เพราะได้แรงบันดาลใจจากการชุมนุมที่ฝรั่งเศส ทำให้ชาวไต้หวันก็มีกลุ่มเสื้อกั๊กเหลือง ประท้วงให้รัฐบาลปรับปรุงนโยบายภาษีใหม่ ซึ่งนัดรวมตัวกัน 3 ครั้งแล้วในสัปดาห์นี้

สัปดาห์ก่อน เมื่อวันที่ 20 ธ.ค. กลุ่มนักเคลื่อนไหวที่ชื่อ กลุ่มปฏิรูปภาษีและกฎหมาย (The Tax & Legal Reform League) เป็นผู้เริ่มการชุมนุมที่มีผู้เข้าร่วมประมาณ 20,000 คนที่หน้าทำเนียบประธานาธิบดี ต่อมามีการชุมนุมครั้งที่ 2 เมื่อวันเสาร์ที่ 22 ธ.ค. ซึ่งมีผู้ชุมนุมกว่า 10,000 คน ครั้งที่ 3 มีขึ้นเมื่อวันที่ 27 ธ.ค.

กลุ่มนี้ก่อตั้งในปี 2016 และดำเนินการกดดันรัฐบาลเพื่อเรียกร้องให้ลดภาษีมาโดยตลอด แต่เพิ่งมาสวมเสื้อกั๊กเหลืองเมื่อวันพุธที่ 20 ธ.ค.ที่ผ่านมาหลังจากเห็นตัวอย่างจากฝรั่งเศส แต่การชุมนุมที่ไต้หวันเป็นไปอย่างสันติ  โดยหวังว่าประธานาธิบดีไช่จะฟังเสียงของประชาชน และทำแบบเดียวกับประธานาธิบดีมาครง

ล่าสุดเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 27 ธ.ค. มีการชุมนุมที่หน้ากระทรวงการคลัง โดยมีผู้ชุมนุมหลายพันคนสวมเสื้อกั๊กสีเหลือง ตะโกนคำขวัญและเป่าแตรที่หน้ากระทรวงการคลัง และโบกป้ายผ้าที่มีข้อความระบุว่า นโยบายการเก็บภาษีของไต้หวันผิดกฎหมาย พวกเขามองว่ากระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานใหญ่ที่เป็นสาเหตุของความยากจนในไต้หวัน

ความไม่พอใจส่วนหนึ่งมาจากคนหนุ่มสาว ซึ่งเพิ่งเริ่มทำงานและมีรายได้ไม่มาก พวกเขามองว่าการจ่ายภาษีทำให้พวกเขาลำบากมากขึ้น นักศึกษาปริญญาโทคนหนึ่งให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเอพีว่า มีเพื่อนหลายคนที่อยากจะทำธุรกิจของตัวเอง แต่ก็ต้องล้มเลิกความคิดไปจากระบบภาษีที่มีอยู่ นอกจากนี้ยังเปรียบเทียบว่ารายได้ของไต้หวันน้อยกว่าจีนและฮ่องกง ทั้งที่ตอนที่หาเสียงเลือกตั้ง ประธานาธิบดีไช่อิงเหวินบอกว่าจะให้ความสำคัญกับค่าแรงและสวัสดิการของคนหนุ่มสาว

นอกจากนี้อีกส่วนหนึ่งยังข้องใจกับความโปร่งใสของการจัดเก็บภาษี ผู้ชุมนุมบอกว่า ได้รับการแจ้งเก็บภาษีที่ผิดพลาด หรือเรียกเก็บมากเกินไป การยื่นอุทธรณ์ก็มีค่าใช้จ่ายมากเกิน แต่กรมสรรพากรยังคงเรียกเก็บภาษี แม้ว่าประชาชนจะชนะในชั้นศาลแล้วก็ตาม

ปัจจุบันเงินเดือนเฉลี่ยของชาวไต้หวันอยู่ที่ 1,364 เหรียญสหรัฐ หรือราว 44,000 บาท โดยค่าจ้างขั้นต่ำจะเพิ่มขึ้นเป็น 750 เหรียญสหรัฐ หรือราว 24,000 บาท ในเดือนมกราคมปีหน้า

บริษัทเคพีเอ็มจีระบุว่า จัดลำดับประเทศไต้หวัน ว่าเป็นประเทศที่เก็บภาษีสูงเป็นอันดับที่ 33 จาก 135 ประเทศ ส่วนฝรั่งเศสอยู่ที่อันดับ 12

 

ที่มา

ภาพโดย HSU TSUN-HSU / AFP

Tags: , ,