การดูภาพยนตร์ถือเป็นการผ่อนคลายอย่างหนึ่ง แต่ภาพยนตร์บางเรื่องก็หนักเกินกว่าจะดูเพื่อผ่อนคลายอยู่เหมือนกัน บางครั้ง หากดูไปแล้ว วันพักผ่อนนี้อาจกลายเป็นอีกวันที่หนักอึ้งไปเลย

ดังนั้นจะมีอะไรเหมาะกับการเยียวยาวันง่ายๆ สบายๆ มากไปกว่าภาพยนตร์ฟีลกู๊ดดีๆ สักเรื่อง เพราะนอกจากจะเป็นการปล่อยตัวปล่อยใจให้ได้พักแล้ว ภาพยนตร์เหล่านี้อาจสร้างแรงบันดาลใจกลับมาให้เราอีกด้วย

 

The Help (2011)

ภาพยนตร์อารมณ์ดีเรื่องนี้ดัดแปลงมาจากนวนิยายขายดีในชื่อเดียวกัน ผลงานของแคทรีน สต็อคเก็ต ฉบับแปลภาษาไทยจัดจำหน่ายโดยสำนักพิมพ์สันสกฤต ในชื่อคุณนายขาว สาวใช้ดำ

The Help ถูกหยิบมาสร้างเป็นภาพยนตร์กำกับโดยเททต์ เทย์เลอร์ ผู้ผันตัวเองจากนักแสดงขึ้นมาเป็นผู้กำกับ ผลงานล่าสุดของเขาคือ The Girl on the Train (2016) ซึ่งก็เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากนวนิยายเช่นเดียวกัน

The Help บอกเล่าความสัมพันธ์ของผู้หญิง และพูดถึงยุคที่การเรียกร้องสิทธิพลเมืองของคนผิวสีเป็นกระแสสำคัญของอเมริกา เนื้อหาเกิดขึ้นในเมืองแจ็คสัน รัฐมิสซิสซิปปี้ ปี 1963 คนผิวสีส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในฐานะคนระดับล่างของสังคม และมีคนผิวขาวเป็นเจ้านายหรือนายจ้าง หลายคนเหยียดเชื้อชาติและแสดงออกถึงความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด

แต่ไม่ใช่กับสกีตเตอร์ สาวผิวขาวที่มีความคิดแตกต่างจากคนอื่นๆ เธอรู้สึกอัดอัดกับทัศนคติการเหยียดสีผิวของเพื่อน เล็งเห็นถึงความไม่เท่าเทียมและการเอารัดเอาเปรียบที่เกิดขึ้น เธอจึงใช้ความสามารถที่มีจากการเรียนและอาชีพมาลงมือกระทำการบางอย่าง สกีตเตอร์ตัดสินใจเขียนหนังสือจากการสัมภาษณ์เรื่องราวของผู้หญิงผิวสีแต่ละคน หนังสือที่จะสร้างปรากฏการณ์และแสดงให้เห็นถึงความเหลื่อมล้ำของสังคมกับมนุษย์ด้วยกันเอง

ภาพยนตร์เล่าประเด็นหนักๆ นี้ด้วยเสียงหัวเราะและมุกตลกที่สอดแทรกได้อย่างน่าชื่นชม นักแสดงแต่ละคนสวมบทบาทได้ดีและมีพลังล้นเหลือ อารมณ์ขันและบาดแผลแทบจะกลายเป็นเนื้อเดียวกัน ซึ่งสร้างความประทับใจให้ผู้ชมได้เป็นอย่างดี

 

The Intouchables (2011)

The Intouchables ภาพยนตร์ฝรั่งเศสที่ดัดแปลงมาจากเรื่องราวในชีวิตจริงของชายคนหนึ่ง กำกับและเขียนบทโดยสองผู้กำกับ โอลิวิเยร์ นากาช และเอริก โตเลอดาโน ภาพยนตร์ทำรายได้มากมายจากทั่วโลก แล้วก็เข้าไปครองใจคนดูอย่างง่ายดาย มียอดขายกว่า 30 ล้านแผ่นนอกประเทศฝรั่งเศส

ฟิลิปป์ มหาเศรษฐีวัยกลางคนที่มีทุกอย่างเพียบพร้อม มั่งคั่งเงินทอง รายล้อมด้วยเพื่อนฝูง รสนิยมดี แต่วันหนึ่งโชคร้ายก็วนมาหาเขา ฟิลิปป์ประสบอุบัติเหตุจากกีฬากระโดดร่ม ส่งผลให้ร่างกายอัมพาตและต้องนั่งรถเข็นตลอดชีวิต ในด้านการเงิน เขาอาจไม่ได้เดือดร้อน แต่ในด้านการใช้ชีวิต แน่นอนว่าย่อมไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป เขาพยายามหาพยาบาลส่วนตัวมาดูแล ซึ่งตามคุณสมบัติที่เขาต้องการ มันก็ช่างยากเย็นเหลือเกินที่จะเจอคนถูกใจ

จนกระทั่งเขาได้มาพบกับดริสส์ เด็กหนุ่มผิวสีเกิดและโตในสลัม นิสัยห่าม ตรงไปตรงมา และยังเข้ากับฟิลิปป์ได้อย่างไม่น่าเชื่อ มิตรภาพสุดขั้วจึงเกิดขึ้น พวกเขาใช้เวลาร่วมกัน ทำเรื่องสนุกๆ ด้วยกัน และเกเรกันแบบเด็กผู้ชายไม่รู้จักโต ทั้งสองต่างเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปให้กันและกัน ความห่วงใยในฐานะเพื่อนมนุษย์ที่ไม่มีอะไรมาแบ่งกั้นนั้นทำให้พวกเขาเรียนรู้ที่จะช่วยเหลือกัน และมีความสุขอย่างบริสุทธิ์ใจ

ภาพยนตร์มีทั้งความอบอุ่นและความเศร้า บางบทสนทนาธรรมดาๆ สามารถทิ่มแทงใจเราจนสะเทือนได้ และมันยังแสดงให้เห็นว่า แม้บ่อยครั้งหากเราเลือกที่จะอยู่คนเดียว มันคงช่วยให้เรารู้สึกสงบและหลีกหนีปัญหาได้ดีที่สุด แต่การมีใครสักคนอยู่เคียงข้าง และพร้อมสนับสนุนเราเสมอ นั่นอาจดีกว่าไม่ใช่หรือ การมีใครสักคนไว้ให้พักพิงยามอ่อนล้าจะช่วยให้หัวใจเราฟื้นฟูได้เร็วขึ้นแน่ๆ

 

The Secret Life of Walter Mitty (2013)

The Secret Life of Walter Mitty ดัดแปลงมาจากเรื่องสั้นของเจมส์ เทอร์เบอร์ ซึ่งเคยถูกนำไปสร้างเป็นภาพยนตร์มาแล้วหนึ่งครั้งในปี 1947 และในปี 2013 เบน สติลเลอร์ก็หยิบมันขึ้นมาปัดฝุ่นใหม่อีกครั้ง ด้วยการกำกับและนำแสดงโดยเขาเอง

ภาพยนตร์เล่าเรื่องชีวิตของวอลเตอร์ มิตตี้ บรรณาธิการภาพนิตยสารท่องเที่ยว L.I.F.E เขามักจะฝันกลางวันไปถึงการผจญภัยอันแสนยิ่งใหญ่ ประสบการณ์อันน่าตื่นเต้นจะเกิดขึ้นที่นั่น มันจะกลายเป็นความทรงจำแสนวิเศษเมื่อนึกถึง ผิดแต่ว่ามันไม่ได้เกิดขึ้นจริง ชีวิตของมิตตี้นั้นค่อนข้างน่าเบื่อ ทำงานแยกตัวจากคนอื่นๆ และนิสัยใจคอของเขาเองก็ออกจะขี้กลัว จืดชืด ใช้ชีวิตซ้ำซาก แม้ว่าเขาไม่ได้อยากให้มันเป็นแบบนั้นสักเท่าไรก็ตาม

แล้วเหตุการณ์พลิกชีวิตก็เกิดขึ้น เมื่อนิตยสารที่มิตตี้ทำงานอยู่ต้องปิดตัวลง การตีพิมพ์เล่มสุดท้ายกำลังจะมาถึง แต่ฟิล์มภาพสำคัญกลับหายไปอย่างไร้ร่องรอย

สิ่งที่มิตตี้ตัดสินใจทำก็คือการไปตามหาแผ่นฟิล์มหมายเลข 25 นั้นกลับมา เขาออกจากเซฟโซนของตัวเอง มุ่งสู่โลกกว้างที่เคยได้แต่เฝ้าฝันถึง และที่สำคัญไปกว่านั้นคือเขาจะได้ตามหาความหมายที่แท้จริงของ ‘ชีวิต’ ด้วย ชีวิตที่ไม่ใช่แค่การตื่นมาทำเรื่องจำเจ ย่ำอยู่กับที่ โดยหวังว่าการเปลี่ยนแปลงจะเดินทางมาถึงเอง ฝันหวานกับสิ่งที่เป็นไปได้ยาก เพราะไม่มีอะไรที่ได้มาโดยไม่มีการลงมือทำ มิตตี้จะเปลี่ยนความรู้สึกเราขณะที่ดูจบ ทั้งหัวใจจะชุ่มชื้นไปด้วยพลังใจ และฮึกเหิมจนอยากจะก้าวไปข้างหน้าบ้าง

The Intern (2015)

ภาพยนตร์เรื่องนี้ กำกับและเขียบบทโดยแนนซี เมเยอร์ส ซึ่งเธอมีผลงานที่ประสบความสำเร็จมาแล้วหลายเรื่อง อาทิ The Parent Trap (1998), Something’s Gotta Give (2003), The Holiday (2006) และ It’s Complicated (2009) โดยส่วนใหญ่จะเป็นภาพยนตร์แนวคอเมดี้และมักมีความสัมพันธ์หลากหลายรูปแบบที่ไม่ใช่แค่คู่รักเท่านั้น

The Intern เป็นอีกเรื่องที่ประสบความสำเร็จมาก และทำรายได้ไปถึง 194 ล้านเหรียญทั่วโลก

เบน วิทเทเกอร์ ชายชราวัย 70 ปี ที่ยังแข็งแรงทั้งร่างกายและจิตใจ แม้จะเกษียณตัวเองจากการทำงานมาได้พักใหญ่ แต่เขาก็ยังปรับตัวให้เข้ากับชีวิตว่างงานไม่ค่อยได้ และโหยหาการได้ลงมือทำบางสิ่งบางอย่างอยู่เสมอ จนโชคชะตาพาเขาได้มาเจอกับประกาศใบหนึ่ง ซึ่งเป็นโครงการ Senior Citizen Intern ของ About the Fit บริษัทสตาร์ตอัปเกี่ยวกับธุรกิจเสื้อผ้าออนไลน์ที่กำลังเติบโตอยู่

เบนตัดสินใจสมัครแทบจะในทันที และเมื่อเขาผ่านการสัมภาษณ์งานแล้ว สิ่งที่ได้พบก็คือบอสสาวไฟแรงเจ้าของธุรกิจ จูลส์ ออสติน  เธอเป็นผู้หญิงเก่ง ฉลาด ดูดี ทุ่มเทเรี่ยวแรงให้กับงานอย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่ขาดหายไปคือการบาลานซ์งานกับครอบครัว

ตอนแรกจูลส์ไม่เต็มใจที่จะร่วมงานกับเบนเท่าไร เพราะเธอมองไม่เห็นสิ่งที่เขาจะช่วยเหลือเธอได้ แต่เบนซึ่งแก่ประสบการณ์ ใจเย็น ไม่มีทิฐิ เข้าใจโลก และให้ความเคารพผู้อื่น ทั้งหมดนั้นทำให้เขากลายเป็นแรงผลักสำคัญคนหนึ่งของจูลส์ในตอนท้ายเลยทีเดียว การมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่การจะเดินไปถึงเป้าหมายได้อย่างไรโดยที่เราจะไม่ล้มลงไปก็สำคัญ

 

Sing Street (2016)

สำหรับภาพยนตร์  Once และ Begin Again นั้นอาจจะเต็มไปด้วยความรู้สึกแบบผู้ใหญ่ ความสัมพันธ์หวานปนเศร้าที่ไม่ได้จบลงด้วยการรักกันในแบบคนรัก แต่แน่นอนว่าความรู้สึกดีๆ นั้นจะไม่จางหายไปไหน ต่างกับ Sing Street ผู้กำกับจอห์น คาร์นี่ ทำให้มันกลายเป็นภาพยนตร์ดนตรีคัมมิ่งออฟเอจ ที่เปี่ยมไปด้วยความสนุก ตลก น่ารัก หวานซึ้ง และผลักดันความฝันของวัยรุ่นให้เข้าใกล้ความจริง

Sing Street มีฉากหลังเป็นดับลินในยุค ’80 ชาวไอริชประสบวิกฤตเศรษฐกิจอย่างหนัก รวมถึงครอบครัวของคอเนอร์ เด็กหนุ่มวัย 15 ปีที่กำลังเผชิญหน้ากับปัญหาครอบครัว พ่อแม่ระหองระแหง ความเป็นอยู่ทรุดลงเรื่อยๆ เงินทองไม่พอใช้จ่าย จนเขาต้องโดนย้ายไปอยู่โรงเรียนอีกแห่งที่ค่าใช้จ่ายถูกลงกว่าเดิม

ที่นี่คอเนอร์ต้องปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่ แถมยังโดนกลั่นแกล้งจากเด็กคนอื่นอีก แต่ไม่นานเขาก็พบกับเพื่อนที่สามารถเข้าขากันได้ แถมยังพบราฟีน่า เด็กสาวที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้เขาตั้งวงดนตรีขึ้นมา เพียงเพราะในตอนแรกเขาอยากจะใกล้ชิดกับเธอเท่านั้น

Sing Street เต็มไปด้วยความฝันของแต่ละคน ไม่ว่าจะเป็นคอเนอร์ กลุ่มเพื่อนของเขา ผู้หญิงที่เขารัก หรือแม้กระทั่งพี่ชายของคอเนอร์เอง มันมีทั้งความฝันที่จบลงไปแล้ว ความฝันที่อยู่ระหว่างทาง และความฝันที่กำลังจะเกิดขึ้น เราจะได้เห็นการเติบโตของแต่ละคนและอดไม่ได้ที่จะเอาใจช่วย ภาพยนตร์ยังมีอีกหนึ่งข้อความที่สำคัญนอกเหนือไปจากการก้าวเดินของวัยรุ่น มันคือการสอนให้เรารู้จัก happy-sad ความสุขปนเศร้า เพราะเราควรเรียนรู้ที่จะมีความสุขจากความเศร้าของชีวิต

Tags: , , , ,