สมัยที่เรายังเด็กกว่านี้ หากให้เปรียบความรักเป็นฤดู เราคงบอกว่าความรักคือฤดูร้อน เธอหรือเขาเปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ สดใสและเบิกบาน งดงามดั่งดอกไม้ที่แย่งกันเบ่งบานเพื่ออวดโฉม เมื่อโตขึ้นมาอีกหน่อย ผ่านร้อนผ่านหนาวให้หัวใจได้ล้มลุกคลุกคลานมาบ้าง ความรักจะกลับกลายเป็นฤดูฝน เศร้าสร้อยและโหมกระหน่ำ ทิ่มแทงและรุนแรง รวดร้าวและยากจะลืมเลือน

แต่เมื่อโตเป็นผู้ใหญ่เต็มตัว ความรักจะสวยงามกว่าที่ผ่านมา เราจะมองมันอย่างเข้าอกเข้าใจ แม้ว่ามันจะหวานปนขมไปบ้าง ไม่ต่างจากฤดูหนาวที่ให้ความอุ่นข้างในหัวใจ แต่เหนือสิ่งอื่นใด ในการเดินทางของความรักในชีวิต มันจะมีช่วงเวลาหนึ่งที่เราจะทั้งรักทั้งชัง เราอาจเสียน้ำตาไปมากมาย แต่ก่อนหน้านั้นเราก็ได้รับรอยยิ้มมามากเกินกว่าจะคาดเดาได้เช่นกัน

ยิ่งรักมากเท่าไร เราก็ร้าวมากเท่านั้น และความรักจากภาพยนตร์ 5 เรื่องนี้ก็ทำหัวใจคนดูสลายเอาง่ายๆ ได้เหมือนกัน

Closer (2004)

แม้ว่าชื่อผู้กำกับไมค์ นิโคลส์ จะไม่ได้โดดเด่นอยู่ในใจใครหลายๆ คน เพราะผลงานของเขาไม่ได้มีลายเซ็นอย่างชัดเจน แต่เชื่อว่า Closer จะต้องเป็นภาพยนตร์ที่หลายคนคุ้นหน้าคุ้นตาเป็นอย่างดี ผลงานชิ้นนี้แฝงไปด้วยการเมืองเรื่องเพศอย่างเปิดเผย

เรื่องราวความรัก ความเจ็บปวด และการทรยศที่ดำเนินเรื่องด้วยตัวละครเพียงสี่คนกลับยังคงถูกเอ่ยถึงเรื่อยมา ประโยค “Hello, stranger.” อันเรียบง่าย ทว่ากลับเป็นภาพจำที่ชัดเจน

ความบังเอิญบางครั้งก็กลายเป็นจุดพลิกผันสำคัญในชีวิต และความบังเอิญแบบนี้ก็ได้เปลี่ยนแปลงชีวิตของพวกเขาสี่คนไปตลอดกาล Closer เป็นเรื่องราวความสัมพันธ์ของคนสี่คนที่สัมพันธ์กันเป็นวงกลม ฉันรักเขา เขารักฉัน เรารักกัน แต่เขาก็รักอีกคน และอีกคนก็รักอีกคน

ตัวละครประกอบไปด้วยแดน นักเขียนข่าวมรณกรรมในหนังสือพิมพ์ ผู้พบแต่กับความผิดหวังซ้ำๆ จนเมื่อได้พบกับอลิซ ผู้เปรียบเสมือนเทพธิดาตัวน้อยของเขา อลิซ นักเต้นระบำเปลื้องผ้า ผู้สร้างตัวตนขึ้นมาใหม่ในเมืองแปลกหน้า แอนนา ช่างภาพสาวสวย ผู้มีรอยยิ้มเปี่ยมเสน่ห์ และแลร์รี่ แพทย์ผิวหนังที่มีความเชื่อมั่นในตัวเองอย่างล้นเหลือ

ทั้งหมดติดอยู่ในวงเวียนของการทรยศหักหลัง ความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงทำให้พวกเขาทำร้ายกันเอง เป็นความรักที่ไม่สามารถวางใจต่อกันได้ และในเมื่อทุกอย่างมีขีดจำกัด วันหนึ่งใครคนใดคนหนึ่งก็จะพบว่าตัวเองไม่ได้รักคนคนนั้นอีกต่อไป เราอยู่ในโลกที่ทุกคนอาจไม่ได้พูดโกหกไปเสียทุกเรื่อง แต่เราอยู่บนโลกที่ปิดบังความจริงต่อกัน บิดเบือนสิ่งต่างๆ ให้ได้มากเท่าที่จะมากได้ โดยไม่ทำให้ตัวเองเจ็บปวดจนเกินไป

Like Crazy (2011)

เวลาตกอยู่ในห้วงแห่งความรัก เรามักทำอะไรที่บางทีพอมองย้อนกลับไปแล้วก็คิดว่าไม่สมควรเอาเสียเลย รักที่ขาดสตินั้นทำชีวิตล้มครืนเอาได้ง่ายๆ เพราะบางสิ่งก็คอขาดบาดตายเกินไปที่จะเสี่ยงทำอะไรไม่เข้าท่า อย่างที่ตัวละครแอนนาในภาพยนตร์เรื่องนี้ทำ

Like Crazy นำแสดงโดยแอนตัน เยลชิน นักแสดงหนุ่มผู้ล่วงลับไปเมื่อไม่นานที่ผ่านมา ผลงานของเขา อาทิ Star Trek (2009), Fright Night (2011) และ Green Room (2015) ซึ่งแสดงคู่กับนางเอกสาวเฟลิซิตี้ โจนส์ ที่มีผลงานมากมายไม่แพ้กัน เช่น The Theory of Everything (2014), Inferno (2016) และ Rogue One: A Star Wars Story (2016)

ภาพยนตร์เปิดฉากมาด้วยการบรรยายหน้าชั้นเรียนของแอนนา นักศึกษาสาวชาวอังกฤษที่เดินทางมาเรียนไกลถึงลอสแอนเจลิส เธอเรียนคลาสเดียวกับเจค็อบ ชายหนุ่มท่าทางใสซื่อ แต่เต็มไปด้วยแรงดึงดูด แอนนาตัดสินใจส่งจดหมายไปถึงเขา และนั่นก็เป็นจุดเริ่มต้นของความรัก วันเวลาต่อจากนั้นช่างสดใสและมีความหมาย แต่การเป็นนักศึกษาปีสุดท้ายนั่นหมายถึงเมื่อเรียนจบแล้วพวกเขาก็ต้องแยกจากกัน

เรื่องมันไม่ควรจะยากถ้าหากแอนนาไม่อยู่เกินระยะเวลาที่วีซ่ากำหนด การเก็บเกี่ยวความสุขเล็กๆ จากช่วงเวลานั้นคือหายนะของความรักที่ทั้งแอนนาและเจค็อบต่างทำพลาด

ในที่สุดแอนนาก็ต้องกลับบ้าน ระยะทางที่ห่างไกลยิ่งทำให้พวกเขาโหยหากัน แอนนากลับมาที่ลอสแอนเจลิสอีกครั้งในฐานะนักท่องเที่ยว แต่เธอโดนปฎิเสธที่จะให้เข้าประเทศ เนื่องจากความผิดครั้งก่อน ชีวิตรักของทั้งคู่จึงเริ่มไม่สดใสเหมือนเก่า และค่อยๆ หนักขึ้นเรื่อยๆ

บนโลกแห่งความจริงที่หลุดจากภาพฝัน ทั้งแอนนาและเจค็อบต่างมีภาระหน้าที่และสิ่งบั่นทอนจากสภาพแวดล้อมรอบตัว ความรักแสนหวานได้ละลายหายไป ไม่มีอีกแล้วความรักอันบ้าคลั่งและคนที่พร้อมจะทิ้งทุกอย่างเพื่อกัน มีแต่ความจริงอันโหดร้ายที่น่าอึดอัด เพราะรักนั้นขมขื่นอย่างที่ไม่คิดว่ามันจะเป็น

Celeste and Jesse Forever (2012)

เลิกกันแล้วจะยังเป็นเพื่อนกันได้ไหม? คำถามที่ไม่มีทางตอบได้จนกว่าจะเจอเข้ากับตัว แต่แม้กระทั่งเจอแล้ว ในชีวิตคนๆ เดียวก็อาจพบได้กับคนที่เป็นเพื่อนและดีต่อกันได้ และในทางที่แย่ก็คงหนีหายหน่ายหน้าจากกันไป ดั่งประโยคที่ว่าถ้าไม่รักก็เกลียดกันไปเลย

Celeste and Jesse Forever ภาพยนตร์รักเรียบง่ายเคล้าความเจ็บปวด เรียกได้ทั้งรอยยิ้มและน้ำตา ส่วนที่ดีที่สุดและส่งเสริมให้ภาพยนตร์เป็นไปอย่างลงตัวคือเคมีที่เข้ากันของสองนักแสดง แอนดี้ แซมเบิร์ก และราชิด้า โจนส์ ซึ่งเรื่องนี้โจนส์เป็นผู้เขียนบทด้วย

เซเลส นักธุรกิจสาวอนาคตไกล หน้าที่การงานของเธอดูดีมีความก้าวหน้าผิดกับแฟนหนุ่ม เจสซี่ ศิลปินหนุ่มผู้ว่างงาน เขาใช้ชีวิตค่อนข้างยืดหยุ่นและไม่รีบร้อน หรือพูดง่ายๆ ว่าเป็นคนเรื่อยเปื่อย สบายๆ ทั้งสองคนคบกันมาตั้งแต่สมัยเรียน สุขสันต์หวานชื่นจนตกลงแต่งงาน แต่แล้วความต่างที่แทบจะคนละขั้ว ในด้านการงานและนิสัยเล็กๆ น้อยๆ ที่สั่งสมมาก็ทำให้ความรักชะงักลง เมื่อเซเลสเริ่มไม่พอใจกับความไม่เป็นโล้เป็นพายของเจสซี่ เธอต้องการความมั่นคงของชีวิต ความปลอดภัยของความรัก และความเชื่อมั่นของอนาคตที่ดี ซึ่งความรักของเจสซี่นั้นไม่เพียงพอจะเติมเต็มทั้งหมด

หลังจากหย่าร้างทั้งคู่ยังคงสถานะความเป็นเพื่อนเอาไว้ แต่ปัญหาเริ่มขึ้นเมื่อเจสซี่มีแฟนสาวคนใหม่ เซเลสที่คิดว่าตัวเองเด็ดขาดต่อความคิดและแข็งแกร่งพอจะเผชิญหน้ากับอนาคตตามลำพังได้นั้นก็เสียศูนย์ เธอพลาดท่าให้กับความเชื่อมั่นแบบผิดๆ ของตัวเอง และมันก็สายไปแล้วสำหรับการแก้ไข ทั้งๆ ที่รักกันมาก แต่กลับต้องปล่อยมือไปจากกัน

La La Land (2016)

La La Land กวาดทุกเสียงจากเทศกาลภาพยนตร์ และคว้าออสการ์ไปถึง 6 รางวัล ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับโดยเดเมียน ชาเซลล์ ผู้ที่เคยฝากผลงานอันลื่อลั่นมาแล้วก่อนหน้านี้จากภาพยนตร์เรื่อง Whiplash และเขายังบอกอีกว่าตัวเองเขียนบท La La Land ไว้ก่อน Whiplash เสียอีก

ภาพยนตร์รักมิวสิคัลร่วมสมัยที่หลายคนในฮอลลีวูดอาจจะเคยเมินหน้าหนี แต่เมื่อได้รับการสร้างและออกฉายกลับกวาดคำชมรวมถึงรายได้ไปมากมาย ซึ่งสองนักแสดงนำก็ไม่ใช่ใครอื่น นั่นก็คือไรอัน กอสลิ่งและเอ็มม่า สโตน ผู้เคยมีผลงานร่วมกันมาแล้วสองเรื่อง

ลอสแอนเจลิส มหานครแห่งความฝันที่ใครๆ ต่างก็มาตามล่าที่ทางของตัวเอง ไม่เว้นแม้แต่เซบาสเตียน นักเปียโนหนุ่ม ผู้หลงใหลในดนตรีแจ๊ซและอยากให้สิ่งนี้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้ง และอีกคน มีอา บาริสต้าสาวที่ฝันจะเป็นนักแสดงมืออาชีพอย่างแรงกล้า แม้จะแคสติ้งงานไม่ผ่านมาหลายสิบครั้ง

แล้วทั้งคู่ก็ได้มาพบกัน บนเส้นทางที่เต็มไปด้วยอุปสรรค แต่หัวใจนั้นไม่หวาดหวั่น สองคนที่คุยด้วยภาษาเดียวกันอย่างเข้าอกเข้าใจจึงตกหลุมรักกันอย่างไม่ใช่เรื่องยาก ซ้ำยังส่งเสริมและเป็นแรงใจให้แก่กันด้วย

แต่ความสำเร็จไม่ใช่สิ่งที่ได้มาง่ายๆ บทเรียนหนึ่งของชีวิตสำหรับบางคน คือสอนให้เราละทิ้งความฝัน เมื่อไม่เคยเข้าใกล้มันเลยก็ยากที่จะสู้ต่อไป แต่สำหรับคนที่ดึงดันจะเดินหน้าต่อไป ระหว่างทางของความฝันต้องแลกมาด้วยอะไรบ้าง

ระหว่างเซบาสเตียนและมีอา พวกเขาต้องแลกมาด้วยการไม่ได้เดินเคียงข้างกัน ฝันของฉันนั้นมีเธอ แต่ฝันของเธอมีฉันหรือเปล่า ความรักอาจยังคงอยู่ ขัดแย้งกับความสัมพันธ์ที่หล่นหาย และเมื่อเห็นใครคนหนึ่งเดินไปถึงจุดหมาย เราก็ได้แต่ยินดีอย่างร้าวราน

Café Society (2016)

วูดดี้ อัลเลน หนึ่งในผู้กำกับที่ผลิตผลงานอย่างต่อเนื่อง ในวัย 82 ปี ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดที่เข้าฉายไปเมื่อปีที่ผ่านมานับเป็นผลงานลำดับที่ 48 ของเขา ซึ่งไม่ใช่ตัวเลขที่น้อยเลย ผลงานอมตะของอัลเลนมีหลากหลายเรื่อง อาทิ Hannah and Her Sisters (1986), Annie Hal (1977), Manhattan (1977) และ Husbands and Wives (1992)

Café Society เป็นภาพยนตร์รักสามเศร้า ที่ให้ทั้งความอบอุ่นและหนักหน่วงในความทรงจำ แต่ถึงจะเป็นภาพจำที่เจ็บปวด ทว่ากลับงดงามเสมอเมื่อนึกถึง และแน่นอนเมื่อเป็นอัลเลนกำกับแล้ว ภาพยนตร์เรื่องนี้ย่อมเต็มไปด้วยบทสนทนาอันคมคาย บางถ้อยคำก็ตื้นเขินแต่แสบสัน จิกกัดแต่ถ่อมตน หวานเลี่ยนแต่กินใจ

ภาพยนตร์ย้อนไปในยุค ’30s ยุคทองของวงการฮอลลีวูด ม่านมายากำลังโบกสะบัดต้อนรับทุกคน บ็อบบี้ ชายหนุ่มผู้ต้องการจะเข้าไปทำงานในฮอลลีวูด ซึ่งตัวเขาโชคดีที่มีฟิล สเติร์น เป็นคุณอา เพราะฟิลนั้นกว้างขวางและเป็นที่นับถืออยู่ในวงการ บ็อบบี้จึงเดินทางจากบ้านเพื่อมาทำงานและเรียนรู้ประสบการณ์ชีวิต ฟิลมอบหมายให้วอนนี่ เลขาส่วนตัวของเขา  เป็นคนดูแลและแนะนำสิ่งต่างๆ แก่บ็อบบี้

เมื่อพบวอนนี่ บ็อบบี้แทบจะตกหลุมรักเธอตั้งแต่ครั้งแรกที่เห็น โดยที่ไม่รู้เลยว่าวอนนี่กับฟิลมีความสัมพันธ์ลับๆ กันอยู่ แต่วอนนี่เองก็มีใจให้กับบ็อบบี้เช่นกัน ดังนั้นเรื่องราวมันจึงปั่นป่วนหัวใจอยู่สักหน่อย

หากมองอย่างผิวเผิน นี่ก็คงเป็นแค่ภาพยนตร์รัก แต่มันยังมีประเด็นเรื่องของชนชั้น และการจิกกัดชนชั้นกลางอย่างที่อัลเลนมักจะทำ ถึงแม้จะไม่ได้มากมายนัก แน่นอนว่าตอนจบจะต้องมีใครบางคนชอกช้ำและผิดหวัง แต่นี่ก็เป็นแง่งามหนึ่งของความรัก ที่ภาพยนตร์มุ่งสำรวจความสัมพันธ์แบบเต็มกำลัง

Tags: , , ,