เมื่อพูดถึง ‘วันแห่งความรัก’ เราก็จะนึกถึงความรักของคู่รัก แม้ว่าคนส่วนใหญ่จะชินตากับ ‘ความรัก’ ระหว่างคู่รักชายหญิง ที่ห้อมล้อมเราไว้จนราวกับว่ามันเป็นบรรทัดฐานของความรักที่จำกัดไว้ให้แก่คู่รักต่างเพศเท่านั้น (Heteronormativity) จนเราอาจหลงลืมไปว่าความรักนั้นไม่เคยจำกัดนิยามตัวมันเองเพื่อเพศใดเพศหนึ่งเลย

แล้ว ‘รัก’ ของชาว LGBT (เลสเบี้ยน เกย์ ไบเซ็กชวล ทรานส์เจนเดอร์) นั้นเป็นอย่างไร? ชีวิตจะหวานชวนจิ้นเหมือนซีรีส์เกย์ที่กำลังเป็นที่นิยม หรือจะหดหู่เหมือนหนังเลสเบี้ยนที่กวาดรางวัล หรือจะแซ่บเปรี้ยวซ่าเหมือนหนังทรานส์ หรือจริงๆ แล้วมันก็เป็นเหมือนหนังรักสุดแมสที่ผ่านทั้งความเข้าใจผิดและอุปสรรค แต่ทุกคนสมหวังกับคนที่ใช่ในตอนจบเสมอ

The Momentum ชวน 3 คู่รักต่างไลฟ์สไตล์หลากอาชีพ มาร่วมแชร์มุมมองความรักที่ครบรส ทั้งเรื่องราวของเดตแรก นิยามความรัก คนที่ใช่ และวันวาเลนไทน์

โอ๊ต มณเฑียร & Jonas Dept

Jonas Dept (ทางซ้าย) และ โอ๊ต มณเฑียร (ทางขวา)

หากคุณเป็นคนที่ติดตามแวดวงศิลปะก็น่าจะคุ้นชื่อ โอ๊ต มณเฑียร ศิลปิน นักเขียนประจำนิตยสาร a day และอาจารย์สอนหลักสูตร CommDe ภาควิชาการออกแบบอุตสาหกรรม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ซึ่งวันนี้นอกจากเขาจะชวนแฟนหนุ่ม Jonas Dept นักเปียโนและนักประพันธ์เพลงชาวเบลเยียม มาจัดแสดงนิทรรศการ ‘My boyfriend is a pianist, he plays me love songs’ แล้ว เขายังมาแชร์เรื่องราวความรักของทั้งคู่กับทาง The Momentum อีกด้วย

เดตแรก รถไฟไทย อยุธยา

โอ๊ต: จริงๆ แล้วพวกเราเจอกันครั้งแรกที่บาร์ ตอนนั้นไปกับเพื่อนๆ ซึ่งในกลุ่มเพื่อนของพวกเราก็คือรู้จักกัน แล้วตอนนั้นประมาณตี 5 ที่เราสองคนได้คุยกันแล้วก็แลกเบอร์กันไว้

Jonas: แต่ถ้าจะนับว่าเป็นเดตแรกที่ได้ใช้เวลากันจริงๆ คงจะเป็นตอนที่ไปซื้อมอเตอร์ไซค์ที่อยุธยา

โอ๊ต: วันนั้นอยู่ๆ เขาก็ทักเรามาว่าฉันจะไปซื้อมอเตอร์ไซค์ที่อยุธยา จะไปด้วยกันไหม? แบบเซอร์ไพรส์มากๆ แต่เราก็ไปนะ (หัวเราะ) จำได้เลยว่าซื้อรถไฟเที่ยวสุดท้ายคืนนั้นเลย จากดอนเมืองไปอยุธยา แล้วอย่างที่ทราบกันก็คือรถไฟไทยก็มีความดีเลย์ เราได้คุยกันตลอดทาง และก็นับได้ว่าเป็นจุดเริ่มต้นความสัมพันธ์ของพวกเรา

Jonas: ผมเป็นคนที่ spontaneous มาก ไม่ชอบแพลนอะไรล่วงหน้า

โอ๊ต: จำไม่ได้แล้วว่าพวกเราใช้เวลาบนรถไฟกันเท่าไร คือ Time doesn’t really exist when you’re on a good date.

Jonas: ก่อนหน้านั้นพวกเราก็มีแชตคุยกันบ้าง ส่วนมากเป็นเรื่องศิลปะ ผมเซอร์ไพรส์มากที่รู้ว่าโอ๊ตเป็นศิลปิน ซึ่งผมก็ประทับใจ ตอนนั้นเลยอยากรู้ว่าถ้าเราชวนเขาไปอยุธยา มันอาจดูเป็นแผนบ้าๆ ก็อยากรู้ว่าเขาจะตอบอย่างไร ซึ่งเขาก็ โอเค และผมประทับใจทริปอยุธยามาก รวมถึงประหลาดใจด้วย

โอ๊ต: คือหลังจากไปจัดการเรื่องมอเตอร์ไซค์กันแล้ว เราก็พาเขาไปเที่ยว ไปดูพิพิธภัณฑ์ที่เราร่วมทำ ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่ได้บอกเขา

Jonas: พอเข้าไปน้องๆ ที่นั่นก็มากรี๊ดพี่โอ๊ต (หัวเราะ) คือผมประทับใจมาก หลังจากนั้นก็พาเขาซ้อนมอเตอร์ไซค์กลับมาที่สตูดิโอ ที่บ้านของเขา คืนนั้นเขาก็ถามว่าจะขอวาดรูปผมได้ไหม

ความสัมพันธ์ งานศิลปะ

นิทรรศการซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Galleries’ Night Bangkok เมื่อต้นเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมานั้น เป็นการร่วมแสดงงานศิลปะด้วยกันครั้งแรก เกิดมาจากช่วงเวลาที่ทั้งสองคนอยู่บ้าน และสะท้อนความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขา

โอ๊ต: เวลาเราอยู่บ้าน Jonas จะเล่นเปียโน นั่งเล่นเพลงรัก ส่วนเราก็จะวาดรูปเขาตอนเล่นเปียโน มันเหมือนเกิดภวังค์อะไรบางอย่าง เป็นพื้นที่แสดงความสัมพันธ์ที่ละเอียดอ่อน ละมุนละไม มีสมาธิ มันเป็นพื้นที่ที่เกิดขึ้นขณะเราวาดรูปตอนที่เขาเล่นเพลงรักให้เราฟัง เราเลยอยากจะลองดูว่าเราจะเชิญคนอื่นที่มาร่วมงานเข้าไปในพื้นที่นั้น ให้รู้สึกถึงภวังค์รักของเขาแบบที่เรารู้สึกในขณะที่เขาเล่นเพลงรักให้เราฟังได้หรือไม่ มันก็เลยเป็นโจทย์ของโชว์นี้ และเป็นที่มาของชื่อโชว์ ‘My boyfriend is a pianist, he plays me love songs.’ เพราะเราอยากให้คนที่มาสวมรอยเท้าของเราว่าในขณะที่เขาวาดรูประหว่างฟังเพลง จะสามารถนำพาเขาเข้าไปในภวังค์หรือภาวะนั้นได้ไหม ในการทำงานด้วยกัน Jonas เลือกเพลงเอง ซึ่งแตกต่างจากงานปกติที่จะเล่นเพื่อเล่าเรื่องราวอะไรบางอย่าง เช่น ตอนนี้กำลังเตรียมโปรดักชันที่จะแสดงที่ทองหล่อช่วงสิ้นเดือนนี้ หรือเวลาทำงานให้บัลเลต์หลวงที่อังกฤษ แต่ครั้งนี้เป็นศิลปะ ซึ่งเขาจะไม่ต้องคิดถึงผู้ชม แต่จะคิดถึงการถ่ายทอดอารมณ์ของตัวเขาเอง ซึ่งนั่นก็คือความรักระหว่างเขากับเรา

Jonas: ไอเดียการทำโชว์นี้มันเกิดขึ้นระหว่างที่ผมคุยกับเขาเกี่ยวกับการเตรียมงานครั้งหน้าว่าจะทำอย่างไรให้ผู้ฟังเข้ามามีส่วนร่วมด้วยดี ซึ่งเราก็นั่งถกไอเดียกันสนุกเลย

โอ๊ต: ความสัมพันธ์ของพวกเราเป็น collaborative relationship พวกเราคุยกันเยอะมาก เพราะพวกเราเป็นคนครีเอทีฟทั้งคู่ ชอบกิจกรรมที่มีส่วนร่วมกัน ชอบอะไรที่เป็น non-traditional รักความตื่นเต้น ชอบการใช้มิกซ์มีเดีย ที่รวมทั้งแบบดั้งเดิมและความร่วมสมัยเข้าด้วยกัน พวกเราจูนกันติด จริงๆ แบบนี้อาจจะไม่เรียกว่าการทำงานก็ได้ เหมือนเราใช้ชีวิตร่วมกันในทุกๆ วัน ตั้งแต่ช่วยกันแต่งบ้าน มีการแชร์ไอเดีย คุยกันเรื่องหนังสือ อย่างการแสดงนี้มันก็เป็นตามธรรมชาติ

Jonas: เราไม่ต้องคิดมากเลย มันเป็นธรรมชาติ

โอ๊ต: ปกติแล้ว Jonas จะเป็นนายแบบวิชาวาดรูปของเราอยู่แล้ว พอรู้ว่าจะมีงาน Galleries’ Night และสเปซนี้ก็เลยมาลองดู แต่ครั้งนี้คือรวมส่วนของเขาซึ่งเป็นเสียงดนตรีกับการวาดรูปของเรา มา collaborate กัน และแชร์ความรักของเราในรูปแบบของความสร้างสรรค์

วาเลนไทน์แรก ของขวัญ

Jonas: ปีนี้จะเป็นวาเลนไทน์แรกของพวกเรา แต่ไม่มีแพลนอะไรนะ ผมไม่เคยแพลน

โอ๊ต: ไม่มีแพลนสำหรับวันวาเลนไทน์เลย สำหรับเราการแสดงนี้ (นิทรรศการ My boyfriend is a pianist, he plays me love songs) เกี่ยวกับเรา และเป็นของขวัญสำหรับความสัมพันธ์ของพวกเราแล้ว

Jonas: สำหรับผม วันวาเลนไทน์คือช่วงเวลาที่เราไม่ต้องแคร์อะไร แค่ใช้เวลาด้วยกัน ถ้าพูดถึงการให้ของขวัญหรือมื้อค่ำพิเศษ ผมว่าเราทำมันทุกสัปดาห์ก็ได้ ทุกวันก็ยังได้ แต่การใช้เวลาอยู่ด้วยกันนี่คือสำคัญ

โอ๊ต: จริงๆ เราไม่เคยฉลองวาเลนไทน์นะ

Jonas: จริงเหรอ? ที่ผ่านมาทั้งชีวิต?

โอ๊ต: เราเก็บกดตอนเด็กๆ ที่ไม่มีใครเอาสติกเกอร์หัวใจมาแปะ แต่ปีนี้ก็คิดถึงเขาแหละ เพราะวันเกิดก็ใกล้วันวาเลนไทน์ (นิ่งคิด) คือเราก็รักเขาทุกวัน ไม่ต้องวันวาเลนไทน์หรอก แต่เราก็มองว่ามันเป็นโอกาสที่ดีที่เราจะได้เฉลิมฉลอง โดยเฉพาะชาว LGBT ซึ่งเรามองว่ามันสำคัญนะ “We have to step out and celebrate who we are with no fear. We have to show the world that we’re proud and we have love the same way. We’re happy, and they should be happy for us. So Valentine’s day is important.” (เราจะต้องก้าวออกมา เฉลิมฉลองอย่างไร้ความกลัว และแสดงออกให้โลกเห็นว่าพวกเรานั้นมีความภูมิใจและก็มีความรักที่เหมือนกัน เรานั้นมีความสุขและพวกเขาก็ควรมีความสุขให้กับเรา นั่นก็เป็นส่วนหนึ่งของความสำคัญในวันวาเลนไทน์)

นิยามความรัก

โอ๊ต: ตอนนี้สำหรับเรา รักคือพลังแห่งการสร้างสรรค์ แรงผลักดัน ความรักเป็นสิ่งที่ช่วยดึงส่วนที่ดีที่สุดของเราออกมา ทั้งในการทำงานสร้างสรรค์และในชีวิตของเรา และยังเป็นสิ่งที่ทำให้เรากล้าออกจากกล่อง รวมทั้งขยายพื้นที่กล่องนั้นอีกด้วย

Jonas: ผมก็อยากจะพูดเหมือนกัน ความรักเป็นเหมือนแรงผลักดันให้ผมเป็นคนที่ดีที่สุด

โอ๊ต: เรารู้สึกว่าพวกเราเป็นคนที่รู้จักกันมานานแล้ว แต่เพิ่งมาเจอกัน

Jonas: เราไม่ต้องพยายามที่จะทำความรู้จักกันเลย

โอ๊ต: ใช่ เหมือนแค่แกะห่อออกมา แล้วก็พบว่าเราก็รู้จักกันอยู่แล้ว

จอย & เชอรี่

จอย (ทางซ้าย) และ เชอรี่ (ทางขวา)

หากพูดถึงอดีตโซเชียลมีเดียสุดฮิตอย่าง hi5 ก็อาจจะมีบางคนส่ายหน้าไม่รู้จัก แต่สำหรับหลายๆ คนรวมถึงคู่รักคู่นี้มีเรื่องเล่าพร้อมที่จะแชร์ การเจอกันครั้งแรกบนโลกออนไลน์เมื่อ 8 ปีก่อน จากคำแนะนำของเพื่อน เติบโตกลายเป็นความสัมพันธ์เกือบ 4 ปี ระหว่างนักภูมิสถาปนิก จอย และ เชอรี่ Business Developer ซึ่งชวนเรามานั่งรับลมหนาวเดือนกุมภาพันธ์ที่เกือบหลงลืมที่สวนรถไฟ พร้อมแชร์เรื่องราวความรักของคนทั้งคู่ใต้ไออุ่นแสงแดดยามเย็น

Hi5 เดตแรก โอกาสครั้งที่สอง

จอย: ต้องบอกก่อนเลยว่าจริงๆ แล้วเราชอบมองคนที่ภายนอก เราชอบผู้หญิงสวย (หัวเราะ) เจอน้องครั้งแรกใน hi5 เมื่อ 7-8 ปีก่อน น้องเขาเพิ่งอายุ 18 ตอนนั้นเราโสด เพื่อนเลยแนะนำให้ แล้วเห็นจากโพรไฟล์ก็รู้ว่าน่าจะชอบผู้หญิงและดูรูปก็น่ารักดี เลยลองโทรไปนัดขอเจอเลย จำได้ว่านัดที่พารากอน ตอนแรกไม่ค่อยประทับใจเลย เพราะนางมาเลตเป็นชั่วโมง เราก็นั่งรอไป แต่พอมาแล้วก็ดีนะ ชอบมากที่น้องมันดูไม่กลัวอะไรเลย วันนั้นนัดไปดูหนัง แล้วก็แบบว่าเลว (หัวเราะ) เล่าได้เปล่า?

เชอรี่: ไม่เอา แค่นั้นก็พอแล้ว ไม่ต้องเล่าลึก

จอย: เราจองแถวปกติ แล้วเห็นว่าเก้าอี้ love seat มันว่าง เธอก็ลากขึ้นไปนั่ง

เชอรี่: เฮ้ย เราอาย ไปเล่าอะไรเนี่ย

จอย: เรารู้สึกว่าตัวเองเป็นคนดี ใสๆ มาตลอด พอมาเจอใครที่ชวนมาทำอะไรดาร์กไซด์แบบนี้ รู้สึกว่าชีวิตมีความตื่นเต้นขึ้นมา (หัวเราะ) ไม่ค่อยดีเท่าไร แต่ก็เป็นเรื่องที่เราจำได้มาถึงปัจจุบัน

เชอรี่: ทำไมเราจำไม่เห็นได้เลย

จอย: นี่คือที่เจอครั้งแรก แต่ตอนนั้นก็ยังไม่ได้คบกันนะ เราจีบๆ คุยๆ แต่จีบไม่ติด แล้วตอนนี้ก็ขี้เกียจจะจีบแล้วด้วย รู้สึกว่าน้องแม่งดาร์กไซด์มาก หลายอย่าง (หัวเราะ) ไม่ไหวแล้ว ออกมาดีกว่า

เชอรี่: จีบติด

จอย: ติดเหรอ? (หัวเราะ) ตอนนั้นรู้สึกว่าเราจีบไม่ติดนะ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายไปมีแฟน แล้วก็กลับมาเจอกันอีกทีหนึ่งอย่างบังเอิญ ประมาณ 4 ปีก่อน พอเจอกันรอบหลังถึงมาคบกัน

เชอรี่: จริงๆ เราชอบพี่เขานะ แต่เรายังเด็กด้วยมั้ง ก็เลยไม่ได้คิดอะไรจริงจัง แล้วก็หายไปเพราะไม่ได้ติดต่อกัน

จอย: ตอนนั้นเขาดูเป็นคนที่ไม่ค่อยแคร์ใครเลย แบบไม่สนใจ แล้วเราก็ไม่รู้จักเขาดี พอเราไปจีบเขา เราเป็นคนคาดหวัง แบบส่งข้อความไปก็อยากให้เขาตอบ พอเขาไม่ตอบอะไรกลับมา เราก็เฟลอะ ก็เลยยิ่งรู้สึกว่าคงไม่ติดแล้ว ออกมาก่อนดีกว่า ซึ่งน้องเขาอาจจะงงๆ ว่า อ้าว พี่เขาหายไปไหนว้า

เชอรี่: ระหว่างนั้นก็มีเฟซบุ๊กกันนะ แต่ไม่ค่อยได้คุยกัน เพราะเขาก็มีแฟนของเขา ดูรักกันมาก

จอย: รักสิ รัก

เชอรี่: ตอนที่มาเจอกันอีกทีเราทำงานอยู่อ่อนนุช แล้วจำได้ว่าพี่จอยเคยบอกว่าทำงานอยู่แถวนั้นก็เลยลองทักไปดูว่ายังอยู่แถวนั้นไหม ปรากฏว่าพี่ย้ายมาอยู่ลาดพร้าวแล้ว เราก็อ้าว อยู่ตรงข้ามกันเลย ก็เลยได้นัดกินข้าวกัน

จอย: แล้วก็บังเอิญโสดด้วยกันทั้งคู่ โสดได้ 2-3 เดือน แต่พอเจอกันอีกรอบก็ไม่มีใครจีบใครก่อน เจ็บมากกับความรัก และรู้สึกว่าโอเคกับความโสด แบบไม่ต้องมีแฟนก็ได้ แต่พอได้เจอน้องเขาก็รู้ตัวแหละว่ายังชอบอยู่ เห็นแล้วก็ยังมีความตื่นเต้นนั้นอยู่ แต่ไม่คิดจะจีบเลย อยากโสดอยู่ แต่พอมีโอกาสได้นัดเจอ ได้คุยเรื่อยๆ มันก็พัฒนาไปเอง ไม่ได้ตั้งใจ รู้ตัวอีกทีก็คบกัน

เชอรี่: อยู่ดีๆ ก็ย้ายเข้ามาแล้ว (หัวเราะ)

จอย: ใช่ ย้ายมาอยู่ด้วยเลย พอเราไม่ได้คาดหวังอะไรแล้ว รอบหลังมันเลยสมูทขึ้นด้วย รอบแรกเราคาดหวังมากไง โทรไปก็อยากให้เขารับ ถ้าเขาไม่รับก็เฟล รอบหลังก็แค่คิดว่าก็เป็นน้องที่รู้จักกัน แต่กลับกลายเป็นว่าได้คบกัน แล้วก็เพิ่งมารู้ทีหลังว่า สมัยก่อนเขาไม่แคร์ใครจริงๆ ใครจะโทรมาก็โทร ถ้าเขาจะนอนก็จะนอน ไม่รับสาย ไม่สนใจ ก็เข้าใจนิสัยเขามากขึ้น

เชอรี่: นี่น้ำตาลคลอเลยเปล่า? ซึ้งเลยซึ้ง แต่นี่แอบหลอกด่าเยอะนะเนี่ย (หัวเราะ) ที่กลับมาเจอกันอีกครั้งก็ยังชอบเขานะ พี่เขาน่ารักดี เราก็ยังคิดถึงวันเก่าๆ ที่เคยคุยกัน จำได้ว่าเขาเป็นคนที่น่ารัก และคิดว่าตอนนั้นมันส่งผลมากนะ ปกติไม่ใช่คนเปิดใจอะไร ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยรู้จักที่เข้ามาจีบหรือมาคุยนี่ใช้เวลานานมากกว่าเราจะเปิดใจ แล้วก็เป็นคนไม่ชอบใครง่ายๆ อย่างพี่จอยนี่เรารู้สึกว่าคุ้นเคย รู้จักกันมานาน เราก็เลยเปิดใจให้เขาง่ายดี ทำให้ได้คบกันไวในรอบหลัง

จอย: ก็ไม่ไวนะ เป็นเดือนเลย

หมดโปร วาเลนไทน์

จอย: จำไม่ได้แล้วอะว่าปีก่อนเซอร์ไพรส์อะไร ปีนี้คงหาเวลากินข้าวมื้อดีๆ ก็โอเคแล้ว ปกติเรานิสัยต่างกันมาก สิ่งที่เหมือนกันจริงๆ ชอบกินอะไรคล้ายๆ กัน คิดว่าถ้าได้กินร้านอาหารที่โอเคก็พิเศษแล้ว เพราะจะว่างตรงกันยากมาก ยิ่งพี่จะเลิกงานเวลาปกตินี่ยากมาก แบบต้องวางแพลนเลยว่าวันนี้ห้ามทำงานดึก เพราะจะไปกินข้าวกับเขา เราก็ต้องลุยงานดึกก่อนหน้านั้น

เชอรี่: คู่เราไม่ค่อยมีอะไรเซอร์ไพรส์

จอย: เรียบง่าย ก็มีปีแรกๆ ที่เซอร์ไพรส์กันบ่อยหน่อย แบบวันเกิด วาเลนไทน์

เชอรี่: อ้าว นี่หมดโปรแล้วเหรอ?

จอย: (หัวเราะ) ไม่หรอก (นิ่งคิด) แต่ดีแล้วที่น้องพูดมา จะได้กลับไปคิดก่อน

เชอรี่: ไม่แน่ปีนี้อาจจะพาไปซื้อมือถือ แต่ใช้เงินเธอซื้อนะ นี่บอกเลยไม่เซอร์ไพรส์

จอย: นั่นเรียกว่าพาไปดูมือถือ แบบถ้าชอบก็เอาตังค์วางนะ (หัวเราะ)

ไลฟ์สไตล์ ชีวิตคู่ ครอบครัว

จอย: นอกจากเรื่องกินที่ชอบ ที่เหมือนกันก็คงจะมีเรื่องต่อยมวย คือเราชอบออกกำลังกายมาก เป็นคนแอ็กทีฟ ส่วนนี่ก็พาสซีฟมากเลย พอเห็นเขาอยากต่อยมวยก็เลยไปด้วย แต่พอไปจริงๆ ก็ไปต่อยกันไม่กี่ครั้ง

เชอรี่: เป็นสิบอยู่นะ

จอย: แล้วก็มีไปเที่ยว ล่าสุดก็มีไปญี่ปุ่น

เชอรี่: แต่จริงๆ เราไม่ค่อยว่างกันเท่าไร

จอย: ถ้ามีเวลาหน่อยก็ไปใกล้ๆ พัทยา หัวหิน ก็โอเคแล้ว ได้เปลี่ยนบรรยากาศ หาอะไรอร่อยๆ กิน เปลี่ยนที่นอน แบบไปเที่ยวกลางคืนบ้าง (หัวเราะ) ไปทำอะไรสนุกๆ ร่วมกัน อยู่กันเหมือนเป็นเพื่อนเป็นพี่เป็นน้องกันด้วย

เชอรี่: เราอยู่กันสองคน ก็อยู่ด้วยกันตลอด ไม่ต้องมีใครก็ได้

จอย: ส่วนพ่อแม่พี่อยู่หาดใหญ่ เราก็คิดว่าพ่อแม่ก็รู้นะว่าเราชอบผู้หญิง มีแฟนก็พาไปบ้านตลอด แต่ก็ไม่ได้บอก เขาน่าจะระแคะระคายตั้งแต่เราเด็กๆ แล้ว สมัยมัธยมปลายก็เคยคบทอม แม่ก็มาขอเราเลยว่าไม่โอเค บอกเราว่าญาติพี่น้องไม่มีใครเป็นแบบนี้ ตอนนั้นพี่ก็พยายามเปลี่ยนให้นะ ไปเดตกับผู้ชายที่มาจีบบ้าง แต่ก็ไม่รู้สึกอะไรเลย รู้สึกไม่ไหว ก็เลยเป็นตัวเองแบบนี้แหละดีกว่า แล้วก็เลือกคบคนหน่อย แบบสนิทกับใครก็พาไปให้แม่สกรีน ซึ่งผู้ใหญ่เขาก็พอดูออกแหละ แม่ก็จะบอกว่าคนนี้ไม่โอเคนะ แม่ว่าคนนี้โอเค แต่เขาก็คุยในทำนองว่าเพื่อนคนนี้เป็นเพื่อนสนิทเรา ไม่เคยเปิดประเด็นกันจริงจัง แต่ก็ไม่มีปัญหาอะไรกันนะ ส่วนพ่อเขาไม่ค่อยยุ่งเรื่องส่วนตัว แบบลูกสาวแฮปปี้ก็แฮปปี้

เชอรี่: เสาร์อาทิตย์ก็พาพี่จอยกลับไปบ้านบ้าง พ่อแม่ก็รู้นะ แม่ก็ไม่ได้ว่าอะไร แต่พ่อจะมีไม่ชอบบ้าง แต่เขาก็ไม่ได้พูดว่าให้เลิกคบหรืออะไร

จอย: ก็มีตึงๆ บ้าง เราก็เข้าใจผู้ใหญ่แหละว่าต้องใช้เวลา

เชอรี่: แต่หลายๆ ปีที่ผ่านมาก็ดีขึ้นนะ คือตอนแรกๆ เขาก็ไม่รับไหว้พี่จอยเลย

จอย: เราไหว้ทักทายแล้วเขาเดินไปเลย เราก็ต้องอดทนมาก

เชอรี่: หลังๆ ไปกินข้าวด้วยกันบ่อย

จอย: เขาก็เริ่มชวนเราคุยว่าทำงานเป็นอย่างไรบ้าง มันก็ต้องใช้เวลา

นิยามความรัก การแต่งงาน

จอย: ความรักก็เหมือนธรรมชาติ และความรักควรทำให้ธรรมชาติที่เราเป็นอยู่มันสวยงามมากขึ้น

เชอรี่: แปลว่าอะไรเนี่ย อธิบายหน่อย (หัวเราะ)

จอย: อย่างแฟนกัน เวลาเราอยู่กับเขาเราก็สบายใจขึ้น สบายๆ เป็นตัวของตัวเอง หรือควรทำให้เราเป็นคนที่ดีขึ้นด้วยในทุกด้าน เหมือนเป็นแรงบันดาลใจให้เราใช้ชีวิตอยู่ต่อไปเพื่อเขา เพื่อตัวเราที่ดีขึ้น และเพื่อเขาจะได้มีความสุขที่เห็นว่าเราดีขึ้น และก็ไม่ต้องคาดหวัง

เชอรี่: ไม่รู้สิ สำหรับเราแค่ได้เห็นหน้าเขา เราก็แฮปปี้แล้ว แบบไม่ต้องมีอะไรมากมาย แค่อยู่ด้วยกันทุกวัน เราก็รู้สึกว่ามันใช่ รักคือมีความสุขที่ได้อยู่ด้วยกัน

จอย: อนาคตเราก็อยากจดทะเบียนได้นะ พี่มองว่านี่ (การสมรสเพศเดียวกันที่รับรองโดยรัฐ) เป็นเรื่องใหญ่ เราควรมีสิทธิในกันและกัน นอกเหนือจากเรื่องความรัก เช่น เรื่องเข้าโรงพยาบาล เราก็ควรจะเซ็นชื่อแทนได้ ส่วนเรื่องใครจะรับได้ไม่ได้นี่ช่างเขาเถอะ ถ้าเขาเห็นคู่รัก LGBT มีความสุขแล้วเขารู้สึกทุกข์ก็เรื่องของเขาแล้ว เราไม่ควรจะไปสนใจมาก แต่คนที่เราควรสนใจคือแฟนเรา ครอบครัวเรา เพื่อนเรา

เชอรี่: ถ้าจดทะเบียนได้ก็ดีค่ะ เพราะเรื่องของสิทธิและประเด็นกฎหมายก็สำคัญ ยิ่งเราอยู่ในสังคมนี้เราก็ต้องใช้ แต่ถ้าถามว่าจะไปแคร์ความคิดชาวบ้านไหม เราก็ไม่แคร์นะ เพราะไม่กระทบอะไรกับชีวิตเราเลย และพอเราคิดจะใช้ชีวิตร่วมกันแล้ว อะไรหลายๆ อย่างในตอนนี้มันก็ไม่รองรับเนอะ

จอย: เธอลอกเราอะ (หัวเราะ)

เชอรี่: ก็เราคิดอยู่เหมือนกันอะ แต่คิดว่าเร็วๆ นี้เมืองไทยก็คงจดได้แล้วล่ะมั้ง

ก้านธูป นคร & เช้ง เสมอแขร์

เช้ง-เสมอแขร์ พวงสำลี (ทางซ้าย) และ ก้านธูป-นคร เฮงมัก (ทางขวา)

ความรักของคู่ที่สามนี้มีจุดเริ่มต้นเหมือนมิวสิกวิดีโอซึ่งตัวเอกทั้งสองพบเจอกันที่ร้านกาแฟ ตั้งแต่สมัยที่ PR สาวสุดแซ่บ ก้านธูป-นคร เฮงมัก กำลังเรียนอยู่ที่คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร ได้พบกับบาริสตาเช้ง-เสมอแขร์ พวงสำลี ที่ทำงานอยู่ที่คาเฟ่ในมหาวิทยาลัย แม้ว่าจะมีนิสัยต่างกัน รวมทั้งอายุที่ห่างกันหนึ่งรอบ แต่ก็ดูเหมือนจะไม่เป็นอุปสรรคมาขวางความสัมพันธ์ที่ทั้งคู่ได้ประคับประคองด้วยกันมากว่า 3 ปีได้

ร้านกาแฟ คำโกหก เดตแรก

ก้านธูป: เรารู้จักกันที่ร้านกาแฟ ตอนอยู่ปี 4 ต้องทำโปรเจกต์จบเลยต้องนั่งร้านกาแฟบ่อย ก็จะมีร้านกาแฟชื่อ Once อยู่ในมหาลัยที่ตอนนั้นพี่เช้งไปช่วยดูอยู่ เมื่อประมาณ 3 ปีก่อน

เช้ง: กว่าจะคบกันไม่ง่ายนะ ลักษณะเด่นเราก็เป็นทอม ส่วนเขาเป็นกะเทย แล้วก่อนที่เราจะคบกันนี่เขาก็มาหลอกเราว่าแปลงเพศแล้ว

ก้านธูป: เริ่มต้นด้วยการโกหกว่าเราแปลงเพศแล้ว คือพูดตรงๆ ตอนนั้นเราจีบเขาก่อน ด้วยนิสัยกะเทยก็กล้าได้กล้าเสีย ถ้าติดก็ดีไป แล้วค่อยมาคิดวิธี แต่ถ้าจีบไม่ติดก็ไม่เป็นไร ปรากฏว่าเขาเล่นด้วย จีบติด ตอนแรกคิดว่าเราก็อยู่ปี 4 คิดว่าหลอกเขาก็ไม่เป็นไร เพราะเดี๋ยวก็เรียนจบแล้วก็คงกลับบ้าน พอห่างกันก็คงเลิกกัน น่าจะไม่เป็นปัญหา ตอนนั้นเพื่อนก็ดี๊ดีรู้งานช่วยกันบอกว่า (เสียงสอง) นี่มันเป็นผู้หญิงนะพี่ มันแปลงแล้ว

เช้ง: เราเป็นคนคบใครก็ให้ใจนะ ปกติก็คบแต่ผู้หญิง สำหรับเราในตอนนั้นการแปลงไม่แปลงไม่เป็นประเด็นแล้ว เรามองว่าเป็นผู้หญิงคนหนึ่ง

ก้านธูป: คือบอกก่อนนะคะว่าการแปลงไม่แปลงนี่ไม่ใช่เรื่องทางเพศ แต่เขาเป็นผู้หญิง ก็คิดว่าเหมือนเขาอุ่นใจเนอะว่าเราแปลงแล้ว

เช้ง: ก็เลยไปปรึกษาที่บ้าน เพราะปกติก็แชร์เรื่องความรักกับที่บ้านตลอด ว่านี่กะเทยที่แปลงแล้วมาจีบ ซึ่งที่บ้านเราก็มองว่ามันไม่ใช่เรื่องใหม่ เขาก็บอกว่าให้ลองดูสิ

ก้านธูป: จริงๆ นี่ก็ถือว่าเป็นเรื่องพีกที่สุดในตอนคบกันก็คือ ตอนโดนเขาจับได้ว่า (เสียงสอง) อ้าว นี่ไม่ยังไม่ได้แปลงนิแก หลังจากคบกันไปประมาณสองสามเดือน เพราะเขาก็เริ่มมีอารมณ์แบบอยากของเขา (หัวเราะ) เราก็อิดออด ไม่ยอมๆ จนเขาเริ่มสงสัย เลยไปปรึกษาเพื่อนเขาว่าทำยังไงดี เพื่อนบอกว่าถ้าสงสัยก็ถามเขาสิ ซึ่งเราก็รู้สึกว่าไหนๆ ก็ถูกจับได้แล้วก็บอกเขาเถอะ แล้วพอบอกไป เราก็ไม่คุยกันวันเดียว แบบต่างคนต่างแยกกันกลับ แต่พอเช้ามาอีกวันทุกอย่างก็เป็นปกติ

เช้ง: เราก็ช็อกนะ เราไม่ชอบที่โกหก เราเองเป็นคนพูดตรงๆ โดนหลอกมาเยอะ ไม่ใช่เรื่องเพศนะ แต่ความรู้สึกเรามันไปแล้ว เหมือนเราอยู่เพื่อดูกันและกันแล้ว รับข้อดีข้อเสียกันได้

ก้านธูป: แม้ตอนนั้นจะยังเพิ่งคบกันเป็นเวลาสั้นๆ แต่เรารู้สึกเหมือนรู้จักกันมานาน

เช้ง: เราหน้าตาดีด้วยแหละ (หัวเราะ)

ก้านธูป: ตอนนั้นสภาพคุณเละกว่านี้มากค่ะ (หัวเราะ) แบบทอมแว้นๆ แต่เราชอบคนที่มีไขมันหน่อย แบบจับๆ ทุบๆ แล้วมันนุ่มดี

เช้ง: หมีๆ แบบนี้เหรอ?

ก้านธูป: ไม่อะ แกเป็นแบบโคอาลา (หัวเราะ) แล้วคือเราเห็นว่าเขาเป็นคนทำงานบริการ ดูเซอร์วิสลูกค้าดี ก็เลยมโนไปเองว่าเขาก็น่าจะเทกแคร์เราได้ เราก็เลยตามจีบเขา

เช้ง: ตอนนั้นก็มีคนมาจีบมาคุย แต่เราเป็นคนชัดเจน เลยเป็นคนขอเขาคบก่อน เพราะอยากให้เคลียร์ๆ กัน เราจะได้ไม่ทำให้คนอื่นคาดหวัง

ก้านธูป: อ้าว แกไม่เคยบอกฉันนิ

เช้ง: แหม ฉันก็หน้าตาดีอยู่ (หัวเราะ) แต่จริงๆ พอเราคุยกับเขาก็รู้แล้วว่าชอบ ตอนขอคบกันก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย

ก้านธูป: เดตแรกคือไปกินข้าวต้มริมทาง แถวมหาลัยนี่แหละ ตอนแรกก็แบบข้าวต้มเหรอ (หัวเราะ) ก็ไม่ได้หวังว่าเขาจะพาไปกินร้านหรูหรอกนะ แต่มันก็แปลกๆ ดีเนอะ เดตแรกกินข้าวต้มเลย โอเคๆ อยู่

เช้ง: ตอนนั้นคิดอะไรไม่ออก ขอคบกันในไลน์ หลังจากที่ตอนกลางวันเราเจอกัน แล้ว พอดึกก็เลยชวนไปกินข้าวต้มโต้รุ่ง คุยๆ แชตๆ กันอยู่ก็เลยขอคบกันเลย เพราะถ้าเขาไม่โอเค เราจะได้ปิดจ๊อบแล้ว

ก้านธูป: เป็นการขอเป็นแฟนกันที่ไม่โรแมนติกเลย แต่เราโอเค เราไม่ชอบความเลี่ยนอะไรอยู่แล้ว จริงๆ ดีลกับแฟนเหมือนดีลขายของ แบบถ้าโอเคก็ซื้อ ไม่งั้นก็บาย เราไปขายคนอื่นต่อ (หัวเราะ) เราเป็นคนแข็งๆ

วาเลนไทน์ นางฟ้าตัวน้อยๆ

เช้ง: เรามีประโยคหนึ่งที่บอกเขาตลอดว่า เขาเป็น ‘นางฟ้าตัวน้อยๆ ของฉัน’

ก้านธูป: ซึ่งเป็นประโยคที่เกลียดมาก (ลากเสียงสูง) เพื่อนชอบเอามาล้อ แล้วยิ่งเรามีเพื่อนกะเทยเยอะ เขาก็จะชอบพูดตอนอยู่กับเพื่อน เราก็รู้สึกว่าดูตัวเราด้วยนะ ไม่ควรจะใช้คำว่า ‘นางฟ้าตัวน้อยๆ’ หรอกเนอะ

เช้ง: น่าจะเริ่มเรียกได้สองสามปี เรารู้สึกเอ็นดูเขา

ก้านธูป: พี่เขาจะมีนิสัยเด็ก แบบชอบทำเสียงเล็กเสียงน้อย

เช้ง: เราเป็นคนโรแมนติกไง หวานๆ แต่เขานี่จะไม่เลย

ก้านธูป: ใช่ เราเป็นคนนิ่งมาก นิ่งขนาดที่ว่าถ้าวันสำคัญไม่มีอะไรมาเซอร์ไพรส์ก็ไม่รู้สึกอะไร

เช้ง: เพราะเราเคยคุยกันแล้วว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดคือการมีกันและกันทุกวันแบบนี้

ก้านธูป: คู่เราไม่ค่อยซื้ออะไรพิเศษให้กัน ปกติจะซื้อของจำเป็นให้กัน แบบก่อนหน้านี้กระเป๋าตังค์เขาขาด เราก็ไปซื้อ หรือตอนนาฬิกาเราพัง เขาก็พาไปซื้อ แต่จะแบบว่าไม่ใช่ (เสียงสอง) เธอ… ซื้อนาฬิกาให้เราหน่อย

เช้ง: หรือการมีลิปสติกเป็นร้อยกว่าแท่งทุกแบรนด์

ก้านธูป: แต่ลิปนี่ซื้อเองนะ แกอย่ามา (หัวเราะ) เรามองว่ามันเป็นของสิ้นเปลือง ควรออกเงินตัวเอง ก็เลยไม่เคยอ้อนให้เขาซื้อให้ ขนาดกินข้าวก็หารกันตลอด หรือสลับกันเลี้ยงกันไป

เช้ง: มีแค่วาเลนไทน์ปีแรกที่มีเซอร์ไพรส์ให้กัน (ก้านธูปแทรกว่า จำไม่เห็นได้เลย) มีให้ดอกไม้กัน จำได้ว่าให้ดอกคาร์เนชัน

ก้านธูป: การที่เขาเดินทางบ่อยด้วยเรื่องงาน ต้องไปเทรนด์พนักงานทำกาแฟ ขึ้นเหนือล่องใต้ตลอด วาเลนไทน์ปีที่ผ่านๆ มาก็เลยอยู่บ้าน ปีนี้ก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน แต่ว่าได้อยู่ด้วยกันวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ซึ่งปกติแล้วเราก็ไม่ค่อยมีเวลาว่างตรงกัน เลยมองว่าการมีเวลาอยู่ด้วยกันนี่มันดีที่สุดแล้ว และเราก็เห็นตรงกันว่าความสัมพันธ์นิ่งๆ เรียบๆ แบบนี้ ไม่ต้องหวือหวา มันอยู่ได้นานกว่า ตั้งแต่ที่คบกันวันแรกจนถึงวันนี้ สามปีกว่าก็ยังเหมือนเดิม แบบไม่มีช่วงโปรโมชัน

ความหลากหลายทางเพศ

ก้านธูป: กะเทยบางคนคิดว่าตัวเองเป็นผู้หญิง แต่เรามองตัวเองว่าเป็นกะเทย เพราะไม่มีจริต ความอ่อนโยน และรูปลักษณ์แบบผู้หญิง ซึ่งเราก็เอ็นจอยกับตัวเองแบบนี้ แฮปปี้กับการแต่งตัวแบบผู้หญิง แต่ไม่ได้อยากทรานส์ตัวเองไปเป็นผู้หญิง คือมันยากที่จะดูแลให้ตัวเองสวยไปจนแก่จนเฒ่า เราไม่ได้มีความเป็นผู้หญิงสูงขนาดนั้น แต่ว่าแต่ละคนเขาก็มีทางของเขาเองแหละ เราจะเรียกแทนตัวเองว่า เควียร์ (queer) บ้าง หรือไม่ก็เลดี้บอย (ladyboy) แต่ก็ไม่ค่อยมีใครมาถามเพราะรูปลักษณ์เราชัดไง

เช้ง: ส่วนเรานิยามว่าตัวเองเป็นหญิงรักหญิง ไม่ได้เป็นทอม ไม่ได้พยายามเป็นแบบผู้ชาย บางทีคิดว่าตัวเองแรดกว่าก้านธูปอีกนะ (หัวเราะ) แต่ก็ยังแทนว่าตัวเองเป็นทอมนะ

ก้านธูป: ก่อนหน้าคบกับเขาเราก็เคยมีแฟนเป็นทอมมาก่อน คือมันเริ่มมาจากที่เรามองว่าทอมชอบเอาใจคนอื่น ก็ตรงกับจริตเราที่ชอบให้คนเอาใจ ก็เลยลองคิดจีบดู ซึ่งก็ไม่ค่อยประสบความสำเร็จนะ แบบคุยกันแป๊บๆ ก็เลิก ก็มีตอนนี้แหละที่อยู่กันมานาน

เช้ง: เราเป็นคนอะไรก็ได้ มองว่าอย่างกะเทยก็เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง ที่สำคัญคือเราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ จะเป็นเพศอะไรก็ได้ และอีกอย่างคือคนที่มาอยู่ด้วยเขาจะรับเรา เช่นจุดที่เราวี้ดว้าย เพราะเราอยู่กับใครก็ได้

ก้านธูป: ยกเว้นผู้ชาย (หัวเราะ) สมัยเรียนเราก็จะโดนเรียกว่า ‘ดี้แรงๆ’ อย่างที่คณะก็มีความหลากหลายมาก แล้วเขาก็รู้กันว่าเรามีรสนิยมแบบนี้ ตอนนั้นถ้ามีทอมคนไหนมาอยู่ใกล้ๆ เรานี่ก็จะไม่มีชะนีคนไหนกล้าจีบทอมคนนั้นเลย แต่จริงๆ ก็ไม่ใช่แบบนั้นเลยนะ

เช้ง: พวกเราคบกันมานี่ยังไม่เคยเจอคนเข้ามาถามนะ แต่เคยเจอสายตาที่มองมา

ก้านธูป: เราเป็นคนไม่แคร์นะ แต่เราแคร์ความรู้สึกเขาไง แต่เอาเข้าจริงก็รู้สึกว่าไม่ค่อยมีคนสนใจนะ เวลาปกติออกไปข้างนอกก็มากสุดแค่จับมือ สงสัยคนอาจจะไม่รู้หรือเปล่า คิดว่าเป็นแบบแม่ลูก พี่น้องกันมั้ง (หัวเราะ) หรือคนอาจจะชินแล้วก็ได้ ปกติเวลาอยู่แถวมหาลัยก็ไม่ค่อยมีคนสนใจ

เช้ง: หรือเวลาเข้ากรุงเทพฯ เขาก็ดูไม่สนใจ ต่างคนก็ต่างอยู่

ก้านธูป: เดี๋ยวนี้ก็ไม่เหมือน 10-20 ปีก่อนที่เพศทางเลือกดูประหลาดมาก เดี๋ยวนี้เหมือนคนจะเปิดรับมากขึ้น อาจเป็นเพราะสื่อด้วยมั้ง เรามีหนังซีรีส์มากขึ้น เริ่มคุยกันมากขึ้น คนก็เริ่มคุ้นชินกันแล้ว

คู่ชีวิต เซ็กซ์

เช้ง: อย่างเราคบกันได้ด้วยใจจริงๆ ไม่ได้มีประเด็นเรื่องเพศสัมพันธ์ แล้วเราก็อยู่กันคนละบ้าน เวลาที่อยู่ด้วยกันก็วันหยุดหรือเสาร์อาทิตย์ เราเลยบอกว่าการมีเวลาอยู่ด้วยกันคือสิ่งที่พิเศษสุดแล้วสำหรับเรา เรารักด้วยหัวใจ

ก้านธูป: เราเหมือนเป็นคู่คิด-คู่ชีวิตกัน เรามองว่ามันมีความแตกต่างระหว่างครอบครัวและคู่ชีวิตนะ คือครอบครัวนี่นอกจากรักกันแล้วก็ต้องสร้างครอบครัว มีสืบทอดทายาท แต่คู่ชีวิตคือใช้ใจคบกันแล้วก็ไม่ต้องคิดถึงอย่างอื่น เราเลยไม่เคยเชื่อว่าเซ็กซ์เป็นเรื่องสำคัญสำหรับความรัก มันเป็นคนละเรื่องกันเลย

เช้ง: เคยโดนถามนะว่าที่คบกับกะเทยนี่เปลี่ยนตัวเองแล้วสิ เปลี่ยนเป็นผู้หญิงแล้วเหรอ
ก้านธูป: โดนถามด้วยว่าอยากมีลูกไหม มาบอกเราว่าก็แกยังไม่ได้ผ่า พี่เขาก็ไม่ตัดมดลูก แต่เราไม่อยากมีลูกและตอนนี้ก็ยังไม่อยากมีอะไรกัน

เช้ง: เวลาถูกถามก็จะแล้วแต่คนเชื่อเลยนะ แต่เราบอกเลยว่ายังไม่เคยมีอะไรกัน

ก้านธูป: เราสองคนเหมือนกันอยู่อย่างคือ เป็นคนไม่แยแส ใครถามเราก็ตอบ จะเชื่อไม่เชื่อก็แล้วแต่ ก็ปล่อยผ่าน คนพวกนี้เหมือนเดินผ่านเข้ามาแล้วก็ถามเรา แบบเดิมมาเพื่อเผือก ให้คำตอบไปก็จบ เพราะมันก็ไม่ได้ทำให้อาชีพการงานอะไรเราดีขึ้นหรือแย่ลง เรามองว่าเขาก็ไม่ได้เป็นห่วง เพราะคนที่เขาแคร์เราเขาจะไม่ถามเราแบบนั้น หรือถ้าถามเราก็ตอบแบบนี้ เอาจริงๆ ว่าถ้าพวกเราแคร์เรื่องนี้ก็คงเลิกกันไปนานแล้วล่ะ ไม่น่าอยู่ด้วยกันมาได้ถึงสามปีสี่ปี

นิยามความรัก แต่งงาน LGBT

ก้านธูป: เราเป็นคนไม่เชื่อเรื่องความรัก แต่เราเชื่อในความผูกพัน คนสองคนอยู่ได้ด้วยความผูกผัน ไม่ใช่ความรัก มันคือการสร้างความผูกพันไปมากขึ้นเรื่อยๆ ประคับประคองกันไปเรื่อยๆ แต่เวลาแชตก่อนนอนก็บอกว่า “รักเธอนะ” เพราะเรามองว่าคำว่า ‘รัก’ เป็นคำแทนเพื่อแสดงความผูกพันของเรา

เช้ง: เรารักด้วยหัวใจ ไม่ว่าเขาจะเป็นยังไง เพศไหนเราก็รัก ซึ่งมันไม่ใช่แค่การให้นะ เรามองว่ามันเป็นมากกว่านั้น

ก้านธูป: จริงๆ พวกเราแต่งงานกันได้นะ พี่เขาอะอยากแต่งงาน แต่เรายังไม่อยากถูกผูกมัด เราชอบอิสระ แต่ถ้าอยากให้แต่งก็แต่งได้นะ ส่วนเรื่องเดียวที่อยากขอกับสังคมไทยคือ ให้มองว่าคนที่เป็น LGBT นี่ก็เป็นมนุษย์เหมือนกัน ก็เป็นเพศเพศหนึ่งเหมือนการเป็นผู้ชาย มันไม่ใช่เพศที่สาม สี่ ห้า หก

เช้ง: เพศไหนก็ไม่สำคัญ สำคัญที่ความรักระหว่างคนสองคนมากกว่า

ก้านธูป: คนอื่นอยากเรียกเราว่าเป็นเพศอะไรก็ได้ แต่เรารู้สึกว่าบางทีพวกคำเรียกมักจะมากับการเหยียดนะ เช่น คำว่า ‘ใจตุ๊ด’ ซึ่งเป็นคำด่า เราว่ามันไม่ใช่ ใจตุ๊ดคืออะไรเหรอ? คือคุณจะมองว่าเราเป็นตุ๊ด กะเทย หรืออะไรก็ได้ แต่อยากให้มองว่าเราก็เป็นคนเหมือนคุณนั่นแหละ

Tags: , ,