มนุษย์รู้จักดนตรีมาตั้งแต่สมัยก่อนก่อนคริสตกาลและผูกพันกับดนตรีเรื่อยมา ในหนึ่งวันเราอาจจะได้ยินเสียงเพลงตลอดเวลา ไม่ว่าจะในร้านอาหาร บนรถไฟฟ้า วิทยุคนข้างบ้าน หรือจากเพื่อนร่วมงานข้างห้อง

เบื้องหลังเพลงที่คอยจรรโลงใจหรือบางเพลงซึ่งกลายเป็นอมตะเหล่านี้ มาจากฝีมือและจินตนการของศิลปิน ซึ่งบางคนก็มีชีวิตที่น่าสนใจไปไม่น้อยไปกว่าเพลงที่พวกเขาแต่งเลย

เส้นทางชีวิตของนักประพันธ์ต้องผ่านอะไรกันมาบ้าง การสร้างสิ่งใหม่นั้นยากเย็นขนาดไหน เราขอชวนดู 5 ภาพยนตร์ดนตรีที่ไม่ควรมองข้าม ทั้งสร้างจากชีวประวัติ และเหตุการณ์บันดาลใจ เชิญท่องไปบนตัวโน้ตนั้นพร้อมๆ กัน

Almost Famous (2000)

ก่อนการเป็นผู้กำกับภาพยนตร์ คาเมรอน โครว์ คือหนุ่มน้อยที่คลุกคลีกับร็อกสตาร์ชื่อดังมาก่อน ด้วยความหลงใหลที่มีต่อดนตรี เขาผลักดันตัวเองจนกลายเป็นหนึ่งในคอลัมนิสต์ของนิตยสาร Rolling Stone เขียนเรื่องราวและสัมภาษณ์ชีวิตหลังเวทีของวงดนตรีหลายต่อหลายวง เช่น Led Zepellin, Alman brothers band, Niel Young และ The Who

Almost Famous จึงเป็นภาพยนตร์ที่มีเค้าโครงมาจากประสบการณ์จริงของคาเมรอนเอง เต็มไปด้วยบรรยากาศของยุค ’70s ทั้งเพลงที่มีให้ฟังจนเต็มอิ่ม การแต่งกายตามยุคสมัย และการใช้ชีวิตตามวิถีของตน

ครอบครัวคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวครอบครัวหนึ่ง อันประกอบไปด้วยแม่ ลูกสาว และลูกชาย ด้วยความที่เลี้ยงลูกคนเดียว แม่จึงเข้มงวดกับลูกๆ มาก จนในที่สุดลูกสาวคนโตตัดสินใจหันหลังออกจากบ้านไป ทิ้งให้แม่และน้องชายอยู่ด้วย แต่เธอได้หลงเหลือสมบัติอย่างหนึ่งไว้ให้กับน้องชาย นั่นก็คือแผ่นเสียงวงดนตรี Rock and Roll ที่อัดแน่นเต็มกระเป๋า

ชีวิตของหนุ่มน้อยวิลเลี่ยม มิลเลอร์ จึงเปลี่ยนแปลงไป และเมื่ออายุได้ 15 ปี วิลเลี่ยมมีโอกาสได้ทำงานกับนิตยสาร Rolling Stone ซึ่งงานที่ได้รับมอบหมายคือการเขียนคอลัมน์ พร้อมกับติดตามวงดนตรีที่มีชื่อเสียงอย่าง Stillwater

ที่นี่เองที่ทำให้ชีวิตของเขาได้เรียนรู้สิ่งต่างๆ ที่มากมาย เรียกได้ว่าครบครันทั้งเรื่องดนตรี เหล้า ยา ผู้หญิง ชื่อเสียง และที่สำคัญคือความเป็นมนุษย์ของแต่ละคน

การได้เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดนี้ทำให้วิลเลี่ยมได้รับบทเรียนของชีวิตชิ้นใหญ่ และตระหนักถึงความสำคัญของครอบครัวด้วย

8 Mile (2002)

เมื่อสภาพสังคมและเศรษฐกิจค่อยๆ ตกต่ำลง เมืองดีทรอยต์ก็กลายเป็นแหล่งเสื่อมโทรมที่ไม่มีใครอยากเข้าใกล้ ความรุ่งโรจน์ที่เคยมีหายไป แล้วถูกแทนที่ด้วยอาชญากรรมและความยากจน ผู้คนแบ่งแยกและกีดกันกันเอง

ในความมืดมิดของชีวิต จิมมี สมิธ จูเนียร์ หรือ แร็บบิท มีเพียงดนตรีฮิปฮอปเท่านั้นที่เป็นเครื่องช่วยเยียวยา ถึงแม้จะไม่ได้รับการยอมรับจากคนฮิปฮอปผิวสีในย่านนั้นก็ตาม

จิมมีไม่เพียงมีชีวิตล้มเหลวจากผลกระทบของการเสื่อมถอยของเมือง แต่ชีวิตส่วนตัวเขาก็พังพินาศพอๆ กัน เขามีครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ ฐานะอยู่ในระดับรากหญ้า มีความรักที่ไม่เป็นดั่งใจ หนำซ้ำคนรักยังไม่สามารถหยิบยื่นความรู้สึกดีๆ ให้ได้อีกต่อไปแล้ว คนไว้ใจหักหลังจนตัวเองต้องเดือดร้อน แต่โชคดีก็ยังมีอยู่บ้าง ตรงที่เขามีเพื่อนอีกจำนวนหนึ่งคอยสนับสนุน

การขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีแร็พทำให้เขาประหม่า ด้วยความกลัวและการเป็นคนนอก เขาจึงไม่มั่นใจที่จะเอ่ยปากร้อง แต่เมื่อต้องการลบคำสบประมาทที่ว่าตัวเองเป็นแค่คนผิวขาวพื้นๆ คนหนึ่ง บวกกับความคลั่งไคล้ที่มีต่อดนตรีฮิปฮอป มันจึงทำให้เขาก้าวข้ามความกลัวนั้นออกไปได้

เพราะการที่เราเคยล้มลง ไม่ได้หมายความว่าเราจะจมอยู่ตรงนั้นไปตลอด เพียงหาแรงผลักดันให้เจอ เราจะกลับมายืนหยัดขึ้นอีกครั้ง…

8 Mile เป็นภาพยนตร์เรื่องแรกในการแสดงของเอมิเน็ม และเป็นภาพยนตร์ที่มีส่วนคล้ายคลึงกับชีวิตจริงของเขาอยู่มาก ด้วยความที่เข้าถึงบทบาทได้ดี เอมิเนฺมจึงได้รับคำชมอย่างล้มหลามจากภาพยนตร์เรื่องนี้

นี่คือผลงานของ เคอร์ติส แฮนสัน ผู้กำกับที่โดดเด่นทั้งด้านการกำกับและเขียนบท ซึ่งเป็นเจ้าของรางวัลออสการ์ สาขาบทภาพยนตร์ดัดแปลงยอดเยี่ยม ปี 1998 ที่ร่วมเขียนกับไบรอัน เฮลเจแลนด์ จากเรื่อง L.A. Confidential

Ray (2004)

ภาพยนตร์ชีวประวัตินักดนตรีอัจฉริยะ เรย์ ชาร์ลส ศิลปินผิวสีชาวอเมริกัน ผู้ได้รับการยกย่องให้อยู่ในอับดับ 10 ของศิลปินยอดเยี่ยมที่สุดตลอดกาลจากนิตยสาร Rolling Stone แสดงนำโดยเจมี ฟ็อกซ์ ผู้ทุ่มเทกับการสวมบทบาทเป็นเรย์ จนได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยม

ผู้กำกับฯ เทย์เลอร์ แฮ็คฟอร์ค กล่าวไว้ว่า เขาใช้เวลานานถึง 15 ปีในการสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ เนื่องมาจากการหาทุนในการสร้าง และเรย์ เจ้าของเรื่องราว ก็ได้อ่านบทภาพยนตร์ต้นฉบับที่สำเนาเป็นอักษรเบรลล์ด้วย

ภาพยนตร์มีการดำเนินเรื่องโดยตัดสลับไปมาระหว่างอดีตกับปัจจุบัน ในส่วนของอดีต แสดงให้เห็นถึงความรู้สึกผิดที่ฝังใจเรย์อย่างไม่มีวันลืม เรย์สูญเสียการมองเห็นตั้งแต่ 7 ขวบจากโรคต้อหิน แต่ด้วยความที่แม่ของเขาปลูกฝังและสอนสั่งให้ไม่ยอมแพ้ จึงทำให้เรย์มีพลังและกำลังใจในการใช้ชีวิตเรื่อยมา

เมื่อโตขึ้นเรย์เข้าเรียนในโรงเรียนสำหรับคนหูหนวกและตาบอด ที่นี่ทำให้เขาได้เรียนรู้เกี่ยวกับดนตรีและบทเพลง ดนตรีนี้เองที่เป็นเหมือนจุดพลิกผันในชีวิตของเขา จนในเวลาต่อมาเรย์ก็มีวงดนตรีเป็นของตัวเองที่ทำร่วมกับเพื่อน

แต่การมองไม่เห็นก็ทำให้เขาถูกเอารัดเอาเปรียบและกดขี่จากเพื่อนร่วมวง พร้อมกันนั้นอดีตก็หวนมาทำร้ายเรย์ จนเขาตัดสินใจใช้เฮโรอีนเป็นสิ่งบรรเทา

ชีวิตของเรย์มีทั้งขึ้นและลง ทั้งรุ่งโรจน์และเลวร้าย จนเมื่อได้พบอาห์เมท เออร์เทกุน ตัวแทนจากบริษัท Atlantic Records ชีวิตเขาก็เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น ทั้งการใช้ชีวิต ดนตรี และการออกจากวังวนยาเสพติด

Walk the Line (2005)

เจมส์ แมนโกลด์ ผู้กำกับฝีมือดีที่หลายคนรู้จักเขาจากภาพยนต์เรื่อง Cop Land (1997) Girl, Interrupted (1999) Knight and Day (2010) The Wolverine (2013) และผลงานล่าสุดที่ทำผู้ชมร้องไห้เป็นเผ่าเตาอย่าง Logan (2017) เขาคือคนหนึ่งที่ทำงานหลากหลาย ทั้งเขียนบทภาพยนตร์ บทละครโทรทัศน์ กำกับภาพยนต์และเป็นโปรดิวเซอร์

Walk the Line เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่ประสบความสำเร็จของเจมส์ ในปีที่เข้าฉายภาพยนตร์เรื่องนี้กวาดรายได้ไปมากมายในอเมริกา และเมื่อรวมรายได้ทั่วโลกแล้วนั้น ภาพยนตร์ทำเงินมากถึง 186 ล้านเหรียญ

Walk the Line ภาพยนตร์ชีวประวัติของจอห์น แคช นักร้อง-นักแต่งเพลงแนวคันทรี่ชื่อดัง หนุ่มผู้มีพรสวรรค์และหลงใหลในเสียงเพลง แต่กว่าจะก้าวขึ้นมาเป็นที่รู้จัก ชีวิตของจอห์นไม่ง่ายนัก

เรื่องราวน่าผิดหวังนั้นเริ่มมาตั้งแต่เขายังเล็ก จอห์นเป็นลูกชายคนที่สองของครอบครัว เขามีพี่ชายที่ขยันและฉลาด ทั้งคู่สนิทสนมและมีความรักฉันพี่น้องให้แก่กัน แต่พ่อแม่ไม่เห็นความสำคัญของเขานัก พวกเขารักพี่ชายมากกว่า และเมื่อพี่ชายจากไป พ่อก็ได้แต่โทษพระเจ้าว่าเอาลูกไปผิดคน นี่จึงกลายเป็นปมในใจเขา

เมื่อโตขึ้น จอห์นออกจากบ้านไปเป็นทหาร ได้พบรักกับภรรยา และมีลูกด้วยกัน จอห์นเริ่มเข้าสู่วงการดนตรีด้วยการเป็นนักร้อง แต่ในขณะที่ชีวิตในการทำงานดูจะค่อยๆ ดีขึ้น ชีวิตครอบครัวเขากลับแย่ลง และที่ร้ายแรงกว่านั้น จอห์นดันไปตกหลุมรัก จูน คาร์เตอร์ นักร้องสาวที่เขาชื่นชอบมาตั้งแต่เด็ก

เมื่อความพยายามสานสัมพันธ์กับจูนไม่เป็นผล จอห์นผู้ที่ปกติใช้ยาอยู่แล้ว ก็กลับใช้มันหนักขึ้นไปอีก แต่ในช่วงที่หมดหวังและสับสน เขาก็กลับมามีที่ยึดเหนี่ยว และหวนมาเป็นสิ่งที่เขาเป็นอีกครั้ง นั่นคือนักร้องผู้เปี่ยมพรสวรรค์

Beyond the Sea (2004)

Beyond the Sea ผลงานการกำกับและแสดงนำเองของนักแสดงชาวอเมริกัน เควิน สเปซีย์ ผู้เริ่มต้นอาชีพนักแสดงด้วยการแสดงละครเวที แล้วจึงมารับบทบาทในภาพยนตร์และละครโทรทัศน์จำนวนมาก จนได้รับรางวัลออสการ์ สาขานักแสดงนำชายยอดเยี่ยมไปในปี 1999 จากภาพยนตร์เรื่อง American Beauty

Beyond the Sea เป็นภาพยนตร์ชีวประวัตินักร้องคนโปรดของสเปซีย์ เขาคือ บ็อบบี้ ดาริน ผู้เป็นทั้งนักแสดง นักร้อง และนักแต่งเพลงที่เก่งกาจ บ็อบบี้เล่นดนตรีหลายแนว ไม่ว่าจะเป็นป็อป แจ๊ส ร็อกแอนด์โรล สวิง และคันทรี่

ภาพยนตร์เล่าเรื่องตั้งแต่วัยเด็กของบ็อบบี้ ดาริน และเหตุการณ์ต่างๆ ที่สำคัญต่อตัวเขาเอง แต่จุดที่สำคัญส่วนหนึ่งของเขาคือเรื่องครอบครัว

เฉกเช่นเดียวกับศิลปินคนอื่น เมื่อเริ่มมีชื่อเสียง เขาได้รับโอกาสให้ทำงานในหลากหลายฐานะ  ขยับการเล่นดนตรีจากแบบหนึ่งสู่อีกแบบหนึ่ง บ็อบบี้มีบทเพลงเป็นที่จดจำของแฟนๆ อย่างดี เช่น Dream Lover, Mack the Knife และ Beyond the Sea แต่ในชีวิตเขาเองก็มีความผิดพลาดอีกเช่นเดียวกัน ทั้งเรื่องผู้หญิง เหล้า การใช้กำลัง และครอบครัว

ในช่วงทศวรรษ 1960s บ็อบบี้ได้เข้าไปมีส่วนร่วมในการรณรงค์ทางการเลือกตั้ง และมีเพลงแนวเรียกร้องอิสรภาพออกมาหลายเพลง แต่ในปีเดียวกันนั้นเอง เขาได้พบความจริงบางอย่างของครอบครัวที่ถูกปกปิดไว้ จนส่งผลกระทบต่อบ็อบบี้อย่างรุนแรง

สุขภาพที่เสื่อมโทรม ทำให้บ็อบบี้จากไปในวัย 37 ปีหลังได้รับการผ่าตัด แล้วหลงเหลือไว้เพียงเสียงเพลงอันเป็นที่รักและไม่ได้ตายตามเขาไป

Tags: , , , ,