ความรักอาจเป็นเรื่องของคนสองคน แต่ในระหว่างสองคนนั้นกลับเต็มไปด้วยปัจจัยแวดล้อมและรายละเอียดปลีกย่อยมากมาย ซึ่งมันทำให้พบว่าความจริงแล้วความรักไม่ได้ขึ้นอยู่เพียงแค่กับ ‘เรา’ บ้างขึ้นอยู่กับบุคคลที่สาม บ้างขึ้นอยู่กับเหตุการณ์ที่ผันผ่าน และบ้างขึ้นอยู่กับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ความรักไม่เคยเป็นเรื่องง่าย และอยากยิ่งขึ้นไปอีกเมื่ออยากจะรักษาความสัมพันธ์ไว้ ต่อให้เรามั่นใจเท่าไรว่ามันจะไม่สั่นคลอน แต่บางทีแค่ลมหนาววูบเดียวหรือชั่วขณะที่ดอกไม้กำลังเบ่งบาน มันก็ทำให้ทุกสิ่งที่มีมาสามารถล้มคลืนได้เช่นกัน
สำหรับหัวใจที่กำลังตกอยู่ในห้วงเวลาแห่งการแตกสลายนั้นคงยากที่จะมีสิ่งใดมาเยียวยาได้ แต่ขอให้ระลึกไว้เถอะว่าเรื่องราวดีๆ ที่ผ่านมานั้นเกิดขึ้นจริง เป็นเรื่องจริง และมากล้นด้วยความรู้สึกเราจริงๆ วันพรุ่งนี้อาจจะยังไม่สดใส แต่พายุฝนจะต้องผ่านไปในสักวัน ส่วนวันนี้นั่งลงแล้วเศร้าไปกับมันก่อนก็ได้ เปิดภาพยนตร์ดูสักเรื่องเพื่อทบทวนความรักที่ผ่านมา แม้จะจบลงด้วยน้ำตา อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้ระบาย
Atonement (2007)
Atonement สร้างมาจากนวนิยายในชื่อเดียวกันของ เอียน แมคอีวาน โดยกลวิธีในการเขียนเรื่องนี้เป็นแบบ อภินวนิยาย (metafiction) คือการเล่าเรื่องซ้อนเรื่องเล่า ซึ่งท้ายที่สุดมันได้นำผู้อ่านหรือผู้ชมอย่างเราเศร้าสะเทือนไปกับความไร้เดียงสาที่เกิดขึ้น จนทำให้ตระหนักถึงพลังของคำพูดและความคิด ว่าเพียงถ้อยคำไม่กี่คำ ความคิดเพียงไม่กี่ความคิดนั้นสามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตของคนๆ หนึ่งให้เหมือนกับตกนรกทั้งเป็นหรือขึ้นสวรรค์ทั้งที่ยังอยู่ก็ได้
ภาพยนตร์ถ่ายทำในประเทศอังกฤษทั้งหมด ซึ่งฉากที่ใช้งบประมาณไปมากที่สุด คือฉากเมืองดันเคิร์กที่ถ่ายทำกันในเมืองเร็ดคาร์ โดยทุ่มทุนไปเกือบ 1 ล้านปอนด์ รัฐบาลท้องถิ่นอนุญาตให้ทีมงานสามารถสร้างสิ่งต่างๆ ให้สมจริงเทียบเท่ากับเมืองดันเคิร์ก ทั้งเรืออับปางที่อยู่บนชายหาดและสีของบ้านเรือนริมหาดก็ถูกทาให้เหมาะกับยุคสมัย แต่หลังจากที่การถ่ายทำจบลงทุกอย่างก็กลับเข้าสู่บรรยากาศปกติ และกลับมาเป็นเมืองชายทะเลทั่วไปอีกครั้ง
ฤดูร้อนปี 1935 ไบรโอนี่ ทัลลิส ยังเป็นสาวน้อยวัยกำลังโตที่มีอายุ 13 ปี เธอเกิดมาในตระกูลร่ำรวย รักการเขียน และชื่นชอบที่จะมองดูสิ่งต่างๆ รอบตัว แล้ววันหนึ่งเธอก็เห็นเซซิเลีย พี่สาวของตัวเองกำลังเล่นน้ำพุโดยที่สวมเพียงชุดชั้นในชิ้นบาง และข้างๆ นั่นก็มีร็อบบี้ เทิร์นเนอร์ ลูกชายคนสวนเฝ้ามองอยู่ไม่ห่าง ไบรโอนี่จึงตีความสิ่งที่เห็นไปอย่างที่ตัวเองเข้าใจ โดยไม่ถามไถ่ใครว่ามันถูกหรือผิดกันแน่
แต่มันคงจะไม่บานปลายไปมากกว่านี้ ถ้าไม่มีเรื่องจดหมายเข้ามาเกี่ยวข้อง ร็อบบี้พยายามจะขอโทษเซซิเลียกับเหตุการณ์ดังกล่าว แต่เขาก็ดันหยิบจดหมายผิด ซึ่งเนื้อความในนั้นก็ไม่น่าอ่านเท่าไรนัก ประเด็นอยู่ตรงที่เขาฝากจดหมายไปกับไบรโอนี่และเธอเปิดออกอ่าน มันจึงยิ่งทำให้จินตนาการของเธอไปไกลกว่าเดิม ความโชคร้ายยังไม่หมดเพียงแค่นั้น ต่อมาไม่นานดันเกิดคดีข่มขืนขึ้น โบรโอนี่พุ่งความสนใจทั้งหมดไปที่ร็อบบี้ รวมถึงอ้างว่าเห็นเขาเป็นคนลงมือด้วย! เส้นเรื่องที่ไบรโอนี่ผูกใหม่เอาเองได้ทำให้ชีวิตของร็อบบี้พังลงกับตา ความรักที่เซซิเลียกับเขาบ่มเพาะมาก็ด้วย ทั้งสองต้องแยกห่างจากกัน โดยที่ไม่มีทางรู้เลยว่าอาจไม่มีวันได้กลับมาพบกันอีก… ความผิดพลาดครั้งนี้จะกลายเป็นตราบาปฝังใจไบรโอนี่ไปอีกนานเท่านาน
45 Years (2015)
ภาพยนตร์เรื่องนี้เขียนบทและกำกับโดยแอนดรูว์ เฮจ โดยเนื้อหานั้นมีพื้นฐานมาจากเรื่องสั้นในหนังสือ In Another Country ของเดวิด คอนสแตนติน ว่าด้วยเรื่องราวในอดีตที่ผุดขึ้นมาทำร้ายปัจจุบัน ซึ่งความรุนแรงของมันมากพอที่จะสั่นคลอนความรักที่คิดว่ามั่นคงให้สั่นไหวได้ จนเราต้องหันกลับไปมองวันเวลาทั้งหมดอีกทีหนึ่ง
เรื่องราวเกิดขึ้นในช่วงเวลาหนึ่งสัปดาห์ก่อนวันฉลองครบรอบงานแต่งงาน 45 ปี ชีวิตคู่ของเคทและเจฟฟ์ผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างยาวนาน พวกเขาแทบจะรู้ถึงนิสัยทุกซอกทุกมุมของกันและกัน และคงจะครองรักกันไปตราบเท่าที่ลมหายใจยังมี แต่เวลา 45 ปีนั้นมีความหมายมากแค่ไหน มันมีพลังพอที่จะกดทับความรู้สึกคับข้องใจที่จู่ๆ ก็เกิดขึ้นได้หรือเปล่า เมื่อเจฟฟ์ได้รับจดหมายฉบับหนึ่ง ในนั้นระบุถึงการพบศพแคทยา แฟนเก่าเจฟฟ์ที่หายสาบสูญไปกว่า 4 ทศวรรษ เธอเสียชีวิตอยู่ใต้ภูเขาน้ำแข็ง และเธออยู่ตรงนั้นตลอดมา
ความหลังพรั่งพรูออกมาผ่านการกระทำของเจฟฟ์ แม้เขาไม่ได้พูดอะไรมาก แต่เคทก็สัมผัสได้ถึงมวลความรู้สึกบางอย่างที่เปลี่ยนไป ทั้งภายในใจของเขาและเธอ ความจริงที่ถูกแช่แข็งไว้ค่อยๆ ละลายและเผยตัวออกมา ความรักฝังใจที่ดูเหมือนว่าจะตายไปแล้วกลับยังมีอยู่ ส่วนชีวิตคู่ที่อยู่ด้วยทุกเมื่อเชื่อวันกลับเหมือนไม่มีอยู่จริง เคทอดที่จะรู้สึกและสงสัยไม่ได้ว่าเธอรู้จักคนที่อยู่ตรงหน้านี้จริงๆ ไหม ความรักที่หยิบยื่นให้กันมากว่าครึ่งชีวิตมันเป็นความรักแบบไหน แล้ววันพรุ่งนี้เราจะยังรักกันได้อย่างที่ผ่านมาหรือเปล่า ในเมื่อตอนนี้ความทรงจำในอดีตกำลังกลับมาเคาะประตูและก้าวเข้ามาในบ้านของ ‘เรา’…
Manchester by the Sea (2016)
ในทีแรกภาพยนตร์นี้ถูกวางผู้กำกับและนักแสดงนำไว้เป็นแมตต์ เดมอน แต่เนื่องจากเขาติดถ่ายทำ The Martian (2015) เขาจึงทำหน้าที่ควบคุมงานสร้างเพียงอย่างเดียว นั่นจึงทำให้ผู้เขียนบทอย่างเคนเน็ธ โลเนอร์แกน ขยับขึ้นมานั่งแท่นกำกับเองด้วย ส่วนนักแสดงนำก็ได้ เคซีย์ แอฟเฟล็ค มารับบท ซึ่งการแสดงนั้นทำออกมาได้อย่างไม่มีที่ติ
เมื่อได้ฟังชื่อเรื่อง หลายคนอาจสับสนกับเมืองแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ แต่ Manchester by the Sea เป็นชื่อเมืองท่าในรัฐแมสซาชูเซตส์จริงๆ และถูกเรียกว่าแมนเชสเตอร์มาก่อนจนถึงปี 1989 หลังจากนั้นจึงถูกเปลี่ยน เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนอย่างที่ว่า
ในชีวิตที่ผ่านเรื่องดีร้ายมามากมาย เราจึงมีทั้งสถานที่ที่อยากกลับไป ไม่อยากกลับไป และสถานที่ที่ต่อให้อยากกลับไปเท่าไร แต่ก็ทำไม่ได้อยู่ดี ชีวิตของลี แชนด์เลอร์ ถูกจัดอยู่ในประเภทหลังสุด ลีพยายามหนีจากอดีตของตัวเอง โดยไปอาศัยอยู่ในเมืองไกลบ้าน ทำงานที่ไม่มีความหมาย และใช้ชีวิตหมดอาลัยตายอยากไปวันๆ จนเมื่อ โจ พี่ชายจากไปอย่างกะทันหัน ลีจึงต้องเข้ามาดูแล แพทริก ลูกชายวัยหัวเลี้ยวหัวต่อแทน
นั่นทำให้ลีต้องกลับมาเผชิญหน้ากับสิ่งที่หลีกเลี่ยง เมืองแมนเชสเตอร์ฯ อันเงียบสงบนี้มีความทรงจำฝังแน่นอยู่ มันเป็นความทรงจำที่แสนสาหัส จนแม้แต่กาลเวลาก็ไม่อาจลบเลือน ลีพยายามที่จะรับช่วงต่อในการดูแลแพทริกอย่างเหลือกำลัง แต่อดีตอันโศกสลดนั้นไม่ต่างอะไรจากวิญญาณร้ายที่คอยรังควาน ไม่ต่างอะไรจากการย้ำเตือนว่าแผลที่มียังสดใหม่ และเขายังไม่อาจรับมือกับมันได้ดีเท่าไรนัก ขณะเดียวกันแพทริกเองก็ไม่สามารถรับมือกับการสูญเสียได้เช่นกัน ทั้งคู่จึงต้องหาทางตรงกลาง เพื่อให้ชีวิตดำเนินต่อไปได้ โดยไม่ต้องมีฝ่ายให้เจ็บปวดไปมากกว่านี้
Us and Them (2018)
ผลงานการกำกับภาพยนตร์ครั้งแรกของเรเน่ หลิว ผู้ที่เป็นทั้งนักร้อง นักแต่งเพลง นักเขียน และนักแสดงมากฝีมือที่การันตีด้วยรางวัล ในการทำงานครั้งนี้เธอได้ร่วมงานกับทีมมืออาชีพมากมาย ไม่ว่าจะเป็นช่างภาพ หรือนักแสดงดาวรุ่ง บทภาพยนตร์นั้นดัดแปลงมาจากเรื่องสั้น Home for Chinese New Year เมื่อจิ่งป๋อหรัน นักแสดงหญิงได้อ่านบทเรื่องนี้ เธอบอกว่าตกหลุมรักมันในทันที หลังจากนั้นเธอก็ได้พบกับเรเน่ ทั้งสองได้พูดคุยเกี่ยวกับเนื้อหา รวมถึงความคิดเห็นต่างๆ ซึ่งจิ่งป๋อหรันยินดีอย่างยิ่งที่จะได้เป็นส่วนหนึ่งของเรื่อง
การดำเนินเรื่องจะเล่าสลับกันระหว่างอดีตกับปัจจุบัน อดีตที่เต็มไปด้วยสีสัน และปัจจุบันที่ถูกแทนที่ด้วยภาพขาวดำ มันเป็นเรื่องราวของความรักอันน่าหลงใหลในช่วงวัยหนึ่ง แต่เมื่อเติบโตเราก็ต้องยอมรับว่าบางครั้งความรักนั้นก็ไม่ได้งดงามตามที่คาดหวัง
ในเทศกาลสำคัญๆ ต่างๆ วันเหล่านั้นมักถูกยกให้เป็นวันครอบครัว หนุ่มสาวหรือคนไกลบ้านต่างเดินทางไกล เพื่อกลับไปหาพ่อแม่พี่น้อง ซึ่งการเดินทางในปีหนึ่งนั้นทำให้หลิน เจี้ยนชิง ได้พบกับฟาง เสียวเสี่ยว อดีตคนรักที่เคยฝันจะมีอนาคตร่วมกัน มันทำให้ทั้งสองได้หวนนึกย้อนไปยังวันวานที่ผ่านมา และมองมันอีกครั้งด้วยสายตาที่เปลี่ยนไป
ในอดีตเสียวเสี่ยวกับเจี้ยนชิงเป็นเพียงเพื่อนกันเท่านั้น พวกเขาคือหนุ่มสาวที่ต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ว่าจะด้านการงาน ความรัก หรือแม้แต่เงินทอง ทั้งคู่จึงต่างดิ้นรนเพื่อไปให้ถึงฝั่งฝัน และวันเหล่านั้นก็ทำให้ได้ใกล้ชิดกันมากขึ้นจนตกลงคบกันในที่สุด แต่มันเป็นความรักที่ทำให้เดี๋ยวล้มเดี๋ยวลุกอยู่มากทีเดียว แทนที่จะคอยเป็นแรงใจให้กันในยามทุกข์ มันกลับเป็นแรงผลักให้ถอยห่างไปจากกัน แล้วสุดท้ายพวกเขาก็ทำทุกอย่างพังไปกับมือ ซึ่งต่อให้อยากแก้ไขมันเท่าไร มันก็มาไกลเกินกว่าจะหยิบมันขึ้นมาปัดฝุ่น ปัจจุบันแค่นำพาเรามาใกล้กัน เพื่อชี้ให้เห็นว่าวั้นนั้นเราไร้เดียงสากันขนาดไหน เรามองข้ามสิ่งสำคัญอะไรไป และเราคงได้ทำเต็มที่แล้วเพื่อจับมือกันไว้ แม้สุดท้ายเราจะร้างลาจากกันไป ดังนั้น ขอแค่วันนี้เรามีความสุขดีในเส้นทางที่เราเลือกก็พอ
Marriage Story (2019)
ภาพยนตร์รักที่เราต่างรู้ว่าจบลงด้วยไม่ดีเรื่องนี้เป็นผลงานของผู้กำกับโนอาห์ บอมบัค เขาลงมือเขียนบทเอง โดยที่เรื่องราวส่วนใหญ่มาจากประสบการณ์จริงครั้งเขาหย่าขาดจากเจนนิเฟอร์ เจสัน ลีห์ นักแสดงที่หลายคนคุ้นหน้าจาก The Hateful Eight (2015) และ Annihilation (2018)
นี่นับเป็นครั้งที่สามของสการ์เล็ตต์ โจแฮนส์สัน ที่เธอแสดงในภาพยนตร์ซึ่งได้รับแรงบันดาลใจมาจากประสบการณ์จริงในการเลิกราของนักเขียน-ผู้กำกับ โดยสองเรื่องก่อนหน้านี้ได้แก่ Lost in Translation (2003) และ Her (2013) ผลงานของอดีตคนรักอย่าง โซเฟีย คอปโปลา และสไปค์ โจนส์
ภาพยนตร์เปิดมาด้วยข้อความรักมากมายที่พรั่งพรูออกมาจากปากของแต่ละคน ไล่เรียงเรื่อยมาตั้งแต่ครั้งแรกพบจนถึงปัจจุบัน แต่ก่อนที่มันจะหวานฉ่ำไปมากกว่านั้น ภาพก็ตัดกลับมายังคู่รักคู่หนึ่งที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาใหญ่ในชีวิต นั่นคือการหย่าร้าง ซึ่งครั้งนี้มันจะเกิดขึ้นจริงๆ ไม่มีการหวนคืนดีหรือปรับตัวเข้าหากันอีกแล้ว
ความสัมพันธ์ระหว่างนิโคลและชาร์ลีต้องมาถึงจุดจบ แต่ไม่ว่าจะด้วยความรักหรือความไม่รักพวกเขาก็ต้องการให้มันจบลงอย่างราบรื่นมากที่สุด ทั้งนี้ก็เพื่อไม่ให้เฮนรี ลูกชายเพียงคนเดียวต้องได้รับผลกระทบจากเรื่องนี้ไปด้วย แต่เรื่องมันเริ่มส่อไปในทิศทางที่ดูจะยุ่งยากขึ้นทันทีเมื่อนิโคลตัดสินใจใช้ทนาย เพราะมันก็นำไปสู่การต่อสู้ที่ยืดเยื้อขึ้น แต่ก็อาจจะยุติธรรมดีกับทั้งสองฝ่าย แต่ชีวิตด้านหน้าที่การงานของชาร์ลีก็เป็นอันต้องสะดุด เขาต้องคอยเทียวไปเทียวมาจากนิวยอร์กสู่ลอสแองเจลลิส ไม่อย่างนั้นเขาจะเสียสิทธิ์เลี้ยงดูลูกไป ซึ่งนั่นเป็นสิ่งเดียวที่เขาไม่ต้องการ ความอึดอัดใจค่อยๆ ลุกลามจนขยายใหญ่ พวกเขาทิ่มแทงกันด้วยคมดาบที่เฉือดเชือนตัวเองไปด้วย ทั้งๆ ที่รักกัน แต่สุดท้ายเรากลับพรากหัวใจ ‘เรา’ ด้วยเงื้อมมือตัวเอง