ชีวิตนั้นระคนไปด้วยความสุขกับความเศร้า บางเวลาความสุขก็อยู่กับเรานาน แต่บางเวลาความเศร้าก็แวะมาพักด้วยเหมือนช่วงวันหยุดยาว แต่ทั้งสองสิ่งนั้นดูจะค่อยๆ เรียบง่ายขึ้นเมื่อเราเติบโต

ความสุขอาจมาในรูปแบบของการอ่านหนังสือ การช้อปปิ้ง การได้ออกไปเดินเล่น การเห็นพระอาทิตย์ตกดิน หรือการได้กินของอร่อยๆ เฉกเช่นเดียวกับความเศร้าที่รายล้อมตัวเราพอๆ กับความสุข เพียงแค่การมองนกโผบิน การฟังเพลง การเห็นจราจรที่แน่นขนัด หรือการเห็นแสงไฟยามกลางคืน ความรู้สึกต่างๆ ประดังเข้ามาจนบางทีหัวใจเราก็เหนื่อยอ่อน เราจึงมักมองหาความสงบเพื่อหลบซ่อนตัวสักพัก เผื่อว่าพรุ่งนี้เราจะตื่นมาใช้ชีวิตต่ออย่างไม่ยากเย็นจนเกินไป

ถ้าคุณมองหาอะไรที่ง่ายๆ เพื่อชะโลมหัวใจ เราอยากแนะนำภาพยนตร์เหล่านี้ให้คุณ การได้ปล่อยตัวปล่อยใจไปกับความเศร้าเสียบ้าง บางทีคุณก็อาจได้ความสุขกลับคืนมา ขอให้มีความสุขกับภาพยนตร์และมีแรงกับการใช้ชีวิตต่อๆ ไป

Dead Poets Society (1989)

ภาพยนตร์อเมริกันเรื่องนี้ยังคงได้รับการกล่าวถึง และได้รับคำชื่นชมอยู่ไม่เสื่อมคลาย แม้ว่าผ่านมานานกว่า 30 ปีแล้วก็ตาม ผลงานเรื่องนี้กำกับโดยปีเตอร์ เวียร์ และเขียนบทโดยทอม ชูลแมน บทภาพยนตร์นั้นอิงมาจากประสบการณ์จริงของทอมตอนที่ยังเรียนอยู่ที่มอนต์โกรีเบลล์ และตัวละครคีตติ้ง ก็มีแรงบันดาลใจมาจากคนหลายๆ คนที่แวดล้อมเขาอยู่ในเวลานั้น ทั้งครูสอนภาษาอังกฤษ พ่อผู้ชอบอ่านบทกวี และการได้ฟังเล็กเชอร์ของผู้กำกับละครเวที

Dead Poets Society เล่าเรื่องชีวิตของนักเรียนในวิทยาลัยเวลตัน โรงเรียนชายล้วนที่มีชื่อเสียง ที่นี่นักเรียนทุกคนต้องเรียนอย่างหนัก ทุกอย่างอยู่ในกรอบของความเข้มงวด และอยู่ภายใต้แนวคิดแบบอนุรักษนิยม แต่เมื่อพวกเขาเข้าชั้นเรียนภาษาอังกฤษ ทั้งหมดก็ได้พบกับครูคีตติ้ง ผู้ที่มีรูปแบบการสอนแตกต่างจากคนอื่นๆ

เขาปลุกเด็กๆ จากค่านิยมเก่าๆ พยายามให้คิดนอกกรอบ และเรียนรู้ความต้องการของตัวเองให้ได้มากที่สุด

ชั้นเรียนของครูคีตติ้งกลับกลายเป็นบทเรียนที่มีความหมายต่อพวกเขา คีตติ้งเข้าถึงจิตใจของนักเรียน ลดช่องว่างระหว่างครูกับนักเรียนออกไป และเปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้แสดงออก เปิดมุมองต่อโลกกว้าง ที่สำคัญคือไม่ครอบงำความคิดของใคร นักเรียนแต่ละคนต่างเติบโตขึ้น คีตติ้งได้เพาะเมล็ดนั้นลงไปในหัวใจพวกเขา สอนวิธีรดน้ำ พรวนดินให้ชีวิตตัวเอง แม้ว่าต้นไม้บางต้นนั้นจะตายลง เพราะด้ามขวานของใครบางคน แต่ต้นไม้ต้นอื่นๆ จะยังเจริญและงอกงามต่อไป

ภาพยนตร์ให้ข้อคิดและแรงบันดาลใจในหลายๆ แง่ หากหยิบมาดูในเวลานี้ก็ยังคงร่วมสมัยอยู่ เพราะการปกครองของวิทยาลัยเวลตันนั้นก็ไม่ต่างจากการปกครองสังคม บ่อยครั้งพวกเขาชี้ให้เราเห็นแต่เพียงสิ่งเดียว ไม่ให้พูด ไม่ให้ถาม หรือแสดงความคิดเห็น เมื่อมีใครสักคนลุกขึ้นมาตั้งคำถาม คนๆ นั้นก็จะกลายเป็นคนแปลกแยก และที่ร้ายแรงที่สุดก็คือถูกกำจัดออกไป

แต่ Dead Poets Society ไม่ได้หดหู่อย่างที่คิด น้ำตาที่เราอาจเสียให้กับภาพยนตรเรื่องนี้ ไม่ใช่น้ำตาแห่งความผิดหวัง แต่เป็นน้ำตาแห่งความหวังต่างหากเล่า

Forrest Gump (1994)

Forrest Gump ภาพยนตร์ดรามาคอเมดี้ที่สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกัน กำกับโดยโรเบิร์ต เซเม็กคิส และแสดงนำโดยทอม แฮงค์ ในปีที่ภาพยนตร์เข้าฉายนั้น ภาพยนตร์ประสบความสำเร็จอย่างมากในบ็อกซ์ออฟฟิศ กวาดรายได้ไปถึง 677 ล้านเหรียญ และคว้ารางวัลออสการ์มาได้ 6 รางวัล

Forrest Gump ยังคงเป็นภาพยนตร์ที่ครองใจผู้ชมมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะด้วยเนื้อหา เพลงประกอบ องค์ประกอบภาพ หรือการแสดงของทอม แฮงค์ ที่มัดใจคนดูไว้ได้อยู่หมัด

ในปี 1981 ฟอร์เรสต์ กัมพ์ ในชุดสูทสีครีมนั่งอยู่บนม้านั่งกับคนแปลกหน้า แล้วเขาก็เริ่มพูดบางอย่างกับเธอ พร้อมๆ กันนั้นเขาก็พาผู้ชมอย่างเราย้อนกลับไปหาฟอร์เรสต์ กัมพ์ ในวันวาน เขาคือเด็กชายที่เกิดในดินแดนอลาบาม่า กำพร้าพ่อ และถูกเลี้ยงดูโดยแม่มาตั้งแต่เด็ก ฟอร์เรสต์ กัมพ์ เป็นเด็กที่มีไอคิวไม่ถึง 80 พัฒนาการช้ากว่าเด็กคนอื่นๆ และต้องสวมเครื่องช่วยดามขาเพื่อให้เดินด้วยตัวเองได้ ด้วยความแตกต่างนี้เขาจึงถูกรังแกอยู่บ่อยครั้ง แต่ด้วยความที่พื้นฐาน ฟอร์เรสต์ กัมพ์ เป็นเด็กที่จิตใจใสซื่อและมองโลกในแง่ดี เขาจึงก้าวผ่านความบกพร่องทางร่างกายไปได้

ฟอร์เรสต์ กัมพ์ ลงมือทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ประสบความสำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ ซ้ำยังอดทนอย่างที่เราไม่อาจคาดคิด เขาออก “วิ่ง” อยู่ตลอดเวลา จากจุดหนึ่งไปสู่จุดหนึ่ง ชีวิตเต็มไปด้วยเรื่องราวและพบผู้คนมากมาย ประสบการณ์ทั้งหลายนี้จะช่วยเยียวยาตัวเขาและตัวผู้ชมได้อย่างน่ามหัศจรรย์

ตราบใดที่ยังไม่ลงมือทำบางอย่างตามที่ใจต้องการ เราก็ไม่สามารถรู้ได้หรอกว่าชีวิตนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้าง เราจะประสบความสำเร็จอย่างที่หวังไว้ หรือจะล้มลุกคลุกคลานจนหมดแรงหรือเปล่า ความล้มเหลวเป็นสิ่งเลวร้ายที่เราหวาดกลัว แต่การเรียนรู้ไปกับสิ่งที่เกิดขึ้นต่างหากที่จะทำให้เราเติบโต อย่ามัวเฝ้าบอกตัวเองว่าทำไม่ได้ แล้วจง “วิ่ง” ไปข้างหน้าเสีย วิ่งอย่างสุดฝีเท้าอย่างที่ฟอร์เรสต์ กัมพ์ทำ

Good Will Hunting (1997)

ภาพยนตร์อเมริกันดราม่าเรื่องนี้กำกับโดย กัส แวน แซงต์ เขียนบทโดยสองนักแสดงที่เราต่างคุ้นหน้ากันเป็นอย่างดี ได้แก่ แม็ตต์ เดม่อน และเบน แอฟเฟล็ก ทุนสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้อยู่ที่ 10 ล้านเหรียญ แต่ทำรายได้ไปมากถึง 225 ล้านเหรียญ สามารถคว้ารางวัลออสการ์มาได้ 2 รางวัล ได้แก่ รางวัลสาขาบทภาพยนตร์ดั้งเดิมยอดเยี่ยม และรางวัลสาขานักแสดงสมทบชายยอดเยี่ยม ที่มอบให้แก่การแสดงของโรบิน วิลเลียมส์

วิลล์ ฮันติ้ง ทำงานเป็นภารโรงอยู่ที่สถาบัน MIT แต่เขาเป็นชายหนุ่มที่มีความสามารถมากกว่าการทำงานเป็นภารโรง เรียกได้ว่าเป็นอัจฉริยะทางคณิตศาสตร์ สามารถแก้โจทย์ยากๆ ได้อย่างถูกต้อง และมันก็เป็นโจทย์ที่แลมเบอร์ โปรเฟสเซอร์ทางด้านคณิตศาสตร์คิดว่าไม่น่าจะมีนักเรียนคนไหนทำได้

วิลล์เติบโตมาในครอบครัวแตกแยก พบการใช้ความรุนแรงจนเป็นเรื่องปกติ นั่นจึงส่งผลให้เขาเป็นคนก้าวร้าว เข้ากับสังคมไม่ค่อยได้ และใช้ความรุนแรงเป็นทางออกอย่างหนึ่ง แน่นอนว่าบ่อยครั้งเขาก็พบจุดจบโดยการถูกจับกุม

จนเมื่อแลมเบอร์พยายามหาตัวคนที่แก้โจทย์คณิตศาสตร์ของเขาได้ วิลล์จึงได้พบทางออกของชีวิต แลมเบอร์ยื่นคำร้องต่อศาลให้วิลล์มาอยู่ในความรับผิดชอบของเขา เพื่อหวังว่าจะปลุกปั้นให้วิลล์กลายเป็นคนใหม่ จากนั้นวิลล์จึงได้รับการเข้ารักษากับจิตแพทย์ แต่มันก็ไม่ได้เป็นไปได้ด้วยดี เพราะวิลล์ปิดกั้นตัวเอง และพยายามจะเอาชนะจิตแพทย์ทุกคนที่เข้ารักษาด้วย จนแลมเบอร์ต้องพาไปพบฌอน เพื่อนเก่าของเขา ผู้เป็นจิตแพทย์ ทั้งคู่สู้รบปรบมือกันด้วยคำพูด แต่ท้ายที่สุดทุกอย่างก็ดูจะค่อยๆ ราบรื่นขึ้น

วินาทีที่เขามีความสุขมากที่สุดคือการเป็นอิสระจากอดีต และพร้อมที่จะทำตามสิ่งที่หัวใจเรียกร้อง

นอกจากภาพยนตร์จะสะท้อนให้เห็นปัญหาความรุนแรงในสังคมที่ส่งผลต่อจิตใจผู้คนแล้ว มันก็ยังสะท้อนให้เห็นการทำงานของนักจิตบำบัดด้วย สิ่งต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชั่วโมงแห่งการรักษานั้นช่วยเยียวยาให้หัวใจดวงหนึ่งกลับมามีชีวิตชีวาอย่างที่มันควรจะเป็น และไม่จ่อมจมอยู่กับความเจ็บปวดอีกต่อไป

I Am Sam (2001)

I Am Sam ภาพยนตร์ที่เรียกน้ำตาคนมาแล้วทั่วโลก เขียนบทและกำกับโดยเจสซี่ เนลสัน สองนักแสดงนำในเรื่องนี้คือ ฌอน เพนน์ และดาโกต้า แฟนนิ่ง ถือเป็นภาพยนตร์ที่เปิดตัวการแสดงของดาโกต้าอย่างเป็นทางการ และส่งผลให้เธอกลายเป็นนักแสดงหญิงอายุน้อยที่สุดมราได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัล Screen Actors Guild

ชื่อตัวละครที่ดาโกต้าแสดงมีชื่อว่า ลูซี่ ซึ่งมาจากเพลง ‘Lucy in the Sky with Diamonds’ ของ The Beatles ส่วนตัวละครของมิเชลล์ ไฟฟ์เฟอร์ นั้นชื่อริต้า แฮร์ริสัน มาจากเพลง ‘Lovely Rita’ นามสกุลแฮร์ริสัน มาจากนามสกุลของจอร์จ สมาชิกวง The Beatles และชื่อภาพยนตร์มีที่มาจากบรรทัดเปิด “I Sam / Sam I am” ของหนังสือ Green Eggs and Ham ที่ตัวละครอ่านในภาพยนตร์

แซม ดอว์ซัน ชายหนุ่มที่มีอาการออทิสติกและมีไอคิวเท่ากับเด็กอายุ 7 ขวบ ทำงานเป็นพนักงานเสิร์ฟร้านกาแฟสตาร์บัคส์ มีลูกกับหญิงสาวคนหนึ่งที่ทิ้งเขาไว้กับลูกสาวแสนน่ารักที่ชื่อว่า ลูซี่ เขาทะนุถนอมลูกสาวและมีความรักอันเปี่ยมล้นให้เธออยู่เสมอ

เมื่อลูซี่อายุครบ 7 ขวบ พัฒนาการของเธอก็ก้าวหน้าไปกว่าแซม แต่ตอนนี้นักสังคมสงเคราะห์ก็ยื่นมือเข้ามาในชีวิตของพวกเขาแล้ว และเธอก็ถูกพรากไปจากอ้อมอก โดยที่ตัวเขาเองก็ยังไม่เข้าใจว่าทำไม

ริต้า ทนายสาวได้ต่อสู้กับกระบวนการยุติธรรมเพื่อให้ลูซี่กลับมาอยู่ในความดูแลของแซม ภายนอกนั้น ริต้าอาจจะเป็นผู้หญิงที่เก่งกาจ แต่ลึกๆ แล้วเธอก็มีปัญหาเรื่องการเลี้ยงดูลูกไม่ต่างกัน การได้เข้ามาช่วยเหลือแซมจึงทำให้เธอเห็นข้อบกพร่องของตนเอง และถึงที่สุดแล้วริต้าก็พยายามช่วยเหลือแซมจากใจจริง เพื่อให้เขาและลูซี่ได้กลับมาอยู่ด้วยกัน

The Boy in the Striped Pajamas (2008)

The Boy in the Striped Pyjamas ภาพยนตร์ที่เขียนบทและกำกับโดยมาร์ค เฮอร์แมน ดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของนักเขียนชาวไอริชนาม จอห์น บอยน์ ฉบับหนังสือได้รับการแปลแล้วกว่า 46 ภาษา และผู้เขียนเปิดเผยว่าเขาใช้เวลาเขียนร่างแรกของเนื้อหาเพียงสองวันครึ่งเท่านั้น มันประสบความสำเร็จอย่างมากเมื่อวางขาย โดยในปี 2010 หนังสือขายได้มากถึง 5 ล้านเล่มทั่วโลก

มันเป็นเรื่องราวจากหน้าประวัติศาสตร์ที่มีฉากหลังอยู่ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ซึ่งเล่าผ่านมุมมองของ บรูโน เด็กชายวัยเก้าขวบผู้ไร้เดียงสา ครอบครัวของเขาย้ายจากเบอร์ลินมาสู่บ้านหลังเล็กๆ เนื่องจากหน้าที่การงานของพ่อ ในสถานที่แห่งใหม่นี้ มันช่างห่างไกลจากผู้คน ละแวกนั้นแทบไม่มีครอบครัวใดอาศัยอยู่ คนที่เข้าๆ ออกๆ บ้านก็มีแต่ทหาร บรูโนจึงไม่มีเพื่อนเลยสักคน

แต่บรูโนก็สังเกตเห็นว่ามีคนกลุ่มหนึ่งอาศัยอยู่ไม่ไกลนัก พวกเขาเป็นผู้ชายทั้งหมด ตั้งแต่เด็กไปจนถึงคนชรา ที่น่าแปลกก็คือทุกคนใส่ชุดนอนลายพรางเหมือนกัน และอาศัยอยู่ภายในรั้วเท่านั้น

เขาตัดสินใจเข้าใกล้รั้วนั้นมากขึ้น จนพบกับเด็กชายหน้าตาเศร้าสร้อย ชื่อ ชมูเอล ต่อจากนั้นวันแล้ววันเล่าบรูโนก็ไปพบชมูเอลเสมอๆ มิตรภาพระหว่างพวกเขางอกเงย แม้จะมีรั้วหนามขวางกั้น แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความเป็นเพื่อนของทั้งคู่หยุดลง

แล้วในที่สุดเรื่องไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น เมื่อบรูโนลอดรั้วหนามนั้นเข้าไป เขาได้ก้าวเข้าสู่โลกที่ไม่คุ้นเคยโดยที่ไม่รู้เลยว่าดินแดนแห่งนั้นถูกสร้างมาเพื่ออะไร เขาทิ้งไว้เพียงชุดที่สวมใส่ปกติตรงข้างรั้ว หวังว่าจะได้กลับบ้านอีกครั้ง แต่ก็ไม่รู้ว่ามันจะเกิดขึ้นจริงหรือเปล่า

อันที่จริงแล้วนวนิยายเรื่องนี้นั้นมีการตอบรับที่ไม่ค่อยดีเท่าไรในแง่วิชาการ เพราะหลายคนออกมาวิพากษ์ว่ามันปิดบังข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์และสร้างความเท่าเทียมระหว่างผู้ที่ตกเป็นเหยื่อและผู้กระทำผิด มันจริงไม่น่าเชื่อถือและมีความไม่สมจริงอยู่เยอะ แต่หากมองในแง่การสร้างความตระหนักถึงผลลัพธ์และความสลดหดหู่ของสงคราม ก็คงไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าจุดจบของเรื่องสั่นสะเทือนใจแก่ผู้ชมพอสมควร

สงครามอาจสิ้นสุดลงไปแล้ว แต่ความเสียหายยังคงเป็นรอยแผลที่ไม่อาจลบเลือน

Tags: