5.20 น. เครื่องบินลงจอดสนามบินอิสตันบลู
ไม่กี่อึดใจหลังน้ำมะนาวมิ้นต์แก้วอร่อยปลุกเราในยามเช้า สายการบินประจำชาติตุรกีพาเราลงจอดที่ ‘สนามบินอิสตันบูล’
นักเดินทางหลากเชื้อชาติเดินสวนกันขวักไขว่ บ้างก็แวะเปลี่ยนเครื่องไปยังจุดหมายปลายทางอื่น บ้างก็ตั้งใจมาสำรวจตุรกี ดินแดนที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยอารยธรรมและขุมทรัพย์ทางธรรมชาติมากมาย
อิสตันบลู
แม้ตุรกีจะมีข่าวให้นักท่องเที่ยวหวั่นใจในบางช่วง แต่เราได้รับการยืนยันจากคนท้องถิ่นว่า ‘ปลอดภัย’ คนที่นี่เขาก็น่ารัก พร้อมอ้าแขนต้อนรับนักท่องเที่ยวแบบถึงเนื้อถึงตัว ไกด์ท้องถิ่นสวมกอดเราแน่นเป็นดังคำทักทาย ‘Istanbul’a Hoş Geldiniz’ ยินดีต้อนรับสู่อิสตันบูล
สะพานบอสฟอรัส
7.00 น. ข้ามเอเชียไปยุโรปในพริบตา
รถบัสคันเล็กค่อยๆ พาเราเดินทางเราข้ามทวีป ใช่ครับ! เพราะเมืองแห่งนี้คือเมืองเดียวในโลกที่ตั้งอยู่บน 2 ทวีป ฝั่งหนึ่งคือเอเชีย ชื่อเล่นว่า อนาโตเลีย (Anatolia) อีกฝั่งคือยุโรป หรือรูมีเลีย (Rumelia) โดยมีช่องแคบบอสฟอรัส บนทะเลมาห์มาราเป็นตัวคั่นกลาง
เราข้ามสะพานบอสฟอรัส แล้วเช็คอินแบบด่วนๆ ที่โรงแรมสุดปลายจตุรัสทักซิมสแควร์ (Taksim Square)(แหล่งช้อปปิ้งยามเช้าและร้านเหล้ายามราตรี) พร้อมได้แอบทานมื้อเช้าเบาๆ ด้วย Doner Kebab (แผ่นแป้งร้อนๆ ห่อเนื้อและผัก) แถมยังลองขนมปังที่เรียกว่า ‘Simit’ รูปร่างคล้ายเบเกิลโรยงา แต่แข็งได้ใจ (อยากอร่อยขึ้นมาหน่อยต้องให้ลุงเจ้าของแผงทานูเทลล่าด้วย)
แผงขายขนมปัง Simit อันเป็นเอกลักษณ์
Doner Kebab แผ่นแป้งร้อนๆ ห่อเนื้อและผัก
9.00 น. สถาปัตยกรรมคู่ขนาน ประชันความยิ่งใหญ่ใจกลางเมือง
เราก้าวลงรถพร้อมกับมี สุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque) หรือ มัสยิดสุลต่านอาห์เมต อยู่ทางขวามือ ขณะที่ด้านซ้ายมือเราเป็นโบสถ์เซนต์โซเฟีย ซึ่งทั้งสองโบสถ์ช่างมีความละม้ายคล้ายดั่งแฝด ไกด์เพื่อนสนิทของเราช่วยคลายข้อสงสัยว่า “ในสมัยที่จักรวรรดิไบแซนไทน์(คริสต์) ถูกยึดโดยออตโตมัน(อิสลาม) สุลต่านอาห์เมต ทรงมีพระประสงค์ที่จะสร้างมัสยิดที่มีความงดงามและยิ่งใหญ่กว่าโบสถ์เซนต์โซเฟียฝั่งตรงข้าม จึงทำให้เกิดสถาปัตยกรรมยิ่งใหญ่ตั้งประจันหน้ากันเช่นนี้ แม้ภายนอกจากดูละม้ายคล้ายกัน แต่ข้างในกลับงามคนละแบบ พี่ไกด์ไม่รอช้า จ้ำเท้าพาเราเบียดฝูงชนเข้าชมสุเหร่าสีน้ำเงิน
มัสยิดสุลต่านอาห์เมต (Sultan Ahmed Mosque)
ชื่อเต็มของสถานที่แรกที่เราได้เยี่ยมชมทริปนี้คือ ‘มัสยิดสุลต่านอาห์เมต’ (Sultan Ahmed Mosque) อย่างที่เกริ่นไปว่าหลังเปลี่ยนจักรวรรดิ์ สุลต่านหลายพระองค์ต้องการสร้างมัสยิดที่มีขนาดใหญ่กว่าวิหารเซนต์โซเฟียมาแทบทุกยุคสมัย แต่ไม่สำเร็จ จวบถึงสมัยของสุลต่านอาห์เมตที่ 1 ขึ้นครองราชย์ ถึงสร้างได้สำเร็จ มัสยิดแห่งนี้มีฐานเกือบจะเป็นรูปสี่เหลี่ยมจัตุรัส ตัวมัสยิดมีหลังคาเป็นรูปโดมสูงถึง 43 เมตร และกว้างกว่า 23 เมตร ภายในตัวมัสยิด ประดับด้วยกระเบื้องสีฟ้าราวสองหมื่นแผ่น ซึ่งลำเลียงมาจากเมืองอิซนิก (Iznik) ด้วยสีฟ้าของกระเบื้อง ทำให้ได้รับการขนานนามว่าเป็น สุเหร่าสีน้ำเงิน (Blue Mosque) อย่างที่เราคุ้นชื่อ (ที่นี่ไม่อนุญาตให้ถ่ายภาพด้านใน หากใครอยากชมต้องมาชมด้วยตา งดงามจริงๆ)
10.30 น. ข้ามฝั่งมาชมสุเหร่าโซเฟีย (Hagia Sophia)
เราข้ามฝั่งมาเพียงไม่กี่ร้อยเมตรก็ถึงทางเข้าสุเหร่าโซเฟีย (Hagia Sophia) ที่กลายมาเป็นพิพิธภัณฑ์อายาโซเฟีย (Ayasofya Museum) ซึ่งเดิมเคยเป็นโบสถ์คริสต์ นิกายอีสเทิร์นออร์เทอดอกซ์อายุยาวนานกว่าพันปี สถานที่นี้ถูกจัดให้อยู่ในลิสต์รายชื่อ สิ่งมหัศจรรย์ของโลกในยุคกลาง โดยมีจุดเด่นอยู่ที่ยอดโดมขนาดมหึมากลางวิหาร
Pic 6 Hagia Sopia
โบสถ์โซเฟียถูกสร้างโดยจักรพรรดิจัสติเนียนแห่งจักรวรรดิไบแซนไทน์ และเป็นโบสถ์หลังที่สามที่ถูกสร้างขึ้นในสถานที่เดียวกันนี้ เมื่อครั้นถูกออตโตมันยึดครอง สุลต่านจึงดัดแปลงโบสถ์ให้กลายเป็นสุเหร่า โดยย้ายแท่นบูชา รูปปั้นเทวทูตต่าง ๆ ออก แต่งใหม่ด้วยลายเรขาคณิต และสร้างสัญลักษณ์ทางอิสลามคือเสามินาเรตแทน
ด้านใน Hagia Sopia
ว่ากันว่า ภาพจิตกรรมฝาผนังพระเยซู ทูตสวรรค์และเหล่าอัครสาวกต่างๆ เพิ่งถูกค้นพบ เมื่อคราวที่ต้องมีการบูรณะครั้งใหญ่ ราวปี ค.ศ.1935 หลังจากถูกทับด้วยปูนมาเป็นเวลานาน
ร่องรอยภาพวาดเมื่อครั้งยังเป็นโบสถ์คริสต์
ที่นี่จึงเป็นสถานที่ไม่กี่แห่งในโลกที่เคยทำหน้าที่ทั้งเป็นโบสถ์และเป็นสุเหร่าหลักของอิสตันบูล ทั้งยังเป็นต้นแบบสถาปัตกรรมของสุเหร่าออตโตมันอีกหลายแห่ง รวมถึงสุเหร่าสีน้ำเงินที่อยู่ตรงข้ามด้วย
11.30 น. อิ่มอาหารเที่ยงแบบท้องถิ่น แล้วช้อปของเผ็ดๆ หวานๆ ที่ Spice Bazaar
คนท้องถิ่นเขากินอะไร เราก็อยากจะลองบ้าง! หลังอิ่มตา เราก็เดินเลียบๆ มาถึงริมฝั่งทะเลมาห์มารา ด้านหน้าตลาด Spice Bazaar เพื่อหาอะไรรองท้องก่อนเที่ยง โดยใกล้ๆ กับสะพาน Galata เราได้พบแหล่งเด็ด เป็นร้านอาหารใต้สะพานเรียงรายสำหรับคนท้องถิ่น และนักเดินทางได้เลือกชิม เมนูที่อยากให้ลองคือ ข้าวผัดยัดในหอยแมลงภู่ รสชาติใช้ได้ นั่งกินชิลๆ ริมน้ำสักอึดใจ แล้วเราก็ไปต่อที่จุดช้อปคึกคักที่พลาดไม่ได้
จุดชิลริมน้ำ สะพาน Galata เรียงรายด้วยร้านอาหารมากมาย
จบของคาวเราก็มาชิมของหวาน ที่ ‘Spice Bazaar หรือเขาเรียก ‘ตลาดอียิปต์’ (Egyptian Bazaar) ซึ่งเป็นตลาดใหญ่อันดับสองถูกสร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1660 เพื่อเป็นศูนย์การค้าเครื่องเทศ ภายหลังการสร้างตลาดหลักแกรนด์บาซ่าร์ (Grand Bazaar) ที่นี่มีรูปสถาปัตยกรรมแบบออตโตมัน เป็นอาคารแนวยาวทำให้เดินง่ายไม่หลง แผง 2 ข้างทางเรียงรายด้วยเครื่องเทศ สมุนไพร ผลไม้แห้ง ชีส และขนมหวานดังอย่าง Turkish Delight ให้ได้เลือกชิม ถ้าชอบความหวาน ต้องห้ามพลาดจริงๆ แค่ขอชิม Turkish Delight ร้านละนิด แล้วต่อปากต่อคำกับพ่อค้าช่างจ้อแถวนั้น ก็นับว่ามาถึงตุรกีแล้ว
นอกจากนี้ บริเวณรอบตลาด ยังมีร้านกาแฟแนวเก๋ๆ อีก 2-3 ร้าน และร้านเครื่องชามลายสวย ไม่ว่าจะแนวไหน มาเดินที่นี่ รับรองได้ของฝากดีๆ ติดมือไปแน่นอน
ตลาด Spice Bazaar
เครื่องเทศที่ Spice Bazaar
13.00 น. ล่องเรือบอสฟอรัส แสงสีทองบนผืนทะเลมาห์มารา
ยามบ่ายแดดแรง แต่แรงเราไม่ลดลงแม้แต่น้อย เราเดินไปต่อไม่ไกลจากตลาด มีเรือจอดเทียบท่าหลายลำ ในจำนวนนั้นเป็นเรือบริการชมช่องแคบบอสฟอรัส (Bosphorus Cruise) เกือบครึ่ง ซึ่งคอยเชิญชวนนักท่องเที่ยว ไปล่องเรือชมช่องแคบสำคัญที่คั่นเอเชียกับยุโรป
เรือที่จะพาเราชมสองฝั่ง
เราสั่งเครื่องดื่มเย็นๆ คนละแก้ว แล้วจับจองพื้นที่หน้าเรือ ให้กัปตันนำเราเลาะฝั่งชมความงามของตุรกีทางน้ำกันบ้าง การล่องเรือชมช่องแคบบอสฟอรัสใช้เวลา 1 ชั่่วโมงกว่าๆ กินระยะทาง 30 กิโลเมตร ช่องแคบนี้มีส่วนที่แคบที่สุด ระยะแค่ 700 เมตร และส่วนที่กว้างที่สุดกว้างถึง 3,700 เมตร จึงทำให้เกิดภูมิทัศน์ที่งดงามคล้ายแตร จึงมีชื่อเล่นเรียกส่วนนี้ว่า ‘Golden Horn’ เพราะเมื่อแสงอาทิตย์สาดส่องยามเย็น แม่น้ำจะเรืองรองดั่งแตรทองอร่าม
ท้ายเรือ
ทริปทางน้ำสั้นๆ ครั้งนี้จะพาเลียบผ่านสถานที่สำคัญของอิสตันบูล เช่น ‘หอคอยกาลาตา’ (Galata Tower) หอสูงเด่นในฝั่งเอเชีย โรงแรมหรูริมน้ำเลื่องชื่อ ‘Four Seasons’ และ ‘Kempinski’ ที่ได้ปรับปรุงพระราชวังเก่า ทำมาเป็นโรงแรม เรายังผ่าน ‘Ortaköy Mosque’ มัสยิดตั้งอยู่ที่ริมน้ำริมเคียงข้าง Bosphorus Bridge พระราชวัง ‘Beylerbeyi Palace’ พระราชวังฤดูร้อนของจักรวรรดิออตโตมัน ‘Hisarlar Müzesi’ ป้อมปราการในยุคกลาง รวมไปถึงพระราชวังและมัสยิด ‘Dolmabace’ ซึ่งเป็นจุดหมายต่อไปที่เราจะไปชม
Galata tower ในฝั่งเอเชีย
ท่าเรือพระราชวังโดลมาบาเช
14.30 น. เยี่ยมวังเก่า ลูกครึ่ง ยุโรป-ออตโตมัน
เรือเทียบท่าที่พระราชวังที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประเทศ ซึ่งสร้างเคียงข้างกับมัสยิดในชื่อเดียวกันว่า โดมาบาเช(Dolmabace) บนเนื้อที่ริมน้ำผืนใหญ่กว่า 45,000 ตารางเมตร ได้ถูกเนรมิตรให้เป็นวังสุลต่านที่งดงาม ทัดเทียมเพื่อนบ้านในยุโรป โดยการระดมช่างฝีมือทั่วสารทิศช่วยกันออกแบบสถาปัตยกรรมผสมผสาน ทั้งสไตล์บาโรก (Baroque) นีโอคลาสสิก (Neoclassical) โรโคโค (Rococo) ผสานกับออตโตมันดั้งเดิม สะท้อนถึงอิทธิพลของวัฒนธรรมและศิลปะยุโรปที่มีผลต่อตุรกีในยุคนั้น
หอนาฬิกา
ด้านหน้ามีอาคารหอนาฬิกาใหญ่เป็นด่านต้อนรับผู้มาเยือน ก่อนเราจะผ่านประตูไปต้องทำการตรวจสแกน อย่างเข้มงวด เมื่อก้าวย่างเข้าในพระราชวัง ภายในคือจุดหวงห้ามสำหรับกล้องถ่ายภาพทุกชนิด ดังนั้นดวงตาสองคู่ คือกล้องบันทึกความทรงจำเดียวที่เราจะพกไปได้
ทางเข้าพระราชวัง
ความแขกผสมฝรั่งงามเกินจะบรรยายเป็นตัวอักษร จะงามเพียงใด ต้องสัมผัสด้วยตาตนเอง เพราะด้านในถูกปิดด้วยทองหลายสิบตัน แถมยังประดับด้วยโคมคริสตัลโบฮีเมียนซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก ส่วนพื้นปูด้วยสุดยอดพรมจากช่างฝีมือดี และสำหรับผู้ชอบศิลปะต้องไม่พลาดชมผลงานภาพเขียนกว่า 200 ชิ้น ที่อยู่ในส่วนของพิพิธภัณฑ์
ปัจจุบันพระราชวังเปิดให้เยี่ยมชมโดยจัดเป็นรอบๆ หัวหน้าไกด์จะแอบมีความโหดเบาๆ คุมให้เราเดินตามกลุ่มไป อาจจะดูเร่งๆ หน่อย แต่เราสามารถใช้เวลาเชื่องช้ากับการเก็บภาพงามๆ ได้จากตึกด้านนอกริมฝั่งแม่น้ำ
16.00 น. ปิดท้ายวันที่จัตุรัสทักซิมสแควร์
จากพระราชวังนี้เอง เราเดินขึ้นเนินไปไม่ไกลยังจัตุรัสที่คึกคักทั้งวันทั้งคืนของอิสตัลบูลสมัยใหม่ ในชื่อ ‘ทักซิมสแควร์’ (Taksim Square) เราเริ่มเดินผ่านอนุสาวรีย์แห่งสาธารณรัฐ (Cumhuriye) อนุสรณ์สถานสงครามอิสรภาพของตุรกี ซึ่งเป็นจุดเริ่มของถนนช้อปปิ้งยาวกว่า 1 กิโลเมตร รถรางวินเทจสีแดงที่วิ่งจากหัวถนน ช่วยให้เราสำรวจย่านนี้แบบไม่เมื่อย ซึ่งวิ่งบริการให้กับคนแถบนี้มาเป็นหลายสิบปีแล้ว
รถรางเอกลักษณ์ของ Taksim
กลุ่มอาคารเก่าใน ย่านTaksim
แวะชิมขนมหวานซิกเนเจอร์
สองฝั่งถนน เรียงรายไปด้วยร้านรวงแฟชั่นทั้งแบรนด์ท้องถิ่นและแบรนด์จากต่างประเทศ สลับกับอาคารหน้าตาลูกครึ่งฝรั่งปนแขก เวลากลางวันถนนเส้นนี้คึกคักไปด้วยนักท่องเที่ยว พอตกดึกหลายร้านก็กลายร่างเป็นแหล่งแฮงก์เอาท์คูลๆ ของหนุ่มสาวตุรกี ถนนตลอดทั้งเส้นมีผับ บาร์ ให้เลือกหลายแบบตามรสนิยม
แม้จะเมื่อยล้าจากการตระเวณอิสตันบูลทั้งวัน แต่เราขอแนะนำว่าอย่าพลาดปาร์ตี้ยามเย็น กับเครื่องดื่มประจำชาติของตุรกี ที่ชื่อว่า เรกิ (Raki) เหล้าที่กลั่นมาจากบรั่นดีผสมกับไวน์และสมุนไพร ถ้าอยากจิบในบรรยากาศกรุ่นของตุรกีในยุคก่อน 20s แนะนำล็อบบี้เลาจ์คลาสสิกที่ Pera Palace Hotel หรือจะแวะจิบค็อกเทลในคลับคูลๆ แห่งแรกของอิสตันบูลที่ Soho House ก็นับเป็นไอเดียที่ดี เรียกว่าให้เรกิแรงๆ ส่งให้คืนนี้นอนหลับฝันดี ก่อนรับแสงวันใหม่ของตุรกีในยามเช้า
ไพรเวทคลับที่ Soho House
จิบเครื่องดื่มคลาสสิกที่ Pera Palace Hotel
6.00 น. ครบ 24 ชั่วโมง
เวลาเข็มนาฬิกาหมุนวนสองรอบ อาจพอทำให้เราได้ตื่นตาต่ื่นใจกับความงามของอิสตันบูล แต่อาจะไม่ได้ลึกซึ้งมากนัก ไว้รอบหน้า เจอกันใหม่ จะแวะไปย่านคูลๆ ที่คนท้องถิ่นไป จะล่องเรือไปเกาะน่ารักๆ แล้วเล่นกับแมวให้รอบเมือง
เราบอกลาอิสตันบูลด้วยวิวดาดฟ้ายามเช้า ด้วยภาษาท้องถิ่น ‘Tekrar görüşürüz Istanbul’ แล้วพบกันใหม่นะ อิสตันบูล
ภาพสุดท้ายที่อิสตันบูล