-องก์ 1-

ฉาก: ที่ไหนสักแห่งบนดวงอาทิตย์ พร้อมกับเปิดเพลงปี 1966 อย่าง A Place in the Sun ของ รอน มิลเลอร์ และไบรอัน เวลส์ บันทึกเสียงโดย สตีวี วันเดอร์

‘Cause there’s a place in the sun

Where there’s hope for everyone

Where my poor restless heart’s gotta run

There’s a place in the sun

And before my life is done

Got to find me a place in the sun

เพราะมีสถานที่แห่งหนึ่งบนดวงตะวัน

ที่ซึ่งมีความหวังสำหรับทุกๆ คน

ที่ซึ่งหัวใจไม่สงบน่าสงสารของฉันจะวิ่งไป

มีสถานที่อยู่แห่งหนึ่งบนดวงตะวัน

และก่อนที่ชีวิตของฉันจะสิ้นสุดลง

ฉันต้องค้นหาสถานที่แห่งหนึ่งบนดวงตะวันให้กับตัวเอง

จากนั้น เสียงเพลงค่อยๆ เฟดเอาต์

 

ตัวละคร: ไอน์สไตน์, เพลโต, ฟรานซิส เบคอน

ไอน์สไตน์: (มองดูความว่างเปล่าของจักรวาลที่อยู่ถัดจากดวงตะวันออกไปไกลโพ้นก่อนพูดขึ้น) โต๊ะตัวหนึ่ง เก้าอี้ตัวหนึ่ง โถใส่ผลไม้ และไวโอลิน คนเรายังต้องการอะไรมากกว่านี้ เพื่อให้ตัวเองมีความสุขอีกเล่า

เพลโต: (นั่งอยู่ที่อีกมุมหนึ่งของดวงตะวัน เหลือบมอง ย่นคิ้ว แล้วเอ่ยขัด) ที่จริงแล้ว การตัดสินใจที่ดีนั้น ไม่ได้ขึ้นอยู่กับตัวเลข ทว่าขึ้นอยู่กับความรู้ต่างหากเล่า

ไอน์สไตน์: (ถอนหายใจ) สัญญาณที่แท้จริงของความชาญฉลาดไม่ใช่ความรู้ ทว่าคือจินตนาการ

เพลโต: (ส่งเสียงดัง) เจ้ายังเด็กนัก ลูกชายของข้าเอ๋ย และเมื่อเวลาผ่านไป เวลาจะเปลี่ยนแปลง และทำกระทั่งกลับข้างความคิดเห็นในปัจจุบันหลายอย่างของเจ้า ฉะนั้น จงหลีกเลี่ยงจากการวางตัวเป็นผู้พิพากษาตัดสินเรื่องอันสูงส่งที่สุดเสีย ความโง่เขลาในทุกสรรพสิ่งคือปีศาจ มิพักว่าจะเป็นความทุกข์หรือความล้นเกิน ทั้งมิใช่สิ่งยิ่งใหญ่ที่สุด แต่กระนั้น ความชาญฉลาดยิ่งใหญ่และเรียนรู้มากมายนั้น หากควบคู่มากับการฝึกฝนอันเลว ก็กลับเป็นโชคร้ายยิ่งกว่า

ไอน์สไตน์: โชคหรือ จะอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าไม่อาจถูกโน้มน้าวให้เชื่อได้หรอก ว่าพระเจ้าจะทรงโยนลูกเต๋า พระองค์ไม่ทำอะไรเช่นนั้นหรอก

ทันใดนั้น ฟรานซิส เบคอน ก็เดินเข้ามาในฉาก เขามองหน้าชายทั้งสอง แล้วเอ่ยปากขึ้นด้วยความภาคภูมิ

เบคอน: ข้าได้ฟังพวกท่านถกเถียงกันอยู่พักหนึ่งแล้ว แลทำให้นึกถึงความคิดอันสง่างามทรนง ที่ตรัสโดยพระจักรพรรดิชาร์ลส์ที่ห้า เป็นคำแนะนำที่พระราชทานแก่กษัตริย์ผู้เป็นพระโอรสของพระองค์ว่า โชคชะตานั้นเป็นเสมือนธรรมชาติของสตรีมากกว่า หากเธอถูกเกี้ยวพานมากเกินไป เธอมักจะหนีห่าง เพราะฉะนั้น สำหรับข้า โชคชะตาจึงมีอยู่จริง แต่ไม่พึงใช้มันให้มากเกินไป ถึงโดนัลด์ ทรัมป์จะบอกว่า ทุกสิ่งในชีวิตคือโชคก็ตามทีเถิด แต่หากเราใช้โชคชะตาเปล่าเปลือง มันก็จะหมดสิ้นลง และชีวิตของเราก็จักดำเนินไปโดยมีแต่โชคร้าย

เพลโต: โดยธรรมชาติแล้ว ทุกคนย่อมเท่าเทียมกัน เพราะสร้างมาจากโลกเดียวกัน โดยคนงานคนเดียวกัน และมิว่าเราจะหลอกลวงตัวเองเช่นไร ชาวนาผู้ยากจน เจ้าชาย และจักรพรรดิผู้ยิ่งใหญ่ ก็ล้วนเสมอหน้ากันต่อหน้าพระพักตร์พระเจ้า

เบคอน: แต่ท่านเคยกล่าวไว้มิใช่หรือ ว่าการปกครองแบบประชาธิปไตยนั้นใช้ไม่ได้ เนื่องเพราะเป็นการปกครองของความคิดเห็นของเสียงข้างมากที่มีเหนือความรู้ ท่านต้องการให้มีกษัตริย์นักปรัชญามาเป็นผู้ปกครองมากกว่า คำกล่าวนี้ของท่านมิขัดแย้งกันเองกับที่ท่านเพิ่งกล่าวไปหรอกหรือ

เพลโต: เป็นเรื่องยากที่จะค้นพบวิธีให้การศึกษาที่ดีกว่าการได้ผ่านพบด้วยตัวเอง อันเป็นสิ่งที่คนหลายยุคหลายสมัยได้ค้นพบ ความเท่าเทียมและความรู้อาจเกิดควบคู่กันได้ ไม่จำเป็นต้องแยกขาดออกจากกัน

ไอน์สไตน์: ขอข้าพเจ้าเอ่ยคำเถิด ต่อหน้าพระเจ้านั้น เราทั้งปวงล้วนชาญฉลาดเท่าเทียมกัน และโง่พอๆ กัน จงอย่าเป็นกังวลเรื่องปัญหาการคำนวณในทางคณิตศาสตร์เลย เพราะข้าพเจ้ารับประกันกับท่านได้ว่า ข้าพเจ้ามีปัญหาเรื่องการคำนวณมากกว่าพวกท่านเสียอีก ความจริงคือสิ่งที่จะยืนหยัดท้าทายการทดสอบของประสบการณ์ ข้าพเจ้าคิดอยู่ทุกวันด้วยตัวของข้าพเจ้าเอง ว่าชีวิตทั้งภายในและภายนอกของข้าพเจ้านั้น ล้วนวางอยู่บนแรงงานของคนคนอื่น ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่และที่ตายไปแล้ว ฉะนั้น ข้าพเจ้าจึงต้องออกแรงทำงานให้ได้เท่าเทียมกับสิ่งที่ข้าพเจ้าเคยได้รับมาแล้วและยังได้รับอยู่ในปัจจุบัน

ไอน์สไตน์นิ่งเงียบ เพลโตนิ่งเงียบ เบคอนนิ่งเงียบ

เพลง A Place in the Sun ค่อยๆ ดังขึ้นแบบเฟดอิน

Like a long lonely stream

I keep runnin’ towards a dream

Movin’ on, movin’ on

Like a branch on a tree

I keep reachin’ to be free

Movin’ on, movin’ on

เฉกเช่นลำธารเดียวดายแสนไกล

ฉันเอาแต่วิ่งมุ่งหน้าตามหาความฝัน

ดำเนินไป ดำเนินไป

เหมือนกิ่งหนึ่งของต้นไม้

ฉันพยายามบรรลุถึงอิสระ

ดำเนินไป ดำเนินไป

ม่านปิดลง

 

-องก์ 2-

ฉาก: ที่ไหนสักแห่งบนสายรุ้ง พร้อมกับเปิดเพลง Rainbow Connection ที่ เจสัน มราซ เป็นผู้ร้อง เพลงนี้เขียนขึ้นโดย พอล วิลเลียมส์ และเคนเนธ อาเชอร์ ผู้ร้องคนแรกคือกบเคอร์มิต ใน The Muppet Movie ในปี 1979

Why are there so many songs about rainbows 

and what’s on the other side?

Rainbows are visions, but only illusions, 

and rainbows have nothing to hide.

So we’ve been told and some choose to believe it. 

I know they’re wrong wait and see.

Someday we’ll find it, the rainbow connection. 

The lovers, the dreamers and me.

เหตุใดจึงมีเพลงเกี่ยวกับสายรุ้งมากมายนัก

รวมถึงสิ่งที่อยู่อีกด้านหนึ่งของสายรุ้งด้วย

สายรุ้งคือภาพ ทว่าเป็นเพียงภาพลวงตา

และสายรุ้งมิได้มีสิ่งใดต้องซ่อน

มีคนบอกเล่าให้เราฟัง และเราเลือกที่จะเชื่อเรื่องเหล่านั้น

ฉันรู้ว่ามันเป็นเรื่องที่ผิด ไม่เชื่อก็รอดูไปเถิด

สักวันหนึ่งเราจะค้นพบ ความสัมพันธ์ของสายรุ้ง

คู่รัก นักฝัน และตัวฉัน

เสียงเพลงเฟดเอาต์ จากนั้นอยู่ๆ ก็มีเสียงพูดดังสนั่นเวทีขึ้นว่า “ชีวิตนั้นเหมือนสายรุ้ง เราต้องใช้ทั้งดวงตะวันและสายฝน เพื่อทำให้สีสันของสายรุ้งปรากฏขึ้น”

 

ตัวละคร: กิลเบิร์ต เชสเตอร์ตัน, ลอร์ดไบรอน, บาร์บารา วอลเตอร์ส, โจ ไคลน์, โรเบิร์ต บริดเจส, จูดี การ์แลนด์, เจสซี เจมส์

(ต่างคนต่างพึมพำออกมาพร้อมๆ กันให้ดังเซ็งแซ่ไม่ได้ศัพท์ พูดซ้ำๆ กันคนละสามรอบ จากนั้นให้พูดซ้ำต่อไป และทยอยหยุดพูดไปทีละคน จนกระทั่งเหลือคนสุดท้าย)

กิลเบิร์ต เชสเตอร์ตัน: เมื่อมีฝนตกลงมาในขบวนแห่ของคุณ จงมองขึ้นฟ้าแทนที่จะก้มหน้า หากไม่มีสายฝน ก็ไม่มีวันมีสายรุ้ง

ลอร์ดไบรอน: จงค้นหาสายรุ้งในพายุแห่งชีวิต แสงยามเย็นที่ยิ้มไล่หมู่เมฆไป และฉาบสีแห่งพรุ่งนี้ด้วยรังสีแห่งคำพยากรณ์

บาร์บารา วอลเตอร์ส: ก่อนเราจะมีเครื่องบินและนักบินอวกาศ เราคิดจริงจังว่ามีสถานที่จริงแท้อยู่เหนือเมฆ ที่ไหนสักแห่งเหนือสายรุ้ง มีเป็นสถานที่ที่มีอยู่จริง และเราสามารถขึ้นไปเหนือหมู่เมฆเพื่อตามหามันได้ ที่นั่น

โจ ไคลน์: ความหลากหลายเขียนอยู่ในพันธุกรรมของชีวิตชาวอเมริกัน สถาบันใดก็ตามที่ขาดรังสีของสายรุ้งจะต้องถดถอยลงไป หากไม่ป่วยเจ็บไปเสียก่อน

โรเบิร์ต บริดเจส: ฉันรู้ว่าหากกลิ่นนั้นมองเห็นได้เหมือนสีสัน ฉันจะเห็นสวนดอกไม้ในฤดูร้อนเป็นหมู่เมฆสีรุ้ง

จูดี การ์แลนด์: ฉันเล่น เดอะวิซาร์ดออฟออซ อย่างจริงจังเสมอ รู้ไหม ฉันเชื่อในความคิดเรื่องสายรุ้ง และฉันใช้ทั้งชีวิตของตัวเองพยายามจะค้นหามัน

เจสซี เจมส์: ธงของเราเป็นสีแดง ขาว และน้ำเงิน แต่ชาติของเราเป็นสีรุ้ง แดง เหลือง น้ำตาล ดำ และขาว และเราล้วนทรงค่าต่อหน้าสายพระเนตรของพระเจ้า

ทุกคนถอยกลับเข้าไปหลังเวที เสียงเพลง Rainbow Connection จากน้ำเสียงของวงคาร์เพนเตอร์สดังขึ้น

All of us under its spell. 

We know that it’s probably magic.

Have you been half asleep, and have you heard voices? 

I’ve heard them calling my name.

Is this the sweet sound that calls the young sailors. 

The voice might be one and the same.

I’ve heard it too many times to ignore it. 

It’s something that I’m supposed to be.

Someday we’ll find it, the rainbow connection, 

the lovers, the dreamers and me.

เราทั้งหมดต่างตกอยู่ใต้เวทมนตร์ของสายรุ้ง

เรารู้ว่ามันอาจเป็นมนต์สะกด

คุณเคยครึ่งหลับครึ่งตื่นแล้วได้ยินเสียงนั้นไหม

ฉันได้ยินพวกเขาเพรียกเรียกชื่อของฉัน

เสียงนั้นอ่อนหวาน เรียกหากะลาสีเรือหนุ่ม

เสียงซึ่งเป็นหนึ่งและเป็นเฉกเช่นกัน

ฉันได้ยินมากครั้งกระทั่งมิอาจเพิกเฉยได้

เป็นบางสิ่งที่ฉันควรจะเป็น

สักวันหนึ่งเราจะค้นพบมัน สายสัมพันธ์แห่งรุ้ง

เหล่าคนรัก นักฝัน และตัวฉัน

ม่านปิดลง

 

-องก์ 3-

มีฝนตกลงมาบนเวที และมีหมอกเคลือบคลุมไปทั่ว

หมอกมีสีเทา แต่ฝนมีสีดำเหมือนหมึก

จบบริบูรณ์

Tags: , ,