ครอบครัวแต่ละครอบครัวมีวิธีการแสดงความรักแตกต่างกัน บางบ้านด้วยอาหาร บางบ้านด้วยการพูด บางบ้านด้วยการกอด และบางบ้านก็ด้วยการไม่ทำอะไรเลย ซึ่งสำหรับบ้านผู้เขียนนั้นคงเป็นอย่างหลัง ดังนั้น เมื่อเราค่อยๆ โตขึ้นและห่างจากบ้านไกลขึ้น เราจึงไม่แน่ใจนักว่าควรพูดคุยกับพ่อแม่อย่างไร ด้วยเรื่องอะไรบ้าง การกลับบ้านแต่ละครั้ง เราควรหรือไม่ควรทำสิ่งใด จนบางครั้งเราก็หลงลืมท่านไปด้วยซ้ำ เราสนใจแต่ตัวเอง ดูแลแต่ตัวเอง ปรนเปรอแต่ตัวเอง ซึ่งเมื่อหันกลับไปมองอีกทีพวกท่านก็แก่ตัวลงมากแล้ว 

ภาพพ่อแม่ในปัจจุบันนั้นช่างแตกต่างจากความทรงจำ ที่เคยดูว่าแข็งแรงก็ทรุดโทรม ที่เคยดูว่าสดใสก็โรยรา เราไม่เคยมองดูท่านชัดๆ มานานเท่าไร… แล้วก่อนที่มันจะสายเกินไป เราจึงทำในสิ่งที่ออกจะเคอะเขินอยู่บ้างในบ้านเรา นั่นคือการแสดงความห่วงใยออกไปอย่างซื่อๆ ตรงๆ ไม่ว่าจะเป็นด้วยคำพูดหรือการกอด เรี่ยวแรงของแขนที่กอดเรากลับมานั้นยังบ่งบอกถึงความแข็งแรงอยู่ แต่เราไม่มีทางรู้ว่าหรอกว่าชะตาจะพรากเราจากกันไปในวันไหน รักษาดวงใจของกันและกันไว้ในวันที่ยังทำได้ เพื่อไม่ให้รู้สึกว่าพลาดอะไรไป

 สำหรับสัปดาห์นี้เราขอแนะนำภาพยนตร์ครอบครัวที่มีตัวละครหลักเป็นพ่อในหลากหลายรูปแบบ มันอาจไม่ได้อบอุ่นไปเสียทั้งหมด แต่ก็ทำให้เราได้นึกทบทวนอะไรๆ ในตัวเอง รวมถึงพ่อของเราด้วย

There Will Be Blood (2007)

ชายที่กลายมาเป็นพ่อผู้แสวงหาความมั่งคั่ง

ภาพยนตร์ดัดแปลงมาจากนวนิยายเรื่อง Oil ของ อัพตัน ซินแคล ที่ได้แดเนียล เดย์-ลูอิส มารับบทนำ การที่แดเนียลยอมรับบทบาทในครั้งนี้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเขาเป็นแฟนตัวยงของภาพยนตร์เรื่อง Punch-Drunk Love (2002) ผลงานก่อนหน้านี้ของผู้กำกับพอล โธมัส แอนเดอร์สัน ซึ่งหากขาดแดเนียลไปภาพยนตร์คงไม่ออกมาสมบูรณ์ขนาดนี้

ส่วนพอล ดาโน ที่มีบทบาทสำคัญรองลงมานั้น ในทีแรกเขาได้รับบทเล็กๆ เป็นพอล ซันเดย์ พี่น้องของอีไล แต่หลังจากที่พอลแสดงไปเพียงฉากเดียว ทางผู้กำกับก็ตัดสินใจให้เขารับบทเป็นอีไล ซันเดย์ ด้วย และเปลี่ยนให้ตัวละครพอลกับอีไลเป็นพี่น้องฝาแฝดกัน โดยให้พอลรับผิดชอบไปทั้งสองบท

เหตุการณ์เริ่มต้นในปี 1898 แดเนียล เพลนวิว เป็นชายผู้มีความทะเยอทะยาน เขาผันตัวเองจากการขุดแร่เงินมาเอาดีทางด้านขุดเจาะน้ำมันแทน เขาก่อตั้งบริษัทขึ้นแล้วตระเวนตามหาแหล่งน้ำมันทั่วประเทศ แต่การทำงานนี้ก็ต้องแลกมาด้วยความยากลำบาก ทั้งการหาแหล่งน้ำมัน รวมถึงการขุดเจาะที่เทคโนโลยียังไม่เอื้ออำนวยมากนัก มันจึงส่งผลให้ต้องสังเวยด้วยชีวิตคนงานในบางครั้ง และหลังจากคนงานคนหนึ่งตายไป แดเนียลจึงรับลูกชายของเขามาอยู่ในความดูแลของจนในฐานะลูกชาย โดยตั้งชื่อให้ว่า เอช.ดับเบิลยู. 

เมื่อเวลาล่วงผ่านกิจการของแดเนียลนับว่าดีขึ้นตามลำดับ จนเขาได้เจอกับอีไล อีไลคาบข่าวเกี่ยวกับที่ดินผืนงามมาบอกแดเนียล โดยยื่นข้อตกลงบางอย่างให้ โดยที่ไม่รอช้าแดเนียลก็เดินทางไปยังดินแดนแห่งนั้นพร้อมกับลูกชายวัยกำลงซน เมื่อทุกอย่างดำเนินไปตามแผน ความสำเร็จที่คาดหวังกลับนำพาความโชคร้ายมาให้ การขุดเจาะน้ำมันเกิดอุบัติเหตุ เฮช.ดับเบิลยู. ถูกแรงระเบิดอัดเข้าเต็มเปาส่งผลให้เขาหูหหนวกนับแต่นั้นมา จากเด็กร่าเริงสดใส เขาซึมเซาไปถนัดตา ซึ่งมันทำให้แดเนียลรับมือกับความเงียบงันนั้นไม่ถูก จนต้องส่งเฮช.ดับเบิลยู. ไปอยู่ที่อื่น ความห่างเหินนี้เองที่กีดกันให้เด็กที่เลี้ยงดูมาเหมือนลูกชายต้องห่างเหิน อีกทั้งภายในตัวแดเนียลยังอัดแน่นไปด้วยความอยากมีอยากได้ ซึ่งในที่สุดทุกอย่างก็เหมือนจะพินาศคามือเขาเอง แม้ว่าตนจะอาศัยอยู่ในคฤหาสน์ใหญ่โตก็ตาม

มันเป็นภาพยนตร์ที่เข้มข้นในหลากหลายประเด็น อาทิ พ่อ-ลูก, อำนาจ-ศรัทธา, ซื่อสัตย์-ฉ้อฉล และคลุ้มคลั่ง-จำยอม เราทุกคนล้วนซ่อนความชั่วร้ายไว้ภายใน บางทีมันก็กัดกินเราไปเรื่อยๆ ซึ่งกว่าจะรู้ตัวอีกทีความชั่วร้ายนั้นก็ปะทุขึ้นมาเสียแล้ว เมื่อมองดูมือที่เคยคิดว่าใสสะอาด มันก็เปื้อนเลือดจนล้างอย่างไรก็ไม่ออก

Still Walking (2008)

ชายที่พ่ายแพ้ให้กับการเป็นลูก เป็นสามี และเป็นพ่อ

ผู้กำกับฮิโรคาสุ โคเรเอดะ สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้ขึ้นมาจากประสบการณ์ส่วนตัว โดยเฉพาะความรู้สึกเสียใจหลังการจากไปของพ่อแม่ แม่ของเขาเป็นมะเร็งเต้านมและใช้ชีวิตอยู่คนเดียวหลังจากที่พ่อเสีย โคเรเอดะ ติดต่อกับท่านบ้างเป็นครั้งคราว แต่เขาก็ยุ่งกับการงานตรงหน้ามากจริงๆ จนละเลยท่าน จนภายหลังแม่ต้องเข้ารับการรักษา เขาหันมาใช้เวลากับท่านมากขึ้น แต่อย่างไรสำหรับเขามันก็สายไปแล้วในความรู้สึก ดังนั้น ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยมวลของความทรงจำ ความโหยหา ความคิดถึง และความอบอุ่น

เรื่องราวของครอบครัวโยโกยามะที่กลับมารวมตัวกันเนื่องในโอกาสครบรอบการตาย 15 ปีของลูกชายคนโต แต่แทนที่เราจะได้เห็นความรักใคร่กลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียว บรรยากาศกลับเต็มไปด้วยความกระอักกระอ่วนและท่าทีหมางเมินของหัวหน้าครอบครัวอย่างเคียวเฮ พ่อของลูกๆ และปู่ของหลานๆ ที่ภายในใจยังมีทิฐิอยู่สูง นี่เองเป็นสาเหตุให้เรียวตะ ลูกชายคนรองไม่ค่อยอยากกลับบ้าน

เรียวตะ มักถูกพ่อนำตัวเองไปเปรียบเทียบกับพี่ชายคนโตบ่อยๆ เพราะพ่อคาดหวังว่าเขาจะรับช่วงต่ออาชีพหมอ อันที่จริงเรียวตะก็เคยอยากเป็นหมออยู่เหมือนกัน แต่เมื่อโตขึ้นเขาก็ละทิ้งความฝันวัยเยาว์แล้วพยายามไขว่คว้าความฝันชิ้นใหม่แทน นั่นคือศิลปะ ปัจจุบันเขาจึงรับอาชีพนักบูรณะภาพวาดที่รายได้แทบจะไม่มี แถมยังแต่งงานกับแม่ม่ายลูกติดอีกต่างหาก แต่ไม่ใช่แค่เขาเท่านั้นที่กำลังเผชิญหน้ากับความอึดอัดคับข้องใจ เพราะแต่ละคนก็มีเรื่องให้ครุ่นคิดและหมองเศร้าไม่ต่างกัน

รายละเอียดเล็กๆ น้อยๆ ในภาพยนตร์ของโคเรเอดะถูกเล่าออกมาอย่างไม่สลักสำคัญ แต่มันช่วยให้เราเห็นภาวะของตัวละครมากขึ้น สิ่งเล็กๆ เหล่านั้นประกอบกันจนเป็นสิ่งใหญ่ๆ ที่ซุกซ่อนอยู่ภายในใจของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นชุดนอนที่เตรียมไว้ให้, การบรรยายถึงความทรงจำวัยเด็กผ่านการทำอาหาร, การขังตัวเองไว้ในห้องทำงานเก่า หรือแม้แต่อุปกรณ์ช่วยเหลือคนแก่ที่เพิ่มเข้ามาในบ้าน ซึ่งเป็นการตอกย้ำความแก่ชราของพ่อแม่ นี่ไม่ใช่ภาพของครอบครัวอันแสนสุข แต่เป็นครอบครัวที่ร่องรอยของบาดแผลไม่เคยจางหายไปไหน แล้วเมื่อยิ่งพยายามปกปิด มันก็ยิ่งเด่นชัดออกมาเท่านั้น ช่างเป็นความระทมทุกข์ที่ก้าวเดินตามหลังเรามาติดๆ โดยไม่เคยทอดทิ้งเราไปไหนเลย

Toni Erdmann (2016)

ชายที่รักษาความสัมพันธ์ไว้ไม่ได้ แต่ยังอยากเป็นพ่อที่ทำให้ทุกคนยิ้มได้

Toni Erdman ผลงานผู้กำกับหญิง มาเรน อาเดอ ที่เล่าเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างพ่อลูกออกมาได้อย่างขมปนหวาน โดยตัวละคร วินฟรีด มีลักษณะพื้นฐานมาจากพ่อของเธอเอง เขาเป็นชายที่สวมฟันปลอมและชอบเล่นตลกกับผู้คน นอกจากนี้มาเรนยังได้รับอิทธิพลของตัวละครมาจากนักแสดงตลก แอนดี้ คอฟแมน อีกด้วย

ชีวิตวัยเกษียณของวินฟรีด คอนราดี้ นั้นไม่ค่อยมีอะไรมากนัก เขาหย่าขาดจากภรรยา อยู่ห่างจากลูก และมีเพื่อนเป็นเจ้าตูบ วินฟรีดเป็นคนที่มีนิสัยขี้แกล้ง รักอารมณ์ขัน ซึ่งบางครั้งก็ไม่สนุกสำหรับคนอื่นเท่าไร โดยเฉพาะกับลูกสาว ซึ่งเรื่องมันก็เริ่มมาจากตรงนี้เอง เมื่อเขาตัดสินใจไปเยี่ยมอินเนส ลูกสาววัยทำงานที่แบกความรับผิดชอบไว้ล้นบ่า เธอทำงานเป็นที่ปรึกษา-นักวางกลยุทธ์ของบริษัทธุรกิจข้ามชาติ อินเนสมีนิสัยตรงข้ามกับพ่อแทบจะสิ้นเชิง เธอตึงเครียด ยุ่งอยู่ตลอดเวลา ตัวติดกับงานน ไม่มีเวลาผ่อนคลาย และไม่สะดวกที่จะพบปะสังสรรค์กับครอบครัว

จนวินฟรีดไปเยี่ยมเธอถึงที่ แต่ถึงกระนั้นอินเนสก็ไม่มีเวลามาใส่ใจกับพ่อมากนัก ทั้งยังออกแนวรำคาญที่เขามาได้ผิดที่ผิดเวลา เพราะเธอกำลังอยู่ในช่วงหน้าสิ่วหน้าขวานอยู่ แต่คนอย่างวินฟรีดก็ไม่ยอมถอยง่ายๆ เขาปลอมตัวแล้วมาพบเธออีกครั้งในชื่อโทนี่ เอ็ดมาน ซึ่งไม่มีทางที่อินเนสจะดูไม่ออก แต่เธอก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่าการยอมตามน้ำ วิธีการที่วินฟรีดใช้สำหรับเชื่อมความสัมพันธ์กับลูกสาวดูท่าจะพังลงหลายครั้ง ซ้ำร้ายการยื่นมือเข้าไปแทรกแซงกิจการบางอย่างยังทำให้อินเนสต้องปวดหัวไม่ได้หยุดหย่อน แต่ถึงที่สุดแล้วความพยายามของเขาก็ไม่เสียเปล่าเสียทีเดียว มันพิสูจน์ได้จากเสียงหัวเราะและรอยยิ้มอันบริสุทธิ์ที่มาจากก้นบึ้งของหัวใจ

Wildlife (2018)

ชายที่ทิ้งครอบครัวและความเป็นพ่อไว้ข้างหลัง

Wildlife เป็นผลงานการกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกของพอล ดาโน ที่เขาร่วมเขียนบทกับแฟนสาว โซอี้ คาซาน โดยเนื้อหาดัดแปลงมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของริชาร์ด ฟอร์ด เมื่อพอลติดต่อขอสิทธิ์ในดัดแปลง ริชาร์ดบอกกับเขาว่า “ผมรู้สึกขอบคุณที่คุณสนใจหนังสือเล่มนี้ แต่ผมก็ควรจะพูดเช่นนี้ด้วยว่า หนังสือของผมเป็นของผม คุณต้องทำให้ภาพที่ออกมาเป็นของคุณ ภาพยนตร์จะเคารพต่อต้นฉบับมากน้อยแค่ไหนไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับผม จงสร้างคุณค่าและความหมายของมันขึ้นมาในแบบคุณ โดยทิ้งหนังสือไว้ข้างหลัง”

นักแสดงหลักสองคนที่พอลเลือกมาต่างเป็นนักแสดงมากคุณภาพ ได้แก่ แครี มัลลิแกน นักแสดงที่เคยร่วมงานกับเจค จิลเลินฮาล มาก่อนในเรื่อง Brothers (2009) ส่วนเจคก็เคยร่วมงานกับพอลมาก่อนถึงสองครั้งในเรื่อง Prisoners (2013) และ Okja (2017) ทั้งคู่ตื่นเต้นมากที่จะได้มีส่วนร่วมกับผลงานการกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกของพอล และอดที่จะยินดีไปกับเขาไม่ได้

ครอบครัวบริสันเป็นครอบครัวเล็กๆ ที่เพิ่งย้ายมายังมอนทานา สหรัฐอเมริกา พวกเขามีกันอยู่สามคนพ่อแม่ลูก โดยมีเจอร์รีเป็นหัวหน้าครอบครัว เขาเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่ายทั้งหมดภายในบ้าน ด้วยการทำงานเป็นพนักงานในสนามกอล์ฟ ส่วนเจนเนตก็รับหน้าที่แม่บ้าน ดูแลความเรียบร้อยตั้งแต่เรื่องในครัวไปจนถึงเรื่องลูก และคนสุดท้ายโจ ลูกชายวัยกำลังโต

ดูเหมือนว่าครอบครัวบริสันจะไม่ได้มีความเป็นอยู่ราบรื่นเสียทีเดียว แล้วความตึงเครียดก็ยิ่งมากขึ้นหลังจากที่เจอร์รีตกงาน เจนเนตพยายามที่จะสนับสนุนสามีเป็นอย่างมาก แต่เขาหยิ่งในศักดิ์ศรีเกินกว่าจะโอนอ่อนผ่อนตาม และเริ่มถามหาความหมายในชีวิตมากขึ้น จนเขาตัดสินใจหันหลังให้ภรรยากับลูก แล้วไปเป็นเจ้าหน้าที่ดับไฟป่า ซึ่งจะไม่ได้กลับบ้านไปสักพัก เจนเนตเองก็จนปัญญาจะรั้งเขาไว้ เธอกับลูกจึงช่วยกันหารายได้มาจุนเจือครอบครัวตามแต่ยถากรรม สิ่งที่ตามมาจากการตัดสินใจของเจอร์รีส่งผลกระทบต่อทุกๆ คน เจนเนตเปลี่ยนไปและเปลี่ยนใจ ส่วนโจก็ต้องมาแบกรับความเจ็บปวดที่ตนไม่ได้สร้าง แม้เขาจะไม่ได้พูดออกมา แต่สิ่งที่ต้องพบเห็นนั้นหนักหนาเกินกว่าหัวใจเด็กชายคนหนึ่งจะรับไหวแน่ๆ ทุกคนหลงทางและหล่นลงเหว แล้วถ้าเจอร์รีเลือกคำตอบอีกอย่าง เลือกที่จะไม่เดินไปเพียงลำพัง เหตุการณ์นี้จะเปลี่ยนไปไหม หรือสุดท้ายแล้วมันก็จะออกมาไม่ต่างกัน แก้วที่มีรอยร้าวทำได้เพียงรอวันแตกกระจายเท่านั้นหรือ?

Searching (2018)

ชายที่คิดว่าตนเป็นพ่อที่รู้จักลูกสาวดีที่สุด

Searching ประสบความสำเร็จทั้งทางด้านรายได้และคำวิจารณ์ โดยภาพยนตร์สามารถทำเงินไปได้ทั้งสิ้น 75 ล้านเหรียญ ด้วยงบประมาณการสร้าง 8 แสนเหรียญ การเล่าเรื่องเล่นกับสื่อร่วมสมัยอย่างโซเชียลมีเดียและหลายเหตุการณ์ขึ้นอยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เป็นหลัก นั่นทำให้ทีมงานใช้เวลาถ่ายทำเพียง 13 วันเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตามภาพยนตร์ใช้เวลาถึง 2 ปีในการเตรียมความพร้อมในด้านต่างๆ

ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจทำให้หลายคนนึกไปถึงเรื่อง Unfriended (2014) ผู้กำกับอานีช ชากันที จึงใส่เสี้ยวเล็กๆ จากเรื่องดังกล่าวเข้ามาด้วย นั่นคือชื่อของลอร่า บาร์นส์ (เด็กสาวที่ฆ่าตัวตาย) ซึ่งปรากฎอยู่บนจอคอมพิวเตอร์ และแม้ว่าภาพยนตร์จะเล่าด้วยการใช้เครื่องมือโซเชียลมีเดียเหมือนกัน แต่อานีชก็สร้างสรรค์ออกมาได้อย่างแตกต่าง และวางปมกับจุดหักมุมไว้ในแบบที่เรานึกไม่ถึง

ครอบครัวคิมเคยเป็นครอบครัวที่อบอุ่นรักใคร่กันมาตลอด แต่หลังการจากไปของพาเมล่า ภรรยาที่รักและแม่ที่แสนดี ครอบครัวคิมก็เหลือกันเพียงสองคนพ่อลูก ภายนอกนั้นดูเหมือนว่าทุกอย่างก็ดำเนินไปตามปกติ ชีวิตมีเกิดแก่เจ็บตาย คนที่จากไปไม่ฟื้นคืน ส่วนคนที่ยังหายใจก็ต้องมีชีวิตต่อไป เดวิด คิม พยายามดูแลลูกอย่างดีที่สุดเท่าที่พ่อคนหนึ่งจะทำได้ แต่แล้ววันหนึ่งมาร์โกต์ คิม ลูกสาวหัวแก้วหัวแหวนเพียงคนเดียวก็หายตัวไป

เดวิดเดือดเนื้อร้อนใจเป็นอย่างมาก เขาพยายามตามหาลูกทุกวิถีทางด้วยเบาะแสที่มีอยู่อย่างน้อยนิด และเครื่องมือชิ้นสำคัญที่เขาใช้สืบเสาะก็คือคอมพิวเตอร์และโซเชียลมีเดีย เมื่อยิ่งค้นก็ยิ่งเจอ แต่ยิ่งเจอก็ยิ่งพบกับความว่างเปล่า มาร์โกต์คนที่ยิ้มแย้มสดใสนั้นซ่อนอะไรบางอย่างไว้มากมาย เธออาจไม่ได้เก่งพอจะกลบเกลื่อน แต่คนเป็นพ่อนั้นไม่ได้เพ่งมองจนสังเกตเห็นมากกว่า เดวิดน่าจะเป็นคนที่ใกล้ชิดและรู้จักเธอดีที่สุด แต่ความจริงแล้วเขาคือคนที่ห่างเหินเธอและแทบไม่รู้อะไรเกี่ยวกับตัวลูกสาวเลย สิ่งเดียวที่เขาทำได้ตอนนี้ก็คือการตามหามาร์โกต์ให้เจอ ไม่ว่าเธอจะเป็นหรือตายก็ตาม

สิ่งสำคัญที่ Searching แสดงให้เห็นก็คือข้อดีข้อเสียของเทคโนโลยีและโซเชียลมีเดีย เราไม่มีทางรู้เลยว่าข้อมูลที่ปรากฎในโลกใบนั้นจะย้อนกลับมาทำร้ายเราตอนไหน หรือมันจะนำพาอันตรายอะไรมาสู่เราบ้าง ทุกคนพร้อมใจกันแสดงออกถึงสิ่งที่ตนมีอยู่ก็จริง แต่เราจะรู้ได้อย่างไรว่านั่นเป็นแค่ตัวตนที่สร้างมาหรือเป็นตัวเขาจริงๆ ทุกวันนี้โลกของเราหดเล็กลงก็จริง แต่มันดันขยายช่องว่างกับเราไปด้วยโดยไม่รู้ตัว นอกจากประเด็นนี้แล้วก็ยังมีประเด็นความสัมพันธ์เชิงสังคมอีก ทั้งครอบครัว, ชีวิตวัยรุ่น, ความไว้เนื้อเชื่อใจ และการหายตัวไปของเด็กๆ อย่าปล่อยให้อะไรๆ นั้นสายเกินแก้ เพราะนั่นอาจหมายถึงมันแก้อะไรไม่ได้แล้ว