ต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา ฉันมีโอกาสไปเยือนลอนดอนอีกครั้ง ลมพัดซากุระหมดไปตั้งแต่สัปดาห์ก่อน แต่ลอนดอนกลับยังสดใสด้วยสีม่วงอ่อนของดอกวิสทีเรียที่บานสะพรั่งไปทั่วทั้งเมือง จนเกิดเป็นกระแสในอินสตาแกรม#wisteriahysteria

เมื่อเราเริ่มเห็นลอนดอนเนอร์และนักท่องเที่ยวเดินเตร็ดเตร่ มือหนึ่งถือโทรศัพท์ตาม GPS อีกมือล้วงกระเป๋า สายตาสอดส่องหาเจ้าดอกม่วงน้อยกลอยใจไปตามบ้านเรือนย่านเคนซิงตันและเชลซี (ทางตะวันตกของลอนดอน) ที่ได้ชื่อว่าหนาแน่นไปด้วยดอกวิสทีเรียมากที่สุด นั่นแหละฤดูกาลของวิสทีเรียได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว แต่ย่านที่ว่าไม่ได้มีขนาดเล็กๆ แถมข้อมูลในอินเตอร์เน็ตก็ไม่ได้ปักหมุดว่าหน้าบ้านไหนปลูกวิสทีเรียได้สวยที่สุดด้วยเหตุผลด้านความเป็นส่วนตัว

Kynance Mews หนึ่งในจุดเช็คอินของดอกวิสทีเรียที่สวยที่สุดในลอนดอน

บางครั้งลอนดอนก็คงอยากให้เราลองเดินไปเรื่อยๆ จุดหมายอาจเป็นการเดินเล่นชมนก ชม (ดอก) ไม้ เผื่อว่าการมาทำความรู้จักลอนดอนนอกหนังสือท่องเที่ยว จะทำให้ความเบื่อมันคลายตัวลงได้บ้าง

ฉันเริ่มต้นเดินจากสถานี Glucester Garden จุดหมายแรกของฉันคือ Kynance Mews ตรอกเล็กๆ ที่ได้รับการเช็คอินมากที่สุดในอินสตาแกรมนอกจากเคนซิงตันและเชลซีจะขึ้นชื่อเรื่องการมีบ้านสวยๆ กับดอกวิสทีเรียประดับแบบงามๆแล้ว ยังเด่นเรื่อง Mews หรือถนนเล็กๆ ปูด้วยหินก้อน ที่มีบ้านหลังน้อยๆ อยู่ในตรอกติดกับคฤหาสน์ใหญ่ของเจ้าขุนมูลนายสมัยก่อน ชั้นล่างของบ้านน้อยเป็นคอกม้า ชั้นบนเป็นที่อยู่อาศัยของคนรับใช้เรียกกันว่า Mews Houses สร้างในสมัย ค.ศ. ที่18-19  พอปัจจุบันน้องม้าไม่ใช่พาหนะหลักในการเดินทาง และระบบการมีคนรับใช้จำนวนมากก็เสื่อมความนิยม Mews Houses  ถูกปรับเปลี่ยนเป็นที่อยู่อาศัยตามไลฟ์สไตล์ของยุคศตวรรษที่ 21 แทน ถนน Mews จะมีขนาดไม่กว้างมาก เป็นทางตันหรือซอยสั้นๆ เป็นจุดที่ไม่มีรถเข้าออก ผู้อยู่อาศัยเลยรู้จักกันดี บ้านแถวนี้เลยดูอบอุ่น ได้บรรยากาศโรแมนติก

น้ำตกสีม่วงไวโอเลตกับแฟนคลับของเขา

ถนน Mews กับลักษณะ Mews Houses

ว่ากันว่าเราจะสังเกตเห็นวิสทีเรียจากกลิ่นก่อน เหมือนดอกแก้วบ้านเราที่กลิ่นจะหอมโชยมานำทาง วิสทีเรียก็เช่นกัน กลิ่นหอมเย็นๆ ทำให้เราสงบอย่างบอกไม่ถูก เมื่อฉันเดินไปหยุดที่ Kynace Mews  กลับกลายเป็นเสียง ที่ทำให้เรารู้ว่าเรามาถึงแล้ว Oh guys look! หนุ่มลอนดอนด้านหน้าของฉันกับผองเพื่อนตะโกนขึ้นมา ชายหนุ่มคว้าสมาร์ทโฟน วิ่งไปถ่ายรูปด้านหน้าบ้านหลังสีเขียวเข้ม ที่ตัดกับสีม่วงอ่อนของดอกไม้ ไม่ต้องมีแคปชันหรือคำพูดไหนก็ตอบได้ว่าทำไม Kynance Mews ถึงเป็นจุดที่มีคนเช็คอินมากที่สุด ต้นวิสทีเรียขนาดใหญ่มหึมา เหมือนเราแหงนหน้ามองน้ำตกสีไวโอเลต

ความน่ารักของบ้านแถวเคนซิงตันและเชลซี ย่านโมนาโค หรือเบฟเวอร์ลี่ ฮิลล์แห่งอังกฤษ

 

ฉันเดินต่อไปที่ย่าน High Street Kensington ที่ม รหัสไปรษณีย์ว่า W8 รหัสที่สะท้อนให้เห็นถึงมูลค่ามหาศาลของที่อยู่อาศัย เคนซิงตันและเชลซีครอบคลุมไปถึงสวนใหญ่ยักษ์อย่าง Hyde Park พระราชวังเคนซิงตัน นานาพิพิธภัณฑ์ ทั้ง Victoria and Albert และ British Museum เป็นต้น นี่ไม่ใช่ย่านท่องเที่ยวสักทีเดียว แต่คือย่านที่อยู่อาศัยที่ราคาตึกรามบ้านช่องแพงที่สุดในอังกฤษ บางคนขนานนามเคนซิงตัน ว่าคือโมนาโคหรือเบฟเวอรี่ฮิลเวอร์ชันอังกฤษ เพื่อนบ้านของคุณอาจเป็นโรมัน อับราโมวิช วิคตอเรีย เบคแฮม  และเซอร์ เอลตัน จอห์น เป็นต้น ราคาเริ่มต้น 1 ห้องนอนก็แค่ 600 ปอนด์ต่อสัปดาห์เอง (หรอ!)

Cheniston Garden กับพวงวิสทีเรียที่เลื้อยมาจับมือกัน

ป้าย Private Area คือสิ่งที่ฉันสังเกตเห็นก่อนดอกไม้สีม่วงอ่อนที่โรยตัวลงมาจากหลังคาของตึกตรง Cheniston Garden เสียอีก ด้วยความเป็นย่านอยู่อาศัย รถยนต์และการจอดรถหน้าบ้านคืออุปสรรคสำคัญ กว่าจะได้รูปดอกวิสทีเรียกับบ้านสไตล์ Victorian หรือ Georgian ก็ตาม ต้องพึ่งพลังแห่งกล้องโทรศัพท์เพราะการหยิบกล้องใหญ่มาถ่ายรูปหน้าบ้านคนอื่น มันเขินจนหน้าร้อนผ่าว

บ้านประตูสีน้ำเงินชื่อดังของถนน Abingdon

ยังอยู่ W8 เราเดินถัดไปถนน Abingdon Road ที่ทั้งเส้นถนน เต็มไปด้วยบ้านที่ปลูกวิสทีเรียประชันกันอย่างสุดฝีมือ (อาจเป็นเส้นทางการตามหาดอกวิสทีเรียที่ในอินเตอร์เน็ตพูดถึงน้อยกว่าที่ควรจะเป็นก็เป็นได้) ประตูสีน้ำเงิน ประตูสีขาว ประตูสีดำ ฉันเดินให้คะแนนอย่างเพลิดเพลิน สุดทางที่ออกไปถนนใหญ่ ยังมีร้านดอกไม้ ที่เห็นวิสทีเรียบนหลังคา เหมือนทั้งตึกสวมมงกุฎสีม่วงอยู่เด่นมาแต่ไกล สวยและเกือบจะเพอร์เฟค ติดตรงที่มีเสียงเจาะสว่านจากการก่อสร้างเป็นซาวแทรกประกอบการเดินเล่นมาตลอดทั้งเช้า สงสัยไหมคะ ว่าเขาซ่อมอะไรกันทั้งวัน

บ้านประตูสีดำบนถนน Abingdon เช่นกัน

 เมืองประวัติศาสตร์อย่างลอนดอนมีข้อกำหนดการสร้างอาคารที่เข้มงวดไม่ให้ตึกสูงจนเกินไป ดังนั้นเพื่อตอบสนองความอู้ฟู่ด้านไลฟ์สไตล์ของบรรดาผู้อยู่อาศัยที่มีความพร้อมด้านการเงินจึงเลือกที่จะขุดชั้นใต้ดินลงไปแทน ลึกและใหญ่เท่าไหนก็ตามที่เงินในกระเป๋าจะบันดาล

บางครั้งความแตกต่างคือการไม่ทำอะไรเลย แบบทาสีบ้านทั้งหลังเป็นสีขาว

ร้านขายดอกไม้ตรงสุดซอย ที่มองไกลๆเหมือนบ้านกำลังสวมมงกุฎดอกไม้สีม่วงอยู่

แถวเคนซิงตันที่ฉันเดินเล่นอยู่ได้ชื่อว่ามี Iceberg Homes มากที่สุด บ้านเหล่านี้ภายนอกมีอยู่ไม่กี่ชั้น แต่ข้างล่างส่วนที่มองไม่เห็น กลับมีขนาดมหึมาคล้ายกับธารน้ำแข็ง เป็น Superbasement ที่มีมากกว่า 10 ชั้น มีทั้งห้องชมภาพยนตร์ อ่างอาบน้ำแบบโมรอคโค ห้องสูบซิการ์ หรือแม้แต่สระว่ายน้ำที่ใหญ่ขนาดว่าสามารถมองเห็นได้จากกูเกิล เอิร์ธ

ร้านค้าแถว Kensington Church มีความวินเทจเข้ากับย่านที่จะไปอย่าง Notting Hill

เคนซิงตันและเชลซีแบ่งออกเป็นหลายละแวก อาทิ High Street Kensington, South Kensington ที่เรียกกันติดปากว่า South Ken รวมถึง Notting Hill จุดหมายต่อไปของฉันที่ต้องผ่านถนนเส้นหลักของย่าน High Street ก่อน  ร้านค้าแถวนี้ค่อนข้างคุมโทน มีร้านอาหารและคาเฟ่ อาจจะไม่หวือหวาแบบห้างร้านแบบย่าน Oxford St. และ Regent St. แต่ก็หรูหราไม่น้อยหน้าเช่นกัน

วิสทีเรียเบ่งบานให้เห็นไปตลอดทาง

เมื่อฉันเดินตัดเข้าถนน Kensington Church  บรรยากาศร้านแถวเส้นนี้เปลี่ยนไปเป็นร้านขายของสไตล์วินเทจและของเก่ามากขึ้น เดินไปอีกไม่กี่บล็อกก็ทะลุไปสู่ตลาด Portobello ชื่อดังจากภาพยนตร์รอมคอมระดับตำนานอย่าง  Notting Hill (1999) ราคาที่อยู่อาศัยใน Notting Hill ก็ยังหนักเอาเรื่อง แค่อาจจะไม่เท่าย่าน W8 ที่เราเดินผ่านมา ความพิเศษมากกว่าคือย่านนี้ เหมาะสำหรับศิลปินและแฟชันนิสต้าที่รักในกลิ่นอายความดิบของกรันจ์ และความฮิปแบบไม่ต้องพยายาม  และสำหรับนักท่องเที่ยวอย่างฉัน ย่านนี้คุ้นเคยกับการถูกถ่ายรูปเป็นประจำ ทำให้การเดินเล่นไม่รู้สึกเขินสักเท่าไร

Bedford Garden กับบ้านประตูสีชมพู

เทียบขนาดของต้นวิสทีเรียกับรถที่จอดหน้าบ้าน แค่มองไกลๆยังสะดุดตา

และเราก็มาถึง วิสทีเรียต้นสุดท้ายที่ฉันเก็บไว้เป็นไฮไลท์ ที่ซอย Bedford Garden กับบ้านประตูสีชมพู ช่วงเที่ยง รถยนต์ยึดครองพื้นที่ริมถนนในซอยเล็กๆไปหมด ทำให้รูปสวยๆ ของบ้านทั้งหลังแค่สักรูป เป็นไปได้ยาก เซลฟีคือภาพแบบเดียวที่น่าถ่ายได้ เสน่ห์ของการเดินทางคือคนแปลกหน้ามักนำเรื่องราวมาให้เราเสมอ ฉันวนช่วยถ่ายรูปให้คุณป้าชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งอยู่นาน เพราะไม่มีรูปไหนที่จะไม่ติดกับรถกระบะคันใหญ่สำหรับขนของก่อสร้างหน้าบ้านได้เลย ต้องรอถึง 10 นาทีกว่าๆ รถคันเบิ้มถึงจะขับออกไป เมื่อโอกาส 1ใน 100 มาถึง ฉันวิ่งไปฝั่งตรงกันข้ามเพื่อเก็บภาพบ้านทั้งหลัง  เมื่อได้ภาพสวยสมใจ ฉันพบว่ามีรถจอดรอ ให้ฉันถ่ายรูปจนเสร็จเสียก่อน จึงค่อยขับผ่าน คุณคนขับวัยกลางคนพยักหน้าให้อย่างเข้าอกเข้าใจ นอกจากเจ้าของบ้านก็คงเป็นคนละแวกนี้ที่เคยชินกับบรรยากาศของคน ดอกไม้ และกล้องถ่ายรูป

บางครั้งการถ่ายเซลฟีก็เป็นอะไรที่ทำได้ง่ายที่สุด และเขินน้อยที่สุด

ฉันจบการเดินทาง ด้วยเบียร์สักแก้วที่ Churchill Arms ผับอังกฤษสุดสวย ที่เปลี่ยนชื่อร้านเพื่อเป็นเกียรติแก่อดีตลูกค้าขาประจำ อย่างคุณตาคุณยายของวินสตัน เชอร์ชิล  ฉันอ่านเจอว่าเถาวิสทีเรียสามารถแผ่อาณาเขตได้กว้างใหญ่ไพศาล โดยเลื้อยในทิศตามหรือทวนเข็มนาฬิกาก็ได้ ทั้งมันยังปีนได้สูงถึง 20 เมตรจากพื้นที่และแผ่ขยายด้านข้างอีก 10 เมตร คิดเล่นๆ ว่าถ้าวิสทีเรียสามารถขยายได้เท่าขนาดของชั้นใต้ดินของบ้านในเคนซิงตันมันคงเหมือนสวนยักษ์ในเทพนิยาย

ผับ Churchill Arms จุดหมายสุดท้ายของวันนี้

ขนาดบ้านที่เห็นข้างนอกว่าใหญ่แล้ว แค่นึกว่าด้านล่างมีชั้นใต้ดินอีกมหึมาตามคอนเซปต์ Iceberg Homes

ตลอดทั้งวันมานี้ ฉันอาจเดินอยู่บนธารน้ำแข็งของหลายบ้านโดยไม่รู้ตัว แค่คิดถึงความลึกและความใหญ่ของชั้นใต้ดินขนาดยักษ์ ที่บางบ้านมีรายงานว่ากินพื้นที่ทั้งหมดของถนน ก็รู้สึกโหวงๆในท้องแล้ว

โลกมันใหญ่เหลือเกินคุณ  สุดท้ายเราก็ยังคงเป็นเพียงมดตัวเล็กๆ บนโลกเท่านั้น ฉันคิดไปพลางๆ ก่อนจะจิบเบียร์อีกอึกใหญ่

Fact Box

  • ดอกวิสทีเรีย คือไม้ดอก ประเภทไม้เถาวัลย์ มีสีสันขึ้นอยู่กับสายพันธ์ุ ตามทั่วไปมักมีสีม่วงขนาดเล็กเป็นพวงสวยงาม ออกดอกในช่วงปลายเดือนเมษายน-พฤษภาคม ขึ้นอยู่กับสภาพอากาศและมีเวลาในการออกดอกจำกัดแค่ระยะสั้นๆ วิสทีเรียมีตำนานเกี่ยวข้องกับประเทศทางแถบทวีปเอเชียหลายแห่ง โดยเฉพาะประเทศญี่ปุ่น หนึ่งในอุโมงค์ดอกวิสทีเรียที่ใหญ่ และขึ้นชื่อที่สุดในโลกอยู่ที่ อุโมงค์คาวาชิ ฟูจิ จังหวัดฟุกุโอกะ ประเทศญี่ปุ่น
  • นอกจากเสียงแล้ว ฝุ่นควันยังเป็นปัญหาหลักจากการขุดเพื่อต่อเติมชั้นใต้ดินในลอนดอน ปัจจุบันมีข้อกำหนดเรื่องจำนวนและขนาดของชั้นใต้ดินให้เหมาะกับขนาดดั้งเดิมของตัวอาคาร โดยต้องได้รับการอนุมัติก่อนเท่านั้น ทว่าสื่ออังกฤษและงานวิจัยหลายฉบับยังออกมาจิกกัดและบ่นเป็นเนืองๆว่า สถานการณ์ Iceberg Homes ยังไม่ได้แตกต่างจากเดิมเท่าไร