สงครามโลกครั้งที่ 2 กินเวลายาวนานและกลืนชีวิตผู้คนไปมากมายกว่าที่ใครจะคาดคิด ผลกระทบที่ตามมานั้นก็มากเกินบรรยาย ทั้งกวาดล้างชาวยิวด้วยวิธีที่โหดเหี้ยม คร่าชีวิตทหารไปกว่า 30 ประเทศ ทำลายประเทศทั้งประเทศด้วยกระสุนปืน สร้างความเสียหายนับเป็นมูลค่าราว 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ มันกลายเป็นความทรงจำอันเลวร้ายของผู้คนทั้งโลก คนตายไม่มีทางฟื้น และคนเป็นก็อยู่อย่างคนตาย จิตใจที่ได้รับผลกระทบนั้นใช้เวลายาวนานกว่าจะฟื้นฟู และความทรงจำนั้นก็มีแต่จะทำร้าย

ภาพยนตร์มากมายเลือกที่จะพูดถึงเหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ครั้งนี้ หาใช่เป็นการซ้ำเติม แต่เพื่อให้เราได้เรียนรู้และเข้าใจว่ามีสิ่งใดเกิดขึ้นบ้าง ใคร ทำอะไร ที่ไหน อย่างไร และมันนำมาซึ่งจุดจบแบบไหน

5 ภาพยนตร์ที่เราหยิบยกมานี้มีทั้งที่มาจากเรื่องจริงและเรื่องแต่ง แต่ไม่ว่าเรื่องไหนก็สะท้อนให้เห็นผลพวงอันน่าเศร้าจากสงครามทั้งสิ้น

Life Is Beautiful (1997)

ภาพยนตร์สัญชาติอิตาเลียน จากผู้กำกับโรแบร์โต เบนิญ ที่เขาทั้งกำกับ ร่วมเขียนบท และแสดงนำเอง เป็นภาพยนตร์ที่ประสบความสำเร็จทั้งทางด้านรายได้และคำวิพากษ์วิจารณ์ รวมถึงเข้าชิงรางวัลออสการ์ไปเจ็ดสาขา

ภาพยนตร์เรื่องนี้แตกต่างจากภาพยนตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 เรื่องอื่นๆ ตรงที่ กุยโด ตัวเอกของเรื่องนั้นเป็นผู้ชายที่มองโลกในแง่ดีอย่างเต็มหัวใจ เขาเปี่ยมล้นไปด้วยจินตนาการและพร้อมจะสร้างรอยยิ้มให้ลูกชายเสมอไม่ว่าเหตุการจะคับขันเพียงใด ซึ่งตรงนี้เองที่อาจทำให้ผู้ชมยิ่งเศร้าสลดกับเรื่องราวทั้งหมด การมีใจบริสุทธิ์นั้นกลับทำให้เรายิ่งตรอมตรมและหลั่งน้ำตาออกมา

Life is beautiful ว่าด้วยเรื่องราวของ กุยโด หนุ่มชาวยิวที่ย้ายมาอาศัยอยู่ในอิตาลี เขาหอบหิ้วความฝันว่าอยากจะมีร้านหนังสือเป็นของตัวเองมาด้วย และที่นี่เองทำให้เขาได้พบกับดอร่า สาวที่เขาตกหลุมรักจนตกลงแต่งงานกัน ไม่นานทั้งคู่ก็มีลูกชายด้วยกันหนึ่งคน คือเด็กชายโจซัวที่ทั้งน่ารักน่าเอ็นดู

แต่แล้วเหตุการณ์เลวร้ายก็เกิดขึ้น เมื่อโลกเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ชาวยิวทั้งหมดจึงโดนกักตัว รวมถึงกุยโดด้วย และแม้ว่าดอร่าไม่มีเชื้อสายยิวเลย เธอกลับขอให้ทหารพาตัวเธอไปด้วยเช่นกัน ความเป็นอยู่เริ่มตกต่ำลงเรื่อยๆ แต่กุยโดก็พยายามทำให้โลกทั้งใบของโจซัวสดใสและมีความหวังอยู่เสมอ เขาทั้งสร้างเรื่องและโกหกลูกชาย แม้วาระสุดท้ายจะมาถึง กุยโดก็ยังแย้มยิ้มและกลบเกลื่อนความโหดร้ายสารพัดที่ตัวเองต้องเจอ เพื่อให้โจซัวผ่านเรื่องราวทั้งหมดนี้ไปได้ แม้เขาจะไม่มีลมหายใจเพื่อเฝ้าดูแล้วก็ตาม

Empire of the Sun (1987)

ภายนตร์สงครามของผู้กำกับยอดฝีมือ สตีเวน สปิลเบิร์ก เป็นผลงานที่ดัดแปลงมาจากหนังสืออัตชีวประวัติของ เจ. จี. บัลลาร์ด นักเขียนชาวอังกฤษที่มีชีวิตวัยเด็กอยู่ในเซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน และในขณะนั้นจักรวรรดิญี่ปุ่นก็ได้ประกาศสงครามจีน-ญี่ปุ่นขึ้น ครอบครัวของบัลลาร์ดต้องตกระกำลำบากและกลายเป็นเชลยของกองทัพญี่ปุ่น

สตีเวน สปิลเบิร์ก หยิบผลงานชิ้นนี้มากำกับ โดยได้นักแสดงอย่าง คริสเตียน เบล ที่ฉายแววนักแสดงมาตั้งแต่เด็กมาสวมบท เจมี่ เกรแฮม ลูกชายนักธุรกิจที่จะต้องพลัดพรากจากครอบครัวเพราะสงคราม

ท่ามกลางการรุกรานประเทศจีนของญี่ปุ่นในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชีวิตของเจมี่ เกรแฮม ก็มีอันต้องเปลี่ยนไป จากเด็กชายที่เติบโตมาในเซี่ยงไฮ้ ใช้ชีวิตอย่างสุขสบาย และอยู่ภายใต้การดูแลของพ่อแม่ เขาต้องพลัดพรากจากครอบครัวและกลายเป็นเด็กที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในค่ายกักกันแทน

เจมี่ต้องเผชิญชะตากรรมเพียงลำพัง แต่ละวันผ่านไปอย่างยากลำบาก เขาต้องรู้จักหาทางเอาตัวรอด ความเป็นเด็กแบบใสซื่อบริสุทธิ์นั้นค่อยๆ หายไปจากแววตา และถูกแทนที่ด้วยความเป็นจริงอันโหดร้ายตรงหน้า ทั้งโดนรังแกจากผู้ใหญ่ ไม่มีคนใกล้ชิดให้พึ่งพาอาศัย สงครามได้ทำลายทุกอย่างทั้งบ้านเมืองและจิตใจของคน

ในช่วงท้ายของสงคราม ค่ายกักกันถูกโจมตีอย่างหนัก ทุกคนต่างหนีและออกเดินทางเพื่อกลับคืนสู่ครอบครัวหากว่าพวกเขาเหล่านั้นยังมีชีวิตอยู่ เจมี่กลับคืนสู่อ้อมอกของพ่อแม่ แต่วัยเด็กของเขาก็ได้หล่นหายไปแล้ว

Schindler’s List (1993)

Schindler’s List ผลงานที่สร้างมาจากเหตุการณ์และบุคคลจริง ออสการ์ ชินด์เลอร์ นักอุตสาหกรรมชาวเยอรมัน อดีตสมาชิกพรรคกรรมกรชาติสังคมนิยมเยอรมัน (พรรคนาซี) ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ชินด์เลอร์เปิดโรงงานภาชนะเคลือบและโรงงานผลิตอาวุธสงคราม โรงงานของเขาก็มีคนงานเป็นชาวยิวกว่าพันชีวิต เขาแสวงหาผลประโยชน์จากเชลยสงครามและกอบโกยกำไรไปมากมาย

แต่จากการทำงานนี้เอง ชินด์เลอร์ก็ได้ใกล้ชิดและรับรู้ความเลวร้ายที่เกิดขึ้นกับมนุษย์ด้วยกัน ผู้ควบคุมค่ายกักกันนั้นทั้งโหดเหี้ยมและไร้ความเมตตา ชาวยิวถูกสังหารเป็นว่าเล่นอย่างไรมนุษยธรรม ชินด์เลอร์เริ่มลงทุนกับโรงงานมากขึ้น เขาซื้อแรงงานชาวยิวเป็นจำนวนมาก โดยบอกกับกองทัพว่าพวกเขาเหล่านี้เป็นประโยชน์ต่อการผลิตอาวุธสงครามซึ่งจำเป็นต่อกองทัพ แต่ความรู้สึกของชินด์เลอร์นั้นเปลี่ยนไปแล้วจากในตอนเริ่มต้น เพราะตอนนี้ เขาต้องการจะช่วยเหลือชาวยิวอย่างแท้จริง เพื่อให้พวกเขารอดจากเงื้อมมือของเหล่ายมทูตที่มีนามว่านาซี ชินด์เลอร์ติดสินบนเจ้าหน้าที่มากมาย ทรัพย์สินของเขาหมดไปกับอิสรภาพของชาวยิว ซึ่งเขาไม่เคยเสียดายมันเลยแม้แต่น้อย

หลังสิ้นสุดสงคราม เขาช่วยชีวิตชาวยิวไว้ได้พันกว่าชีวิต และแม้จะตกอยู่ในฐานะอาชญากรสงคราม แต่สิ่งที่เขาทำไว้ก็กลับมาตอบแทนเขาในภายหลัง ชีวิตของชินด์เลอร์เป็นที่มาของนวนิยาย Schindler’s Ark และต่อมาก็ถูกนำมาดัดแปลงเป็นภาพยนตร์ในชื่อ Schindler’s List ซึ่งกำกับโดยสตีเวน สปิลเบิร์ก ภาพยนตร์เรื่องนี้เข้าชิงออสการ์ถึง 12 สาขา และคว้ามาได้ทั้งหมดเจ็ดสาขาด้วยกัน

Saving Private Ryan (1998)

Saving Private Ryan อีกหนึ่งผลงานจาก สตีเวน สปิลเบิร์ก และยังเป็นตำนานที่เคยครองตำแหน่งภาพยนตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ทำรายได้ทั่วโลกสูงสุดตลอดกาลมาอย่างยาวนาน ด้วยรายได้ 481 ล้านเหรียญ แต่ก็เพิ่งโดนแซงหน้าไปจากภาพยนตร์ของคริสโตเฟอร์ โนแลน ในเรื่อง Dunkirk (2017) ที่ทำรายได้แซงไปถึง 500 ล้านเหรียญ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ได้รับแรงบันดาลใจมาจากเหตุการณ์จริง ซึ่งเป็นเรื่องราวของลูกชายสี่คนในครอบครัวนิลแลนด์ที่ได้ไปร่วมรบในสงคราม

ในสงครามโลกครั้งที่ 2 ชายหนุ่มจำนวนมากถูกเกณฑ์เข้ากองทัพเพื่อไปรบ หลายคนบาดเจ็บล้มตาย ในขณะที่อีกหลายคนก็รอดมาได้ด้วยสภาพปางตาย และในยุทธการยกพลขึ้นบกของสัมพันธมิตร ความสูญเสียครั้งใหญ่ก็เกิดขึ้นในครอบครัวๆ หนึ่ง เมื่อลูกชายสามคนของครอบครัวไรอันเสียชีวิตลง กองทัพสหรัฐฯ จึงส่งจดหมายแสดงความเสียใจแก่คุณนายไรอัน

เมื่อผู้บังคับบัญชาการทราบข่าวว่าพลทหาร เจมส์ ไรอัน ลูกชายคนเล็กสุดของครอบครัวดังกล่าวยังมีชีวิตอยู่ แต่ก็ตกอยู่ในแนวข้าศึกอย่างไม่อาจทราบชะตากรรม จึงทำให้เกิดภารกิจพิเศษขึ้น นั่นก็คือการติดตามตัวพลทหารเจมส์ ไรอัน กลับบ้านให้ได้ เพื่อเป็นการตอบแทนและชดเชยแก่ครอบครัวไรอันที่สงครามพรากชีวิตลูกชายไปถึงสามคน ภารกิจนี้นำโดยร้อยเอกจอห์น มิลเลอร์ และผู้ใต้บังคับบัญชาอีกเจ็ดคน

แล้วทั้งแปดชีวิตก็มุ่งหน้าสู่การช่วยเหลืออีกหนึ่งชีวิตที่เหลืออยู่ ซึ่งทำให้เกิดคำถามว่าทำไมเราต้องยอมเสียสละคนจำนวนมากเพื่อคนคนเดียว

Downfall (2004)

ผลงานจากผู้กำกับชาวเยอรมัน โอลิเวอร์ เฮอร์ชบีเกิล เป็นภาพยนตร์ที่สร้างมาจากบันทึกของผู้ที่ทำงานใกล้ชิดกับอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ ซึ่งมีพื้นฐานมาจากหนังสือหกเล่มด้วยกัน ภาพยนตร์เปิดเผยเรื่องราวในบั้นปลายชีวิตของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ โดยเฉพาะช่วงเวลาก่อนที่เขาจะปลิดชีวิตด้วยมือของตัวเอง

ภาพยนตร์เริ่มต้นด้วยวันอันแสนสุขของอดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เขากำลังคัดเลือกเลขานุการคนใหม่ และเขาก็ตัดสินใจเลือกเทราด์ ยุงเกอร์ ผู้ที่อุทิศความเชื่อมั่นให้เขาจวบจนวาระสุดท้ายมาถึง จากนั้นภาพก็ตัดไปที่ช่วงใกล้สิ้นสุดสงคราม เวลาสิบวันสุดท้ายของฮิตเลอร์ เยอรมนีกำลังจะพ่ายแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 แต่ถึงอย่างนั้นฮิตเลอร์ก็ยังเชื่อมั่นเหลือเกินว่าตนจะแก้ไขสถานการณ์นั้นได้ โดยไม่ฟังความคิดเห็นจากใคร และปฏิเสธที่จะอพยพตัวเองออกจากเบอร์ลิน

ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้เราได้สำรวจฮิตเลอร์อย่างใกล้ชิด เขาทั้งโรยรา ฉุนเฉียว เกรี้ยวกราด หวาดระแวง มือไม้สั่นจากอาการของโรคพาร์กินสัน แต่กระนั้นก็เด็ดขาดในความคิดของตัวเอง แม้มันจะไม่ถูกต้องนัก

ในเวลาที่เหลืออยู่น้อยนิดฮิตเลอร์จัดงานปาร์ตี้เล็กๆ ในบังเกอร์ใต้ดิน เพื่อเป็นขวัญและกำลังใจแก่เหล่าทหารและผู้ที่จงรักภักดีต่อเขา และได้ตัดสินใจต่อชะตากรรมของตัวเองไว้แล้วว่าเขาจะไม่ยอมให้ตัวเองตกอยู่ในเงื้อมมือฝ่ายตรงข้ามอย่างเด็ดขาด แม้จะเป็นร่างที่ไม่มีลมหายใจก็ตาม เขาจึงสั่งเสียแก่คนสนิทว่าให้เผาร่างของเขา

หลังจากที่เขายอมจำนนให้กับความตาย หลายคนก็เลือกที่จะปลิดชีวิตตัวเองไม่ต่างจากฮิตเลอร์ เป็นการภักดีอย่างหมดชีวิต โดยไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่พวกตนกระทำเลยด้วยซ้ำ

Tags: , , , , ,