เมื่อใกล้ถึงเวลาสิ้นปีเก่า หลายคนคงไม่พ้นทบทวนชีวิตตลอดช่วงปีที่ผ่านมา แน่นอนว่าปี 2020 นี้เป็นปีที่หนักหนาสำหรับทุกคนโดยถ้วนหน้าก็ว่าได้ แต่เมื่อชีวิตยังคงดำรงอยู่ สิ่งที่ทำได้ดีที่สุดคือ จงยินดีกับการเริ่มต้นใหม่ และไม่ละทิ้งซึ่งความหวังในชีวิต.

The List ประจำสัปดาห์ส่งท้ายปีเก่านี้ ขอแนะนำภาพยนตร์ 5 เรื่องที่จะช่วยปลุกพลังใจให้ทุกคนพร้อมเริ่มต้นกับปีใหม่ที่กำลังย่างกรายเข้ามา

The Truman Show (1998)

เคยตั้งคำถามกันไหมว่าโลกนี้มีอยู่จริงไหม หรือเราเพียงถูกหลอกและบงการจากใครบางคน ที่พานให้นึกถึงประโยคที่ว่าโลกนี้คือละครหากเป็นเช่นนั้น ผู้กำกับฯ ก็คงจะซ่อนตัวอยู่ทีไหนสักแห่ง และชีวิตของทรูแมนก็กำลังเผชิญอยู่กับคำถามนั้น

จากบทความของ The New York Times ปี 2008 นักจิตวิทยาในอังกฤษและอเมริการายงานว่า มีคนจำนวนมากที่ประสบปัญหา Truman Syndrome โดยเชื่อว่าพวกเขาเป็นคนที่มีชีวิตอยู่ในรายการเรียลิตี้โชว์ของตัวเอง

บทดั้งเดิมของภาพยนตร์เรื่องนี้ ทรูแมนอาศัยอยู่ในนิวยอร์ก แต่ปีเตอร์ เวียร์ ผู้กำกับฯ เปลี่ยนโลเคชั่นเป็นเมืองที่เงียบสงบกว่าแทน เพื่อให้ภาพยนตร์มีความไซไฟน้อยลง เวียร์ยังบอกอีกด้วยว่าบทของ แอนดรูว์ นิคโคล นั้นหดหู่เกินไป เขาจึงอยากให้เบาเรื่องนั้นลง โดยคำนึงไปด้วยว่าผู้ชม (ในเรื่อง) จะสามารถดูโชว์นี้ได้ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง

ตั้งแต่เด็กจนโต ทรูแมน เบอร์แบงค์ มีชีวิตสุขสันต์มาโดยตลอด เขาไม่ใช่คนช่างสงสัย หรือชอบตั้งคำถามกับสิ่งใด เพราะทุกอย่างในชีวิตก็เป็นแบบนี้มาเนิ่นนาน แต่ที่สำคัญคือเขาไม่เคยออกนอกเกาะอันสงบสุขนั้นเลย ถึงจะเคยนึกอยากอยู่บ้าง แต่เขาก็หวาดกลัวเกินกว่าจะออกจากเกาะ สืบเนื่องมาจากอุบัติเหตุในวัยเด็ก

กระทั่งวันหนึ่งมีไฟสปอตไลท์ตกลงมาที่กลางถนน ซึ่งเป็นสิ่งที่เข้าใจไม่ได้เลยว่ามันมาจากไหน แล้วนับจากนั้นทรูแมนก็พบความผิดปกติอื่นๆ อีกเป็นระยะๆ ต่อให้คนรอบข้างจะพยายามอธิบายอย่างไร แต่ความคิดของเขาเตลิดไปไกลจนเกิดการตั้งแง่กับทุกอย่าง และใช่เขาคิดถูก ทุกสิ่งในชีวิตของเขาคือเรื่องจอมปลอม ชีวิตของเขาเป็นแค่เรียลิตี้โชว์ที่แพร่ภาพออกอากาศ ขนาดท้องฟ้าที่เขามองเห็นทุกวี่วันก็ยังเป็นของปลอม เมื่อรู้แบบนี้แล้ว สิ่งที่ทรูแมนต้องเลือกก็คือ การอยู่อย่างสงบสุขต่อไปเช่นที่ผ่านมา หรือการออกไปผจญกับสิ่งที่ไม่รู้ และไม่อยู่ในการควบคุม 

มันถึงเวลาแล้วที่เขาจะเป็นผู้เลือก

Eternal Sunshine of the Spotless Mind (2004)

ไม่มีใครอยากจมอยู่กับความเจ็บปวดนานเท่านาน แต่ชีวิตจริงก็อาจจะไม่มีตัวช่วยมากนักที่จะทำให้เราผ่านพ้นความทุกข์ไปอย่างรวดเร็ว บางครั้งบางคนอาจเคยนึกฝันถึงเครื่องลบความทรงจำ แม้จะไม่รู้ผลลัพธ์ที่ตามมา แต่อย่างน้อยมันก็คงช่วยให้หลุดพ้นจากความรู้สึกเหล่านั้นได้

Eternal Sunshine of the Spotless Mind คือเรื่องของการลบใครคนหนึ่งออกไปจากความทรงจำ

นักแสดงในเรื่องได้แก่ จิม แคร์รีย์ (โจเอล) และเคต วินสเลท (คลีเมนไทน์) ทั้งสองตอบรับร่วมงานด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่าเขาและเธอมักได้รับแต่บทเดิมๆ ซึ่งผิดกับเรื่องนี้ที่ไม่หลงเหลือภาพลักษณ์เก่าๆ เหล่านั้นเลย ในเรื่องนี้เรายังจะได้เห็นเคตเปลี่ยนสีผมสดใสแปลกตา (ด้วยการสวมวิก) ซึ่งสีผมของคลีเมนไทน์ยังเป็นตัวบอกให้รู้ว่า ในขณะนั้นความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับโจเอลเป็นเช่นไร

  เมื่อจิม แคร์รีย์พบกับมิเชล กอนดรี ผู้กำกับฯ เป็นครั้งแรก เขากำลังอยู่ในภาวะซึมเศร้าจากการเลิกรากับสาวคนหนึ่ง กอนดรีบอกให้จิมซึมซับกับสภาวะนั้นไว้ อย่าเพิ่งให้จางหายไป เพราะมันคือความเจ็บปวดอันงดงาม ที่จะปรากฎอยู่ในการแสดงของเขา

โจเอลตื่นขึ้นมาในวันธรรมดาอีกวันหนึ่ง เขาลุกขึ้นแต่งตัวและเตรียมไปทำงานตามปกติ แต่ระหว่างทางเขากลับโทรไปลาป่วยและขึ้นรถไฟอีกขบวนแทน รถไฟขบวนนั้นทำให้เขาตกหลุมรักหญิงสาวแปลกหน้าชื่อคลีเมนไทน์ ราวกับว่าพวกเขาเคยพบกันมาก่อน ซึ่งอันที่จริงทั้งคู่เคยพบกันมาก่อนแล้วอย่างชิดใกล้

ภาพยนตร์ตัดกลับไปในอดีต โจเอลและคลีเมนไทน์เป็นคู่รักที่เคยมีช่วงเวลาหวานซึ้งร่วมกัน พวกเขาเคยรักการตื่นมาพบหน้ากันทุกเช้า มีความสุขกับเสียงหัวเราะของอีกฝ่าย ก่อนที่ทุกอย่างจะจืดจางลง หลงเหลือแต่ความไม่เข้าใจ และการต่อว่าแบบสาดเสียเทเสียใส่กัน จนไปถึงการทำร้ายร่างกาย คลีเมนไทน์จึงไปใช้บริการลบความทรงจำเกี่ยวกับโจเอลออกไปจนหมด เมื่อโจเอลรู้เข้า เขาก็ทำแบบเดียวกัน แต่ต่อให้ทั้งคู่ต่างลบความทรงจำที่มีต่อกันออกไป ก็ไม่มีอะไรรับประกันได้ว่าในก้นบึ้งของหัวใจ พวกเขาไม่มีกันและกันอีกต่อไปแล้ว และไม่มีใครบอกได้ว่า ถ้าทั้งสองกลับมารักกันใหม่ มันจะไม่ลงเอยแบบเดิมอีก บางทีการผ่านความเจ็บปวดไปอย่างช้าๆ อาจจะช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันใจได้มากกว่าเดิม และหากความรักมีวันจบ ความเจ็บปวดก็น่าจะมีวันจบลงได้เช่นกัน

Silver Linings Playbook (2012)

ไม่ว่าจะเจ็บป่วยด้วยโรคอะไร มันย่อมส่งผลต่อการดำเนินชีวิตอยู่แล้ว บางโรคนอนพักสักวันก็หาย แต่บางโรคต้องใช้เวลาในการรักษาและดูแลกันต่อไป โดยเฉพาะกับโรคทางใจที่ไม่สามารถทำได้แค่กินยา Silver Linings Playbook เป็นเรื่องราวความเจ็บไข้ทางใจของคนสองคน ซึ่งกำกับฯ โดยเดวิด โอ. รัสเซลล์ เขาเคยให้สัมภาษณ์ว่าอยากจะสร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะลูกชายของเขามีอาการของโรคไบโพลาร์ และโรคย้ำคิดย้ำทำเช่นเดียวกันกับตัวละครในเรื่องนี้

ตอนแรกรัสเซลล์ไม่เชื่อว่า เจนนิเฟอร์ ลอว์เรนซ์ จะเหมาะกับบทบาทนี้ เพราะตัวละครในเรื่องสูงวัยกว่าเธอที่ตอนนั้นอายุเพียง 21 ปี และเธออาจจะดูเด็กเกินกว่าจะจับคู่กับ แบรดลีย์ คูเปอร์ แต่หลังจากมีการออดิชั่น รัสเซลล์ก็เปลี่ยนความคิดทันที เพราะการแสดงของเธอเหมาะกับบททิฟฟานีผู้มีทั้งความมั่นใจและความเปราะบางอยู่ในตัว

เวลาที่ล้มลง เราอาจไม่ได้อยากได้คนที่ฉุดเราขึ้นมาในทันทีทันใด แต่เราอยากได้คนที่นั่งลงข้างๆ และพร้อมรับฟังด้วยความเข้าใจ เช่นเดียวกับชีวิตของแพทผู้ป่วยไบโพลาร์ที่เพิ่งออกมาจากสถานบำบัด หลังสติขาดที่เห็นภรรยามีคนอื่น เขารับรองกับทุกคนรอบข้างว่าทุกอย่างจะกลับมาดีดังเดิม แต่ก็ไม่มีใครแน่ใจนักว่าแพทจะไม่ระเบิดอารมณ์ออกมาอีก

สิ่งที่แพทวาดหวังไว้กับชีวิตก็คือการฟื้นฟูความสัมพันธ์กับคนในครอบครัว และตั้งใจจะไปขอคืนดีกับภรรยาเก่า เหตุการณ์พาให้แพทได้รู้จักกับทิฟฟานี เธอเพิ่งสูญเสียคนรัก จึงต้องเข้ารับการบำบัดจากจิตแพทย์เช่นเดียวกัน ตอนแรกเธอตั้งใจจะเป็นแม่สื่อให้กับแพท แต่เมื่อเรื่องราวดำเนินไป ระหว่างทั้งคู่กลับมีความเข้าใจบางอย่างที่มาเติมเต็มช่องว่างที่ต่างมีอยู่ การก้าวข้ามอดีตอันเจ็บช้ำ การผลักดันกันอย่างปราศจากความกดดัน ความพยายามที่จะเริ่มต้นใหม่ด้วยเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เพื่อเยียวยาชีวิตซึ่งกันและกัน

Wild (2014)

จากบันทึกการเดินทางของ เชอรีล สเตรด์ สู่ภาพยนตร์ที่จะพาเราเดินไปบนเส้นทางของการเยียวยาบาดแผล ภาพยนตร์เรื่องนี้กำกับฯ โดย ฌองมาร์ก วาลี ผู้กำกับฯ ที่มีส่วนส่งให้ แมทธิว แม็คคอนนาเฮย์ และจาเรด เลโต คว้ารางวัลออสการ์จาก Dallas Buyers Club (2013) แต่คนต้นเรื่องที่อยากจะสร้างโปรเจกต์ Wild ก็คือ รีส วิทเธอร์สปูน นักแสดงสาวที่ควบตำแหน่งโปรดิวเซอร์ร่วมด้วย และเธอก็ยอมรับว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ยากและเข้มข้นที่สุดในชีวิตการทำงานของเธอในฐานะนักแสดง

แม้ว่ารีสจะเป็นคนที่มุ่งมั่นและทุ่มเทแค่ไหน แต่ในการถ่ายทำก็มีบางฉากที่ยากเย็นสำหรับเธอเช่นกัน เช่นฉากที่เธอจะต้องมีเซ็กซ์กับผู้ชายสองคน รีสปรารภถึงฉากนี้กับเชอรีลคนต้นเรื่อง ซึ่งเชอรีลก็ตอบว่าฉันขอโทษที่ฉันเป็นคนแบบนั้นในยุค ’90 แต่คุณก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้นคนจะพูดว่า มันเป็นแค่หนังเดินป่าที่งี่เง่า

การเดินทางครั้งนี้ของเชอรีลแทบไม่ต่างอะไรจากการวางเดิมพัน เธอแบกเป้ใส่หลังแล้วออกเดินทางโดยที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่า จะพบอะไรที่ปลายทาง การไร้ประสบการณ์ในการเดินป่าไม่ได้ทำให้เธอหวาดหวั่น เพราะสิ่งที่น่าหวาดกลัวยิ่งกว่าคือทุกอย่างที่เคยผ่านเข้ามาในชีวิตของเธอ

เชอรีลเดินทางตัวคนเดียวระยะทางกว่า 1,100 ไมล์ ซึ่งในระหว่างที่สองเท้าของเธอก้าวไปข้างหน้า มันก็พาผู้ชมก้าวย้อนกลับไปข้างหลัง เพื่อแสดงให้เห็นถึงจุดปะทุของการตัดสินใจในครั้งนี้ เชอรีลต้องปะทะกับความสูญเสียหลายครั้งหลายครา ครั้งแรกคือความตายของแม่ที่ส่งผลให้เธอดำดิ่งสู่ภาวะซึมเศร้าอย่างหนัก เธอทั้งใช้ยาเสพติดและมีเซ็กซ์กับคนแปลกหน้า ที่สุดมันก็ทำลายชีวิตการแต่งงานของเธอ ซ้ำเชอรีลยังมารู้ในภายหลังว่าตัวเองตั้งครรภ์ และก็เลือกที่จะทำแท้ง จากนั้นเชอรีลก็วางเดิมพันชีวิตใหม่ด้วยการย่างเท้าก้าวเดินทาง

ตลอดเวลาเกือบร้อยวันระหว่างการเดินทาง เชอรีลไม่เพียงได้พบกับคนมากหน้าหลายตา แต่เธอยังได้พูดคุยกับตัวเอง ได้ทบทวนเรื่องราวที่ผ่านมา ได้เยียวยาเรื่องที่เคยประสบ เหมือนกับการได้พบและทำความรู้จักกับตัวเองอีกครั้ง ได้เห็นว่าชีวิตคนเรานั้นเริ่มต้นใหม่ได้ แม้จะไม่ได้ง่ายดายและบาดแผลต่างๆ ก็ยังคงอยู่ แต่ถึงที่สุด ความเจ็บปวดก็จะผ่านพ้นไป หลงเหลือเพียงริ้วรอยของบาดแผลที่เลือนจาง

Lady Bird (2017)

ผลงานการกำกับฯ เดี่ยวครั้งแรกของ เกรต้า เกอร์วิก บอกเล่าถึงความฝันของเด็กสาวคนหนึ่งที่อยากจะหนีไปยังสถานที่อันห่างไกลจากชีวิตจริงที่เป็นอยู่

เกรต้าใช้เวลาหลายปีในการพัฒนาบทของภาพยนตร์เรื่องนี้ บทร่างแรกมีความยาวทั้งหมด 350 หน้า ซึ่งจะเท่ากับภาพยนตร์ความยาวหกชั่วโมง และถึงจะระบุว่ามันเป็นเรื่องกึ่งอัตชีวประวัติ แต่เกรต้าก็บอกว่าไม่มีอะไรในภาพยนตร์เกิดขึ้นอย่างแท้จริงในชีวิตเธอ มีเพียงแก่นของความจริงที่สอดคล้องกันอยู่

เซอร์ชา โรแนน ผู้รับบทคริสทีนในภาพยนตร์ พบกับเกรต้าพบกันครั้งแรกในงาน Toronto Film Festival ปี 2015 เซอร์ซากำลังโปรโมทเรื่อง Brooklyn ส่วนเกรต้าโปรโมทเรื่อง Maggie Plan ทำให้เซอร์ซามีโอกาสได้อ่านบทเรื่องนี้ในที่พักของโรงแรม และเมื่อเธอเริ่มอ่านบทออกมา เกรต้าก็มั่นใจในทันทีว่าเธอเจอ Lady Bird ของเธอแล้ว

เลดี้ เบิร์ดไม่ใช่ชื่อจริงของคริสทีน แต่เธอมักแนะนำตัวเองด้วยฉายานี้ คริสทีนเป็นเด็กสาวที่ไม่ค่อยพอใจกับสิ่งต่างๆ ในชีวิต เธอมักทะเลาะเบาะแว้งกับแม่ เธอเบื่อโรงเรียนคาทอลิกสุดเข้มงวด เธอไม่ชอบเมืองเกิดอย่างซาคราเมนโต เธอเกลียดชื่อของตัวเอง เธอชอบทำตัวเป็นขบถ และเธอกล้าพอที่จะทิ้งตัวลงจากรถยนต์ขณะมันกำลังแล่นอยู่ 

คริสทีนต้องการจะหลบลี้หนีหน้าไปเรียนต่อที่อื่นให้ไกลสุดกู่ แต่เรื่องของเรื่องคือปัญหาต่างๆ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับเธอคนเดียว สารพัดปัญหาที่รายล้อมอยู่นั้นรุมเร้าทุกคนในครอบครัว เมื่อพ่อถูกไล่ออกจากงาน พี่ชายไม่มีงานที่มั่นคง รายได้ไม่พอกับรายจ่าย แม่ต้องคอยจัดการกับทุกสิ่ง ความไม่เข้าใจต่อกันยิ่งขยายวงกว้างไปเรื่อยๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม คริสทีนมุ่งมั่นที่จะติดปีกบินไปให้พ้นจากบ้าน จากครอบครัว และสภาพแวดล้อมเดิม แล้วเมื่อถึงฝั่งที่เธอฝัน เธออาจได้มองย้อนกลับมาด้วยสายตาที่กว้างไกลมากขึ้น และด้วยหัวใจที่เปิดกว้างกว่าเดิม