Pixar ก่อตั้งขึ้นในปี 1979 ซึ่งแต่เดิมนั้นมีความเป็นมาในฐานะแผนกคอมพิวเตอร์ของบริษัทลูคัสฟิล์ม เพื่อพัฒนางานด้านแอนิเมชันให้ดียิ่งๆ ขึ้นในอุตสาหกรรมภาพยนตร์ ถัดมาอีกไม่นานในปี 1986 สตีฟ จ็อบส์ ก็เข้ามาซื้อค่ายพิกซาร์ เขาทุ่มเงินและเวลาเพื่อปลุกปั้นความสำเร็จ โดยมีอีกสองคนสำคัญร่วมด้วยนั่นคือ จอห์น เลสเซ็ตเตอร์ และเอ็ด แคตมัลล์ ทุกอย่างดำเนินไปด้วยน้ำพักน้ำแรงของทุกคนและผลตอบรับก็เป็นอย่างที่เราเห็นในปัจจุบัน
พิกซาร์จริงจังและทำการศึกษาอย่างลงลึกในทุกๆ รายละเอียดที่จะเล่า เพราะสิ่งเหล่านั้นเองก็สำคัญไปไม่แพ้กว่างานด้านภาพ บทแอนิเมชันเรื่องหนึ่งจึงใช้เวลานานในการพัฒนา เรื่องราวทั้งหมดที่เราได้เห็นจึงรายล้อมไปด้วยสิ่งต่างๆ มากมาย ไม่น่าแปลกใจเลยที่แอนิเมชันของพิกซาร์จะสร้างความสุขให้เราเสมอ แม้ว่าบ่อยครั้งมันจะแฝงไปด้วยความเศร้าก็ตามที
Finding Nemo (2003)
ชีวิตคือการผจญภัย และการผจญภัยจะทำให้เรามองเห็นชีวิต Finding Nemo คือภาพยนตร์ที่จะพาเราไปสำรวจท้องทะเลที่มากกว่าการแค่ท่องไปตามกระแสน้ำ
นีโมปรากฎตัวครั้งแรกในฐานะตุ๊กตาของเล่นบนโซฟาในห้องของบู ตัวละครจากเรื่อง Monsters, Inc. (2001) ก่อนที่จะออกมาโลดแล่นในปี 2003 และประสบความสำเร็จไปอย่างถล่มทลายด้วยรายได้ 940 ล้านเหรียญ รวมทั้งยังถูกบันทึกไว้ว่าเป็นดีวีดีที่ขายดีที่สุดเรื่องหนึ่ง โดยขายได้กว่า 40 ล้านแผ่น
Finding Nemo เริ่มต้นด้วยการพาเราไปรู้จักชีวิตอันพลิกผันของตัวละครหลัก มาร์ลิน ปลาการ์ตูนพ่อม่ายที่สูญเสียภรรยาและลูกๆ ไปเกือบทั้งหมดจากการโจมตีของปลาบาร์ราคูด้า นีโมเป็นลูกเพียงคนเดียวที่เหลือรอดมาได้ แต่เขาก็เติบโตมาในสภาพที่ไม่สมบูรณ์นัก เพราะมีครีบที่ไม่เท่ากัน มาร์ลินเลี้ยงดูลูกด้วยตัวคนเดียว โดยการเฝ้าระวังทุกสิ่งอย่าง ซึ่งในบางครั้งก็วิตกกังวลจนเกินไป
เช้าวันแรกของการเปิดเทอม มาร์ลินเฝ้าตามติดนีโมด้วยความเป็นห่วง แล้วมันก็นำมาซึ่งเหตุการณ์อันบานปลาย นีโมฉุนเฉียวพ่อจึงว่ายซนไปตามแนวหิน เรื่องไม่คาดคิดเกิดขึ้นตอนนั้นเอง เมื่อนักดำน้ำจับตัวนีโมไป มาร์ลินต้องหัวใจสลายอีกครั้ง นีโมเป็นทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเหลืออยู่ แม้ว่าการตามหาลูกชายจะดูเป็นสิ่งที่แทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่เขาก็ออกตามหานีโม โดยมีเพื่อนร่วมทางเป็นดอรี่ขี้ลืม ขณะเดียวกันนีโมก็พยายามทุกวิถีทางเพื่อจะกลับบ้าน ไม่รู้ว่าพวกเขาทั้งหมดจะได้หวนกลับบ้านหรือไม่ เพราะการเดินทางในคราวนี้ช่างยาวไกลและเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ต่อให้ต้องใช้เรี่ยวแรงทั้งหมดที่มีพวกเขาก็จะทำ
แม้ว่าจะเป็นแอนิเมชันที่เหมือนสร้างมาเพื่อเด็กๆ แต่เมื่อหยิบมาชมอีกครั้งตอนโต เราก็จะพบรายละเอียดที่เต็มไปด้วยเรื่องราวทางสังคม ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งแยกชนชั้น การตัดสินคนจากภายนอก การปล่อยวาง และการทำงานเป็นทีม การเติบโตของตัวละครจะทำให้เราเห็นว่าชีวิตต้องหกล้มบ้าง จะน้อยครั้งหรือมากครั้งก็ตามแต่ สิ่งสำคัญคือการเรียนรู้ ปรับตัว และแก้ไข มองให้เห็นจุดผิดพลาดของตัวเองแล้วก้าวต่อไป อย่าให้คำพูดใครมาทำลายคุณได้ก็พอ
Up (2009)
คุณเคยคิดไหมว่าชีวิตในบั้นปลายของตัวเองจะเป็นแบบไหน คุณจะแก่เฒ่าไปด้วยการมีลูกหลานห้อมล้อมหรือเฒ่าชราไปอย่างเดียวดายและทำได้เพียงคิดถึงใครบางคน
Up เป็นแอนิเมชันเรื่องแรกของพิกซาร์ที่นำเสนอในระบบ Disney Digital 3-D และเป็นภาพยนตร์สามมิติเรื่องแรกที่เคยเปิดเทศกาลภาพยนตร์เมืองคานส์ เมื่อฉายจบผู้ชมเทศกาลตกอยู่ในความเงียบงัน และคนแรกที่ทำลายความเงียบด้วยการปรบมือคือทิลด้า สวินตัน
ก่อนที่ภาพยนตร์จะออกฉายทั่วโลก พิกซาร์ได้รับรู้สถานการณ์ของโคลบี เคอร์ติน เด็กหญิงวัย 10 ขวบที่ทุกข์ทรมานจากโรคมะเร็งและป่วยเกินกว่าจะไปโรงภาพยนตร์ได้ แต่เธออยากชมภาพยนตร์เรื่องใหม่ของพิกซาร์ ดังนั้น พนักงานของพิกซาร์จึงเดินทางไปหาเธอพร้อมกับดีวีดีเรื่องนี้และฉายให้เธอดู หลังภาพยนตร์จบลงโคลบีเสียชีวิตในอีกเจ็ดชั่วโมงต่อมา
เรื่องราวเริ่มต้นด้วยความน่ารัก เด็กสองคนชื่อคาร์ลและเอลลีพบกัน พวกเขาต่างชอบการผจญภัยด้วยกันทั้งคู่ นับจากนั้นทั้งสองจึงเริ่มแบ่งปันความฝันของตนแก่ซึ่งกันและกัน เด็กหญิงที่คาร์ลพบในวันนั้นคือเพื่อนและภรรยาที่แสนดี เขาสัญญาว่าในอนาคตจะพาเธอไปที่ธารแห่งสวรรค์
เวลาผันผ่านไปเรื่อยๆ สิ่งที่น่าผิดหวังคือพวกเขาไม่สามารถมีลูกด้วยกันได้ การเยียวยาจากเรื่องนั้นจึงเป็นการเก็บเงินไว้สำหรับเดินทางตามความฝัน แต่สัญญานั้นไม่เคยเกิดขึ้นจริง เอลลีเป็นฝ่ายที่จากไปเสียก่อน คาร์ลต้องใช้ชีวิตต่อไปเพียงลำพังกับบ้านที่เต็มไปด้วยอดีตอันหวานเศร้า จนมาถึงปัจจุบัน เขาก็ยังคงอยู่บ้านหลังเดิมในวัยที่แก่ขึ้นมาก แต่ในที่สุดเขาก็กำลังจะทำตามความฝันเสียที คาร์ลผูกลูกโป่งนับพันเข้ากับบ้านเพื่อโบยบินไปสู่ผืนป่าอเมริกาใต้ ขณะที่กำลังหัวใจพองโต เขากลับพบว่า รัสเซล ลูกเสือนักสำรวจวัย 8 ขวบดันมากับเขาด้วย เด็กชายผู้มองโลกในแง่ดีคนนี้จึงกลายมาเป็นเพื่อนร่วมทางต่างวัย ในดินแดนอันแปลกใหม่นี้จะสร้างสรรค์ทุกความรู้สึกให้กับทั้งคู่ และเราจะได้รับรอยยิ้มทั้งน้ำตาขณะเฝ้ามอง
Toy Story 3 (2010)
มันจะมีภาพยนตร์สักกี่เรื่องที่ทำให้เราได้เติบโตไปพร้อมๆ กับตัวละครในแต่ละกาลเวลาของชีวิตจริงๆ จากวัยเยาว์ล่วงไปจนถึงการเป็นผู้ใหญ่ TOY STORY เรียกได้ว่าเป็นหนึ่งในภาพยนตร์เหล่านั้น จุดเริ่มต้นของเรื่องราวเริ่มต้นในปี 1995, 1999, 2010 และล่าสุดในปี 2019
เราคาดเดาไปว่าของเล่นเหล่านี้จะปิดฉากตัวเองลงในปี 2010 เราเสียน้ำตาไปมากมายในวันนั้น วันที่พวกเขาถูกผละจากอ้อมกอดที่คุ้นเคยไปสู่การมีชีวิตใหม่ และยังเป็นของเล่นที่มีคุณค่าเมื่อได้ถูกเล่น
TOY STORY 3 ใช้เวลากว่าสองปีครึ่งในการสร้างสรรค์เรื่องราว แล้วมันก็กลายเป็นภาพยนตร์แอนิเมชันเรื่องแรกที่สร้างรายได้ 1,000 ล้านเหรียญที่บ็อกซ์ออฟฟิศทั่วโลก และทำรายได้สูงสุดในปี 2010
TOY STORY มีเรื่องหลักเกี่ยวข้องกับแก๊งของเล่นของแอนดี้ เด็กชายผู้รักการเล่นของเล่น รวมถึงรักของเล่นทุกๆ ตัวที่ได้มา แต่การเล่นของเล่นก็มีสีสันในช่วงวัยหนึ่งเท่านั้น เมื่อเติบโตพวกมันก็เป็นแค่ของที่จะอยู่ในลังหรือไม่ก็ขยะเท่านั้น และใน TOY STORY 3 ก็เล่าถึงเวลานั้นๆ
ถึงเวลาแล้วที่แอนดี้จะไปเรียนต่อมหาวิทยาลัย เขาต้องตัดสินใจว่าจะเอาอย่างไรกับของเล่นที่อยู่ในกล่องสมบัติเก่าเก็บ ของเล่นที่เขาแทบไม่ได้หยิบจับมันอีกแล้ว แอนดี้ตัดสินใจจะพาวูดดี้ไปด้วย ส่วนตัวอื่นๆ จะถูกเก็บไว้ที่ห้องใต้หลังคา แต่เหตุการณ์กลับไม่เป็นแบบนั้น เพราะแม่บังเอิญหยิบถุงนั้นไปที่บริเวณขยะหน้าบ้าน ทั้งหมดเข้าใจว่าตัวเองถูกทิ้งและตัดสินใจจะไปสถานรับเลี้ยงเด็ก อย่างน้อยที่นั่นพวกเขาจะถูกเล่นอีกครั้งหนึ่ง เมื่อวูดดี้พยายามอธิบายความจริงก็ไม่มีใครเชื่อ
ภาพแรกที่พวกเขาเห็นคือสถานรับเลี้ยงเด็กที่สดใสสวยงาม เด็กๆ ทุกคนมีความสุขกับการเล่นของเล่น นี่แหละสิ่งที่พวกเขาต้องการ เจ้าหมีล็อตโซ่คือผู้คุมที่นี่ เขาต้อนรับของเล่นอย่างเต็มไปด้วยมิตรไมตรี แต่แล้วด้านมืดที่ถูกซ่อนไว้ก็ถูกเปิดเผย เพราะล็อตโซ่ไม่ได้จิตใจดีอย่างที่คิด ทั้งหมดเข้าใจแล้วว่าวูดดี้พูดถูกและพยายามทุกวิถีทางที่จะออกไปจากสถานที่แห่งนี้ เพื่อร่ำลาและขอบคุณแอนดี้ที่ดูแลเหล่าของเล่นตลอดมา
หลายคนอาจจำไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเรามีของเล่นชิ้นไหนบ้างตอนเด็กๆ เราจัดการกับพวกเขาอย่างไรในขณะที่ไม่เหลียวแลพวกมันแล้ว โดยส่วนใหญ่ของเล่นคงถูกทิ้งไป เข้าสู่เตาหลอม และจางหายไปจากความทรงจำ TOY STORY จึงพาเรากลับไปในวัยเด็กอีกครั้ง ระลึกถึงความสุขที่เคยมี ยามได้ของเล่นมาใหม่ๆ ยามได้พกมันไปไหนมาไหน ยามได้เล่นกับเด็กคนอื่นๆ ยามได้ร้องไห้เพราะมันผุพัง ยามนี้เราได้คิดถึงส่วนหนึ่งของชีวิตวัยเยาว์
Inside Out (2015)
ภาพยนตร์ Inside Out เป็นการดัดแปลง ‘อารมณ์’ ให้กลายมาเป็นตัวละครที่ทำให้ผู้ชมเห็นการทำงานของมันได้อย่างเข้าถึงง่าย ผู้กำกับ พีท ด็อกเตอร์ เริ่มพัฒนา Inside Out ตั้งแต่ปี 2010 หลังจากสังเกตการเปลี่ยนแปลงบุคลิกภาพของลูกสาวเมื่อเธอโตขึ้น แล้วในขั้นตอนของการพัฒนาตัวละครเขาก็ได้นักจิตวิทยาที่ค้นคว้าเรื่องของอารมณ์มาเป็นผู้ให้คำปรึกษาด้วย เนื้อหาที่ออกมาจึงกลายเป็นสิ่งที่เด็กดูสนุก และผู้ใหญ่ดูก็เข้าใจถึงภาวะอารมณ์ต่างๆ ของตัวเอง
ไรลีย์ แอนเดอร์สัน เด็กหญิงที่เติบโตมากับครอบครัวแสนอบอุ่น เธอมีช่วงเวลาดีๆ มากมายในชีวิต ประกอบกับช่วงเวลาร้ายๆ ที่เข้ามากล้ำกรายอยู่บ้าง อารมณ์ของเธอไม่ค่อยซับซ้อนเท่าไร สุขก็หัวเราะ เศร้าก็ร้องไห้ แต่หลักๆ แล้วภายในจิตใจของไรลีย์จะมีตัวอารมณ์อยู่ 5 ตัว ได้แก่ จอย-ความสุข, แซดเนส-ความเศร้า, แองกรี้-ความเกรี้ยวกราด, ดิสกัต-ความรังเกียจ และเฟียร์-ความกลัว จอยคล้ายเป็นหัวหน้าทีมที่คอยดูแลอารมณ์ของไรลีย์ แต่แล้วเมื่อเข้าสู่ช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ไรลีย์ต้องย้ายมาสู่บ้านหลังใหม่ อารมณ์ของเธอจึงค่อนข้างแปรปรวน ประจวบกับที่จอยและแซดเนสโดนดูดเข้าไปในท่อส่งความทรงจำ ทั้งสองหลงเข้าไปยังสถานที่เก็บความทรงจำ และหากไม่สามารถกลับมายังศูนย์บัญชาการได้ ไรลีย์ก็จะได้รับผลกระทบอย่างใหญ่หลวง
ภาพยนตร์ยังจำลองกระบวนการต่างๆ ของความทรงจำให้เราเห็นอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนในจินตนาการ ความฝัน จิตใต้สำนึก ภายในทำงานอย่างไร ภายนอกแสดงออกแบบไหน การจดจำและการลืมเลือนมีผลกับเราแค่ไหน อารมณ์ทุกอารมณ์สำคัญกับเราอย่างไร Inside Out จะบอกเล่าสิ่งเหล่านี้อย่างแยบยลจนเราไม่สามารถละสายตาไปไหนได้เลย
เนื้อแท้ของมันจึงเป็นภาพยนตร์จิตวิทยาที่กางทุกอย่างออกมาให้เราดูได้อย่างเป็นรูปธรรม มีทั้งเสียหัวเราะและหยดน้ำตา รวมถึงความเข้าใจที่เพิ่มมากขึ้นเกี่ยวกับตัวเอง
Coco (2017)
Coco มีแนวคิดหลักของเรื่องมาจากเทศกาลแห่งความตาย (Day of the Dead) ของชาวเม็กซิกัน เทศกาลเก่าแก่นี้จะจัดขึ้นในช่วงวัยที่ 31 ตุลาคม ถึง 2 พฤศจิกายนของทุกปี โดยมีความเชื่อว่าคนตายจะกลับมายังโลกเดิมอีกครั้ง
นอกจากบรรดาตัวละครหลักที่จะมาสร้างความประทับใจให้แล้ว บรรดานักแสดงหรือผู้มีชื่อเสียงชาวเม็กซิกันหลายคนที่ล่วงลับไปแล้วก็ยังมาปรากฎตัวในเรื่องด้วย เพื่อเป็นการแสดงความเคารพ อาทิ ซานโต้ นักมวยปล้ำ, ฟรีดา คาห์โล จิตรกร, เอมิลิอาโน ซาปาตา หนึ่งในผู้นำการปฏิวัติในช่วงปฏิวัติเม็กซิกัน และนักร้องนักแสดงอีกมายมาย ภาพยนตร์สามารถทำรายได้มากกว่า 150 ล้านเหรียญทั่วโลกในเวลาเพียง 5 วัน
มิเกล เด็กชายชาวเม็กซิโกวัย 12 ปีที่รักในเสียงเพลงและใฝ่ฝันอยากจะเป็นนักดนตรี แต่เขาก็มีอุปสรรคอันใหญ่หลวงที่ไม่รู้ว่าจะก้าวข้ามไปได้หรือไม่ เนื่องมาจากครอบครัวเขาถูกห้ามไม่ให้ข้องแวะกับดนตรีมาหลายรุ่นหลายสมัย มิเกลอยากจะเดินตามไอดอลในดวงใจอย่างเออเนสโต เดอ ลา ครูซ แล้วในระหว่างที่เขาพยายามหาทางพิสูจน์ตัวเองอยู่นั้น มิเกลดันหลงเข้าไปสู่ดินแดนของคนตายในช่วงที่เทศกาลแห่งความตายกำลังเริ่มต้น
มิเกลได้พบกับบรรพบุรุษที่ล้มหายตายจากไปแล้ว และมีคนที่ช่วยพาเขากลับไปยังโลกมนุษย์ได้ด้วย โดยมีข้อแม้ว่าจะต้องเลิกเล่นดนตรีไปตลอดชีวิต แน่อนว่าเด็กชายอย่างมิเกลคงไม่ยอมง่ายๆ เขาหนีไปจากเหล่าวิญญาณบรรพบุรุษ เพื่อตามหาวิญญาณไอดอลและพิสูจน์ตัวเองให้ได้ ไม่ว่าคนตายหรือคนเป็นก็ต้องยอมรับ ซึ่งมันจะเป็นไปไม่ได้เลย หากเขาไม่ได้รับความช่วยเหลือจากวิญญาณไร้ญาติอย่าง เฮคเตอร์!
นอกเหนือไปจากเรื่องความฝันและครอบครัว สิ่งที่ทำให้ Coco พิเศษกว่าแอนิเมชันเรื่องอื่นก็คงเป็นการนำเสนอวัฒนธรรมของประเทศอื่นบนโลก แล้วนำมาผูกกับเรื่องเล่าได้อย่างลงตัว เพิ่มสีสันด้วยดนตรีประกอบเพราะๆ ความซาบซึ้งกินใจตามแบบฉบับ และความเชื่อมโยงที่สามารถเชื่อมต่อกับทุกๆ ชีวิตได้ ไม่น่าแปลกใจที่แม้แต่ประเทศจีน ซึ่งขึ้นชื่อเรื่องกองเซ็นเซอร์ที่เข้มงวดยังให้ Coco ผ่านเข้าไปฉายได้ แม้ว่าจะถูกเซ็นเซอร์เนื้อหาในบางจุดก็ตาม
Tags: Finding Nemo, Inside Out, Toy Story 3, animation, Pixar, Up, Coco