไว้เป็นนักแสดงหลัก เมื่อมีการปรับเปลี่ยนเป็นแอนิเมชันทางทีมก็ถามกับเธอว่ายังสนใจที่จะให้เสียงของโครอลไลน์อยู่ไหม ซึ่งเธอตอบตกลงในทันที เพราะมันฟังดูน่าสนุกและตื่นเต้นมากขึ้นเมื่อเธอเห็นว่าโครอลไลน์จะเป็นอย่างไร

แอนิเมชันมีจุดที่แตกต่างจากนวนิยายอยู่หนึ่งจุดใหญ่ๆ นั่นคือตัวละครที่ชื่อว่า Wyborn ‘Wybie’ Lovat เขาไม่ได้มีบทบาทในนวนิยายเลย แต่อย่างไรก็ตามในหนังสือโครอลไลน์เอ่ยถึงครอบครัว Lovat ไว้ว่าเคยอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนต์เดียวกันกับที่เธออาศัยอยู่ การเพิ่มตัวละครนี้เข้ามาจึงทำให้เนื้อเรื่องไปได้ไกลขึ้นกว่าเดิม

ครอบครัวของโครอลไลน์ย้ายบ้านจากมิชิแกนมาสู่โอเรกอน นั่นทำให้เด็กหญิงตัวน้อยอย่างเธอต้องปรับตัวเข้ากับสถานที่แห่งใหม่นี้ แต่พ่อกับแม่ก็ยุ่งเกินกว่าจะมีเวลาให้เธอจริงๆ โครอลไลน์จึงถูกปล่อยให้อยู่ตามลำพังบ่อยๆ ในขณะที่รู้สึกเบื่อหน่ายอยู่นั่นเอง เธอก็เจอประตูลับในบ้านหลังใหม่ เมื่อลอบเข้าไปก็ยิ่งต้องประหลาดใจ หลังบานประตูนั้นแอบซ่อนโลกอีกใบไว้ มันเป็นโลกที่มีทุกอย่างไม่ต่างจากโลกจริง มีแม้กระทั่งพ่อแม่เธอ! สิ่งที่ผิดเพี้ยนไปก็คือทุกคนที่นี่จะมีดวงตาเป็นกระดุม

ความเหงาหงอยเศร้าสร้อยของโครอลไลน์แทบจะหายไปเป็นปลิดทิ้ง เพราะพ่อแม่คนที่สองให้เธอได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นเวลา สิ่งของ สายสัมพันธ์ และการเอาใจใส่ พอกลับไปยังโลกจริงก็ยิ่งเป็นการตอกย้ำความเสียใจว่าเธอไม่ได้สิ่งที่ต้องการจากพ่อแม่จริงๆ เลย ดังนั้นโครอลไลน์จึงแอบไปยังอีกโลกบ่อยๆ พอหลายครั้งเข้าพ่อแม่คนที่สองก็ต้องการให้เธออยู่ที่นั่นตลอดไป เธอแค่ต้องเปลี่ยนดวงตาให้เป็นกระดุมเท่านั้น มันจะไม่มีโลกสองใบอีกต่อไป เธอต้องเลือกโลกใบใดใบหนึ่ง โลกแห่งความจริงที่เปราะบางหรือโลกแห่งความฝันที่มีพร้อมทุกอย่าง ที่ไหนกันแน่ที่เป็นบ้านของเธอ?

Frankenweenie (2012)

Frankenweenie เป็นการหยิบหนังสั้นในชื่อเดียวกันของตัว ทิม เบอร์ตัน เองมารีเมคใหม่ และไม่เพียงแค่นั้นมันยังเป็นการเคารพตัวละครอมตะอย่างแฟรงเกนสไตน์ใน Frankenstein (1931) ด้วย ซึ่งก็รวมไปถึงหนังสือต้นฉบับของแมรี เชลลีย์ เช่นกัน

สุสานสัตว์เลี้ยงในเรื่องเป็นหลุมศพของซีโร่จาก The Nightmare Before Christmas (1993) และขนบนหัวเจ้าสุนัขของเอลซ่าถูกคัดลอกมาจากผมของตัวละครเอลซ่าในเรื่อง Bride of Frankenstein (1935) นับว่านี่เป็นแอนิเมชันที่มีการอ้างอิงและได้รับอิทธิพลมาจากภาพยนตร์สยองขวัญหลายๆ เรื่องในประวัติศาสตร์เลยทีเดียว

วิกเตอร์ หนุ่มน้อยที่อาศัยอยู่กับครอบครัวและเจ้าสปาร์คกี้ เขาเป็นเด็กที่มีโลกส่วนตัวสูง ชื่นชอบวิทยาศาสตร์ และมีเพื่อนคู่ใจเป็นสุนัขแสนรัก แล้ววันดีคืนดีสปาร์คกี้ก็ประสบอุบัติเหตุตาย วิกเตอร์สูญเสียเพื่อนรักไปอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่ขณะที่ความเศร้ากำลังรุมเร้าเขาก็นึกถึงการทดลองวิทยาศาสตร์ขึ้นมาได้ ซึ่งด้วยความฉลาดบวกกับโชค นั่นทำให้วิกเตอร์ฟื้นคืนชีพเจ้าสปาร์คกี้ขึ้นมาได้!

ความสำเร็จนี้เรียกได้ว่าเป็นการเอาชนะความตายจริงๆ ถึงวิกเตอร์จะดีใจขนาดไหน แต่เขาก็พยายามที่จะไม่ให้คนอื่นรู้ว่าตัวเองทำอะไรลงไป ซึ่งความลับก็ปิดอยู่ไม่ได้นาน เพราะความซุกซนของเจ้าสปาร์คกี้นั่นแหละเป็นตัวการ ทีนี้ใครต่อใครก็ต้องการให้เขาลงมือทำบางอย่างให้ แล้วความตายก็กลายเป็นความโกลาหลขึ้นมาทันที!

Anomalisa (2015)

Anomalisa มีการระดมทุนสร้างจาก Kickstarter.com โดยแรกเริ่มวางแผนไว้ว่าจะเป็นเพียงภาพยนตร์สั้นความยาว 40 นาที แต่สุดท้ายแล้วก็ออกมาเป็นภาพยนตร์ขนาดยาวด้วยงบประมาณ 8 ล้านเหรียญ ซึ่งถึงจะทำรายได้ไม่เข้าเป้า แต่ก็มีดีกรีเป็นแอนิเมชันเรท R ที่เข้าชิงรางวัลออสการ์ในปีนั้น

เพลงแรกที่ลิซ่าร้องให้ไมเคิลฟังควรจะเป็นเพลง My Heart Will Go On ของ ซีลีน ดีออน แต่ภายหลังได้เปลี่ยนเป็น Girls Just Want to Fun ของ ซินดี ลอเปอร์ แทน เพราะเพลงของ Titanic (1997) ไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้

มันเป็นเรื่องโลกอันน่าเบื่อของไมเคิล สโตน นักเขียนหนุ่มใหญ่ที่เดินทางมายังซินซินนาติ รัฐโอไฮโอ เพื่อบรรยายเกี่ยวกับการให้บริการลูกค้า เนื่องจากหนังสือของเขาประสบความสำเร็จมาก ภายใต้ใบหน้ายิ้มแย้มปั้นแต่งที่ต้องทำเพื่องานนั้นใครจะรู้ว่าเขากำลังเผชิญกับปัญหาบางอย่าง ไมเคิลไม่รู้ว่าจะมีปฏิสัมพันธ์อันดีกับคนอื่นอย่างไร สำหรับเขาตอนนี้ใครๆ ก็เหมือนกันหมด ทุกคนมีใบหน้าและเสียงที่เหมือนกัน ไม่เว้นแม้แต่กับภรรยาหรือลูก ซึ่งมันสร้างความสับสนให้เขาอย่างมาก

แต่ในช่วงเวลาเพียงข้ามคืน ไมเคิลก็เจอกับหญิงสาวที่ส่องประกายออกมาจากผู้คนนับพัน เธอมีใบหน้าเป็นของตัวเอง และมีเสียงที่ไพเราะจนสะกดใจ เขาตกหลุมรักเธอเข้าเต็มๆ รวมถึงให้ชื่อเล่นกับเธอว่า ‘อโนมาลิซ่า’ ซึ่งมาจากชื่อลิซ่าของเธอ ความสัมพันธ์ครั้งนี้ช่างดูเปี่ยมไปด้วยความหวัง พวกเขาหลับนอนแล้วนอนหลับไปด้วยกัน จวบจนเช้าวันใหม่ ไมเคิลกลับตื่นมาด้วยความรู้สึกที่ต่างเกือบจะสิ้นเชิงจากเมื่อคืน ความโรแมนติกยามค่ำคืนถูกกลืนกินไปด้วยแสงที่ส่องประกาย ลิซ่ากำลังจะถูกลบตัวตนไม่ต่างจากใคร เธอจะไม่ได้เป็น ‘คนพิเศษ’ แล้ว ไม่ใช่คนที่จะมาเติมเต็มหัวใจของไมเคิล ผู้ชายที่ก็ไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไรกันแน่ ไม่ใช่แค่คนอื่นที่แปลกแยกจากเขา เขาเองก็แปลกแยกจากตัวเองเช่นกัน…

Kubo and the Two Strings (2016)

Kubo and the Two Strings เป็นเรื่องราวการผจญภัยครั้งยิ่งใหญ่ของตัวละคร รวมถึงทีมผู้สร้างเอง โดยในการสร้างแอนิเมชันสต็อปโมชันเรื่องนี้ทีมงานมีใบหน้าต้นแบบของคูโบทั้งหมด 23,187 ชิ้น และสามารถแสดงสีหน้าได้มากกว่า 48 ล้านสีหน้า ส่วนโครงกระดูก Giant Skeleton ก็เป็นหุ่นสต็อปโมชันที่ใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีการสร้างมา ซึ่งมีความสูง 18 ฟุต มีดาบที่ไม่ซ้ำกัน 70 แบบและมีกระดูกถึง 1,000 ชิ้น

แม้ว่าแอนิเมชันจะทำรายได้ต่ำกว่าภาพยนตร์ทุกเรื่องที่ผ่านมาของสตูดิโอ Laika (เป็นเรื่องแรกในขณะนั้นที่ทำรายได้ต่ำกว่า 100 ล้านเหรียญ) แต่ภาพยนตร์ก็สามารถกวาดคำชมมาได้อย่างล้นหลาม ได้รับรางวัล BAFTA Award สาขาแอนิเมชันยอดเยี่ยม และเข้าชิงรางวัลออสการ์ 2 สาขาด้วยกัน

ณ ดินแดนญี่ปุ่นยุคโบราณ เด็กหนุ่มนามคูโบอาศัยอยู่กับแม่ตามลำพังบนหน้าผาสูงริมทะเล คูโบเป็นเด็กฉลาด จิตใจดี และมีพรสวรรค์ในการเล่าเรื่อง เรื่องเล่าของคูโบมีสีสันได้ด้วยเวทมนต์ในการดีดพิณ ตุ๊กตากระดาษจะร่ายรำไปตามสิ่งที่เขาบอกกล่าว คูโบจึงหาเงินมาจุนเจือครอบครัวด้วยวิธีนี้ เพราะแม่ของเขาไม่อยู่ในภาวะที่จะหาเลี้ยงชีพได้ ในทุกๆ วันคูโบจึงต้องลงมายังหมู่บ้าน และกลับไปยังผาสูงก่อนพระอาทิตย์ตกดิน

ความเคลือบแคลงเกี่ยวกับชีวิตของคูโบจะถูกกระเทาะออกทีละน้อย เหตุที่เขาเกิดมามีดวงตาข้างเดียว ต้องหลบหนีจากความมืด รวมถึงอยู่อย่างโดดเดี่ยวนั้นมีสาเหตุมาจากอดีต ที่สุดแล้วชีวิตอันเงียบสงบและการหลบหนีก็ต้องจบลง เพราะเขาถูกไล่ล่าโดยน้องสาวฝาแฝดกับคุณตา ที่ต้องการครอบครัวดวงตาข้างที่เหลืออยู่ แม่ของเขาเข้ามาช่วยเหลือทันเวลา แต่เธอก็ต้องใช้พลังเฮือกสุดท้ายในการส่งตัวคูโบไปยังสถานที่อันห่างไกล พร้อมกับฝากฝังให้เขาตามหาของสำคัญที่เคยเป็นของพ่อ ได้แก่ เสื้อเกราะและดาบ ทางเดียวที่จะต่อกรกับความชั่วร้าย ไขปริศนาเรื่องพ่อ และยุติทุกสิ่งทุกอย่าง ถูกเดิมพันไว้ด้วยการเดินทางครั้งนี้ ซึ่งมันจะพาเราไปสู่จุดจบอันน่าประทับใจ

Isle of Dogs (2018)

แอนิเมชันสต็อปโมชันเรื่องที่สองของผู้กำกับสุดยียวน เวส แอนเดอร์สัน ผลงานนี้ได้รับอิทธิพลมาจากงานของ อากิระ คุโรซาวา และ Rankin/Bass Productions ทีมผู้สร้างใช้เวลาถ่ายทำไปทั้งสิ้น 445 วัน โดยช็อตที่ใช้เวลาสร้างนานที่สุดกินเวลาไปถึง 107 วัน ในส่วนของหุ่นสุนัขนั้นใช้ขนของอัลปากามาตกแต่ง แต่ละตัวใช้เวลาทำราว 16 สัปดาห์ ยกเว้นหุ่นเจ้านัทเม็กที่นานกว่าเพื่อนและสร้างนาน 6 เดือน

เนื้อหาส่วนหลักพูดถึงการผจญภัยของบรรดาหมาๆ ที่พ่วงด้วยเด็กชายหนึ่งคน ซึ่งสุนัขหลักทั้ง 5 ตัวล้วนมีชื่อที่มีความหมายว่า ‘ผู้นำ’

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นในประเทศญี่ปุ่น อนาคตอันสดใสวูบดับลงเพราะการแพร่ระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่ในสุนัข เมืองเมงาซากิจึงออกคำสั่งให้นำสุนัขทุกตัวไปทิ้งที่เกาะขยะ แต่อะไรมันจะช่างประจวบเหมาะขนาดนี้ ในเมื่อตระกูลโคบายาชิที่มีความแค้นฝังลึกกับเผ่าพันธุ์สุนัขกำลังดำรงตำแหน่งอยู่ นายกเทศมนตรีไม่ลังเลสักนิดที่จะส่งเจ้าสี่ขาไปยังเกาะรกร้าง และเขาก็ส่ง เจ้าสปอตส์ไปเป็นตัวอย่าง

เด็กชายวัย 12 ขวบอย่างอาตาริที่ผูกพันกับสปอตส์เป็นอย่างมากจึงตัดสินใจไปตามหามันในวันหนึ่ง เขาขโมยเครื่องบินไปจนถึงเกาะขยะ และเมื่อถึงที่หมายแล้วอาตาริก็ได้รับความช่วยเหลือจากสุนัข 5 ตัว เพื่อพาเขาออกตามหาสปอตส์ แม้ความหวังจะริบหรี่และระยะยาวไกล พวกเขาก็จะไม่หยุดลงกลางทาง เพราะแท้จริงแล้วเหตุการณ์ในครั้งนี้นั้นใหญ่กว่าที่คิด มันมีเหตุผลทางการเมืองซุกซ่อนอยู่ ซึ่งคนกลุ่มหนึ่งก็กำลังสืบสาวหาต้นตออยู่เช่นกัน!