ภาพยนตร์ญี่ปุ่นที่ทำให้หัวใจคุณอุ่นนั้นไม่ได้จำกัดอยู่กับแค่เรื่องครอบครัวเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงมิตรภาพ สายสัมพันธ์ ความรัก และศรัทธาต่อชีวิตด้วย ในวันที่อ่อนล้า การได้เติมแรงใจเป็นสิ่งสำคัญ และภาพยนตร์ก็น่าจะเป็นอะไรที่ง่ายและอิ่มใจที่สุดอย่างหนึ่งที่เราสามารถคว้ามาไว้ในอ้อมอกได้ไม่ยาก

ภาพยนตร์บางเรื่องอาจจะดูเรียบง่าย แต่ทว่าในตอนจบกลับทำให้เราฟื้นฟูพลังใจได้อย่างน่าอัศจรรย์ วันนี้เราลองมารื้อภาพยนตร์ญี่ปุ่นต้นปี 2000 มาชมกัน ใครมีเรื่องไหนในดวงใจก็กระซิบมาบอกกันบ้างก็ได้

 

Hana & Alice (2004)

ชุนจิ อิวาอิ ผู้กำกับภาพยนตร์อีกคนหนึ่งที่หลายๆ ผลงานของเขายังคงอยู่ในใจของผู้คนเรื่อยมา ไม่ว่าจะเป็น Love Letter (1995), April Story (1998) และ All About Lily Chou-Chou (2001) ผลงานล่าสุดของเขาคือภาพยนตร์เรื่อง The Case of Hana & Alice (2015) ที่หยิบเอาตัวละครจากเรื่อง Hana & Alice (2004) มาถ่ายทอดใหม่ในรูปแบบแอนิเมชัน

ในตอนแรก Hana & Alice เป็นโปรเจ็กต์ภาพยนตร์สั้นของอิวาอิ เนื่องในวาระครบรอบ 30 ปีของช็อกโกแลตคิทแคท แต่ในที่สุดก็ต่อยอดออกมาเป็นภาพยนตร์ขนาดยาว

Hana & Alice เป็นเรื่องราวของสองสาวเพื่อนสนิท ซึ่งก็คือฮานะกับอลิส พวกเธออยู่บ้านใกล้กัน เรียนโรงเรียนเดียวกัน และอยู่ชมรมเดียวกัน ตามประสาเด็กสาวทั่วไป ฮานะนั้นหลงรักผู้ชายคนหนึ่งอยู่ เธอจึงเล่าเรื่องนี้ให้อลิสฟัง พร้อมกันนั้นเธอก็พยายามทำทุกอย่างเพื่อให้ได้เข้าใกล้เขาคนนั้นด้วย

แต่แล้วในวันหนึ่ง อุบัติเหตุเล็กๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้ชายคนนั้นทำให้เขาเสียความทรงจำระยะสั้นไป ฮานะที่แอบติดตามเขาอยู่จึงแสร้งเข้าหาและสร้างความทรงจำใหม่ป้อนให้ เธอบอกเขาว่าเธอคือคนรักของเขา และเรื่องก็ไม่ได้จบลงแค่นั้น แต่ฮานะยังแต่งเติมรายละเอียดต่างๆ เพิ่มขึ้นไปอีกด้วยการบอกว่าอลิสคือคนรักเก่าของเขา

การล้อเล่นกับความทรงจำทำให้เกิดเรื่องวุ่นๆ ตามมาจนกลายเป็นรักสามเส้า และมิตรภาพที่มีมายาวนานก็เริ่มสั่นคลอน หัวใจคนไม่ใช่สิ่งที่จะบังคับได้ ดังนั้นการล่วงล้ำเข้าไปในความทรงจำของใครคนหนึ่งก็อาจจะอันตรายเกินไป นี่จึงเป็นเหมือนบททดสอบความสัมพันธ์ของฮานะและอลิส มากกว่าที่จะเป็นของผู้ชายคนนั้นกับเธอสองคน

 

House of Himiko (2005)

อิชชิน อินุโด อาจไม่ใช่ชื่อผู้กำกับที่เราคุ้นหูกันนัก แต่เชื่อว่าหน้านักแสดงนำชายจากภาพยนตร์เรื่องนี้จะต้องคุ้นตาทุกคนเป็นอย่างดี โอดางิริ โจ นักแสดงมากผลงาน ซึ่งหากใครเป็นแฟนคาเมนไรเดอร์คงไม่มีใครไม่รู้จักเขาคนนี้

สำหรับ House of Himiko โจรับบทแสดงนำคู่กับ โค ชิบาซากิ สาวตาคมที่ไม่ว่าแสดงภาพยนตร์หรือซีรีย์เรื่องใด ผู้คนก็ให้ความสนใจอยู่ตลอด หากใครยังนึกไม่ออกว่าเคยเห็นหน้าเธอมาจากที่ไหนให้หวนกลับไปดูได้ใน Battle Royale (2000) แล้วจะจำได้ทันที

House of Himiko มีแก่นกลางอยู่ที่ตัวละครหญิงชื่อ ซาโอริ เธอกำลังสับสนและพยายามปรับตัวเข้ากับสังคมแบบใหม่ที่เธอไม่คุ้นชิน นั่นก็คือสังคมของบ้านพักคนชราในนาม Himiko Hotel ซึ่งเป็นบ้านพักคนชราสำหรับเกย์ และพ่อของเธอเองก็พักอยู่ที่นี่ด้วย

ซาโอริได้รับการติดต่อจากฮารุฮิโกะให้กลับไปดูใจพ่อของเธอหน่อย เพราะเขาป่วยเป็นโรคมะเร็ง ซาโอริไม่เต็มใจเท่าไรนัก เพราะพ่อทิ้งเธอไปตั้งแต่เด็ก แถมยังกลายไปเป็นมาม่าซังที่ใครๆ ก็รู้จักในชื่อฮิมิโกะอีกด้วย ส่วนฮารุฮิโกะ ชายที่ติดต่อเธอไปนั้นก็คือคนรักของพ่อเธอนั่นเอง

ในบ้านพักหลังนี้ซาโอริได้สัมผัสกับเรื่องราวต่างๆ มากมาย เพราะแต่ละคนมีที่มาแตกต่างกัน จากความไม่เข้าใจก็ค่อยๆ มองเห็นจิตใจของผู้คนที่อาศัยอยู่ในบ้านนี้ไปทีละน้อย และยังนำไปสู่การตกหลุมรักคนรักของพ่อตัวเองด้วย

ความรักนั้นไม่เลือกเพศ แต่เลือกเข้าไปนั่งในหัวใจเราทุกคน ภาพยนตร์เรื่องนี้จึงเต็มไปด้วยความอบอุ่นและความอาทรในเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน

 

Always: Sunset on Third Street (2005)

ภาพยนตร์ไตรภาคที่เกาะกุมหัวใจผู้ชมไว้อย่างอยู่หมัด Always: Sunset on Third Street ดัดแปลงมาจากผลงานมังงะของ เรียวเฮ ไซงัง ถูกหยิบมากำกับโดยทาคาชิ ยามาซากิ ผู้มีผลงานล่าสุดคือ Parasyte: Part 1, 2 (2014, 2015) และ Stand by Me Doraemon (2014)

Always: Sunset on Third Street ประสบความสำเร็จทั้งทางด้านรายได้ คำวิจารณ์ และรางวัล นอกเหนือไปจากการถูกหยิบนำมาสร้างภาพยนตร์แล้ว มังงะเรื่องนี้ก็ได้นำไปสร้างเป็นละครเวทีอีกด้วย

ภาพยนตร์มีเนื้อเรื่องอยู่ในช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ญี่ปุ่นอยู่ในช่วงฟื้นฟูเศรษฐกิจ และการก่อสร้างโตเกียวทาวเวอร์เริ่มขึ้นในช่วงนั้น ชุมชนขนาดเล็กตั้งอยู่บนถนนสายที่ 3 เขตยูฮี กรุงโตเกีย ซึ่งเต็มไปด้วยร้านค้า บ้านเรือน และผู้คน ครอบครัวซูซูกิก็เปิดกิจการอู่ซ่อมรถอยู่ที่นี่เช่นกัน บ้านฝั่งตรงข้ามอู่ซ่อมรถเป็นร้านขายของชำ ที่มีเจ้าของชื่อชากาวะ ริวโนะสุเกะ นักเขียนไส้แห้งที่ไม่ประสบความสำเร็จเสียที โดยตัวละครหลักๆ จะอยู่ที่บ้านสองหลังนี้

แต่บนถนนสายนี้ก็ยังเต็มไปด้วยเพื่อนบ้านอีกมาก แต่ละชีวิตดำเนินไป มีทั้งความหวัง ความฝัน ความสัมพันธ์ และความรัก เรื่องราวร้อยเรียงกันเป็นเส้นตรง เราจะได้เห็นการเติบโตของแต่ละคน ความก้าวหน้าของแต่ละความมุ่งมั่น ศรัทธาที่มีต่อชีวิตนั้นเป็นสิ่งสวยงาม การไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาจะนำมาซึ่งเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม จงเคลื่อนไปข้างหน้าให้เหมือนกับแสงตะวันที่จะงดงามในความทรงจำเสมอ

 

Nada Sousou (2006)

ผลงานการกำกับของโนบุฮิโระ โดอิ ที่มีผลงานอันน่าจดจำอย่าง Be With You (2004) ที่ทำเอาผู้ชมเทใจให้จนหมดหน้าตัก และผลงานล่าสุด Flying Colors (2015) ก็ยังคงเรียกน้ำตามากไปตามๆ กัน

สำหรับ Nada Sousou (2006) ในปีที่เปิดตัวภาพยนตร์ก็ทำรายได้ไปถล่มทลายเกินความคาดหมาย และกวาดคำชื่นชม รวมถึงน้ำตาไปมากโข ภาพยนตร์เรื่องนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเพลง ‘Nada Sousou’ ที่เขียนขึ้นโดยวง Begin

Nada Sousou ว่าด้วยเรื่องราวความสัมพันธ์ของพี่น้องต่างพ่อและแม่ พี่ชายกับน้องสาวอย่างโชตะและคาโอรุ เติบโตมาด้วยกัน แม้ไม่ได้เกี่ยวพันกันทางสายเลือด แต่ความผูกพันของพวกเขาก็ลึกซึ้งและยิ่งใหญ่ไม่ด้อยไปกว่าใคร ครอบครัวเหมือนจะอบอุ่นกลมเกลียวอยู่ระยะหนึ่ง แต่ท้ายที่สุดแล้วพ่อของคาโอรุก็ทิ้งครอบครัวไป ปล่อยให้แม่ของโชตะเลี้ยงลูกสองคนเพียงลำพัง และเมื่อแม่ของโชตะเสียชีวิตลง ทั้งสองจึงต้องดูแลกันและอาศัยด้วยกันแค่สองคน

สายสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายังคงเดินหน้าต่อไป ยิ่งก้าวเดิน ความรักยิ่งแรงกล้า จนมันกลายเป็นความรักแบบหนุ่มสาว ความรู้สึกที่มีต่อกัน พวกเขาสัมผัสมันได้ แต่ก็ไม่เคยข้ามเส้นของความเป็นพี่น้องไป ทั้งคู่แทบจะไม่เคยแยกจากกัน แต่เมื่อวันเวลาแห่งการจากลามาถึง ใครที่อยู่ก็ยังต้องมีชีวิตต่อไป และมีความสุขเพื่อคนอีกคนด้วย

 

Tokyo Tower: Mom and Me, and Sometimes Dad (2007)

ภาพยนตร์เรื่องนี้ดัดแปลงมาจากหนังสืออัตชีวประวัติที่ขายดีที่สุดของ ลิลลี่ แฟรงกี้ ศิลปินและนักแสดงชื่อดังชาวญี่ปุ่น ทันทีที่เข้าฉาย ภาพยนตร์ทำรายได้ไปอย่างดงาม และได้รับการตอบรับอย่างล้นหลามจนส่งผลให้ได้รับรางวัลไปอย่างมากมาย

Tokyo Tower: Mom and Me, and Sometimes Dad ถ่ายทอดความทรงจำและความผูกพันระหว่างโบกุกับแม่ของเขา โบกุ เป็นเด็กหนุ่มผู้เปี่ยมไปด้วยความฝัน เขาเดินทางจากบ้านเกิดของตัวเองมุ่งหน้าสู่โตเกียว พร้อมกับความหวังว่าจะประสบความสำเร็จเข้าสักวัน แต่ชีวิตจริงไม่ได้ง่ายดายแบบนั้น เขากลายเป็นศิลปินที่ใช้ชีวิตไปเรื่อยเปื่อย ไม่มีแก่นสารใดๆ แม้จะไล่ตามความฝัน แต่ก็ไม่เคยเข้าใกล้มันเลยสักนิด

กระทั่งวันหนึ่งข่าวร้ายก็เดินทางมาถึง แม่ของเขากำลังป่วยเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย จุดนี้เองที่กลายเป็นจุดพลิกผันในชีวิต โบกุเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดีขึ้น มีความรับผิดชอบ มุ่งมั่นในการทำงาน เขามองเห็นคุณค่าของชีวิตและอยากทำให้ช่วงเวลาสุดท้ายในชีวิตแม่ดีที่สุด สายสัมพันธ์และความทรงจำระหว่างแม่ลูกคู่นี้เป็นไปอย่างเรียบง่าย ทว่าอ่อนโยนและกัดกินหัวใจผู้ชมได้มากที่สุดเรื่องหนึ่ง

Tags: , , , ,