When They See Us ซีรีส์ที่เพิ่งเข้าฉายในเน็ตฟลิกซ์ เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม ที่ผ่านมา เป็นมินิซีรีส์กึ่งสารคดี ที่หยิบยกคดีที่เคยเกิดขึ้นจริงมาเล่าใหม่ คดีที่ถูกหยิบมาคือ คดี Central Park Five ที่เกิดขึ้นจริงในปี 1989 โดย ทรีช่า เมย์ลีย์ (Trisha Meili) ถูกทำร้ายบาดเจ็บสาหัสและข่มขืนขณะวิ่งจ็อกกิ้งที่เซ็นทรัลพาร์ก โดยกลุ่มเด็ก 5 คน แอนทรอย แมคเครย์ (Antron McCray) เควิน ริชาร์ดสัน (Kevin Richardson) ยูเซฟ ซาลาม (Yusef Salaam) เรย์มอนด์ ซานทาน่า (Raymond Santana) และโครีย์ ไวซ์ (Korey Wise) ซึ่งเป็นชาวอเมริกันเชื้อสายแอฟริกันและฮิสแปนิก ซึ่งล้วนแต่เป็นชนกลุ่มน้อยของอเมริกาถูกตัดสินโทษว่ากระทำผิดจริง แม้ว่าหลักฐานจะไม่มีน้ำหนักอะไรเลย มีแต่คำสารภาพจอมปลอมที่เจ้าหน้าที่บังคับให้ยินยอม แต่ทว่าความเกลียดชังและอคติต่อชนชาติก็มีน้ำหนักเพียงพอที่จะทำให้ตราชั่งแห่งความยุติธรรมเอียง กว่าที่ความจริงจะกระจ่าง พวกเขาทั้ง 5 ก็ชดใช้ความผิดที่ไม่ได้ก่อเสร็จเรียบร้อยแล้ว ชีวิตวัยเยาว์ ความฝัน และความหวังของพวกเขาไม่อาจหวนกลับมา เพราะสายตาแห่งอคติพรากสิ่งเหล่านั้นไปจากพวกเขา
มินิซีรีส์ 4 ตอนนี้จะเล่าเรื่องราวตั้งแต่แอนทรอย เควิน ยูเซฟ เรย์มอนด์ และโครีย์ถูกจับ สอบสวน รวมไปถึงการเตรียมตัวขึ้นศาล การต่อสู้ในชั้นศาล เรื่องเลวร้ายที่พวกเขาต้องเผชิญทั้งก่อนหน้าถูกคุมขัง ระหว่างถูกคุมขัง และเรื่องราวหลังจากที่พวกเขาได้อิสระกลับคืนมาแล้ว ที่ถึงกระนั้นชีวิตของพวกเขาก็ไม่อาจเป็นดังเดิม พวกเขายังต้องเผชิญหน้ากับเหตุการณ์อันยากลำบาก ทั้งความสัมพันธ์ที่เปลี่ยนไปภายในครอบครัว การกลับมาอยู่ในสังคมที่ตราหน้าพวกเขาว่าเป็นสัตว์ร้าย
The Mo Ju อยากชวนทุกคนสำรวจสิ่งที่เรียกว่าความเกลียดชังและอคติต่อชาติพันธุ์ผ่านมินิซีรีส์เรื่องนี้ด้วยตนเอง ควบคู่ไปกับการอ่านเรื่องราวความจริงของคดี Central Park Five ในบทความนี้ไปพร้อมกัน
ย้อนรอยคดี Central Park Five
วันที่ 19 เดือนเมษายน ปี 1989 กลุ่มเด็กวัยรุ่นราว 30 คนเข้ามายังเซ็นทรัลพาร์กจากถนนสาย 110 บนถนนหลักสายที่ 5 โดยพวกเขาใช้เส้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ พวกเขาบางคนคุกคามและทำร้ายผู้ที่ผ่านไปผ่านมาแถวนั้น โดยการโยนหิน กิ่งไม้ใส่พวกเขา มีบางคนซ้อมผู้ชายที่จ็อกกิ้งอยู่แถวนั้นจนบาดเจ็บ และต้องพักรักษาที่โรงพยาบาลถึงสองวัน
เวลาประมาณเดียวกันทริช่า เมย์ลีย์ (Trisha Meili) อายุ 28 ปีเข้าไปในสวนสาธารณะ โดยใช้ถนนสาย 84 บนถนนหลักสาย 5 ซึ่งเป็นเส้นทางปกติที่เธอใช้วิ่งจ็อกกิ้งหลังเลิกงาน โดยวิ่งไปทางบริเวณตะวันตกเฉียงเหนือ ระหว่างที่เธอวิ่งบนถนน 102 ครอสไดร์ฟ (102nd Street Cross Drive) เธอถูกตีเข้าที่ด้านหลังของศีรษะด้วยกิ่งไม้ จากนั้นถูกลากออกจากถนน ถูกซ้อมและข่มขืนในพื้นที่เปลี่ยวของสวนสาธารณะ ทำให้กว่าจะเจอตัวเธอก็ผ่านไปหลายชั่วโมง
ตำรวจจับตัวเด็กวัยรุ่นกลุ่มใหญ่ที่เข้ามาสร้างความวุ่นวายไว้หลายคน รวมถึงเควิน ริชาร์ดสัน และเรย์มอน ซานทาน่าและพาไปยังบริเวณเซ็นทรัล พาร์ก
วันที่ 20 เมษายน ปี 1989 เวลาตีหนึ่งครึ่ง ตำรวจพบตัวทริช่า เมย์ลีย์ในสวนในสภาพใกล้ตาย โดยเธอสูญเสียเลือดไปกว่า 80 เปอร์เซ็นต์ของร่างกาย ตำรวจเชื่อมโยงเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายสถานเบาของกลุ่มเด็กวัยรุ่นเข้ากับเหตุการณ์ของเมย์ลีย์อย่างรวดเร็ว ช่วงเวลาประมาณ 5 ทุ่มตำรวจพาตัวเด็กผู้ชายวัยรุ่นอีกหลายคนจากกรณีเซ็นทรัลพาร์กเมื่อวันที่ 19 เมษามาที่สถานีตำรวจ ซึ่งรวมถึงแอนทรอน แมคเคลย์ โครีย์ ไวซ์ และยูเซฟ ซาลาม
มีไวซ์ผู้ซึ่งต้องทุกข์ทรมานจากการสูญเสียการได้ยินและบกพร่องในการเรียนรู้ เพียงคนเดียวที่ถูกสอบสวนโดยไม่มีผู้ปกครองอยู่ด้วยเพราะเขาอายุ 16 ปีซึ่งถือว่าไม่ใช่เยาวชนแล้ว ส่วนเด็กที่เหลืออีก 4 คนมีอายุตั้งแต่ 14-15 ปี ในทีแรก ตำรวจก็ไม่ได้ให้ผู้ปกครองเข้าร่วมกระบวนการสอบสวนด้วย หลายชั่วโมงหลังจากการสอบปากคำโดยถูกกดดันจากนักสืบคดีฆาตกรรมระดับท็อปของเมือง ไวซ์ แมคเครย์ ริชาร์ดสัน และซานทาน่าเซ็นยินยอมรับสารภาพ รวมถึงให้การบันทึกวิดีโอรับสารภาพว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับกรณีของเมย์ลีย์
ซาลามเขียนคำสารภาพ แต่ปฏิเสธที่จะเซ็นรับสารภาพ และถูกปรักปรำโดยคนอื่นๆ ในกลุ่ม ต่อมาไม่นานพวกเขากลับคำรับสารภาพ และให้การว่าตำรวจให้สัญญาว่าพวกเขาจะได้กลับบ้านถ้าหากพวกเขายอมรับสารภาพ
ในเดือน สิงหาคม ปี 1990 หลังจากการไต่สวนที่กินระยะเวลานานถึงหกสัปดาห์ แมคเครย์ ซาลาม และซานทาน่าถูกตัดสินว่ามีความผิดข้อหาทำร้ายเมย์ลีย์ แม้ว่าคำรับสารภาพที่บันทึกไว้ในทีแรกของพวกเขาจะไม่สอดคล้องกันในหลายๆ จุด รวมถึงข้อเท็จจริงของคดีนี้ยังขัดแย้งกันอีกด้วย พวกเขาทุกคน ยกเว้นไวซ์ ถูกพามาที่เกิดเหตุโดยเจ้าหน้าที่สืบสวน ทั้งหมดไม่สามารถชี้จุดที่เมย์ลีย์ถูกทำร้ายได้อย่างแน่ชัด พวกเขายังบอกเวลาจู่โจมเมย์ลีย์ผิดอีกด้วย และยังอธิบายลักษณะการแต่งกายในวันเกิดเหตุของเมย์ลีย์ผิด ยิ่งไปกว่านั้นไม่มีดีเอ็นเอของพวกเขาสักคนที่ตรงกับตัวอย่างซึ่งเก็บมาจากพื้นที่เกิดเหตุ แต่ถึงอย่างนั้นพวกเขากลับถูกตั้งข้อหาจำคุกตั้งแต่ 5- 10 ปี ซึ่งเป็นโทษสูงสุดสำหรับเยาวชน โดยแอนทรอน แมคเครย์ติดคุกจริง 6 ปี ยูเซฟ ซาลามติดคุกจริง 6 ปีกับอีก 8 เดือน เรย์มอน ซานทาน่าติดคุกจริง 5 ปี
ในวันที่ 11 ธันวาคม ปี 1990 โครีย์ ไวซ์และเควิน ริชาร์ดสันถูกตัดสินว่ามีความผิดจริง ริชาร์ดสันถูกตั้งข้อหาจำคุกตั้งแต่ 5-10 ปี ส่วนโครีย์ ไวซ์ถูกตัดสินโทษในฐานะผู้ใหญ่ และถูกตั้งข้อหาจำคุกตั้งแต่ 5 ถึง 15 ปี โดยเควิน ริชาร์ดสันติดคุกจริง 5 ปีครึ่ง และโครีย์ ไวซ์ติดคุกจริง 12 ปี
(อัยการแยกการพิจารณาคดีในชั้นศาล ไม่ได้พิจารณาคดีรวมกัน 5 คน)
บทสรุปคือเด็กทั้ง 5 คนถูกตั้งข้อหาพยายามฆ่า ข่มขืน ข่มขู่ และก่อความวุ่นวาย ไวซ์ซึ่งอายุเกิน 15 ปีแล้วต้องรับโทษในฐานะผู้ใหญ่ เขาจึงถูกขังในคุกที่เกาะไรเกอร์สที่ขึ้นชื่อเรื่องการคอร์รัปชันและการกระทำความรุนแรงต่อนักโทษ ขณะที่อีก 4 คนถูกพาไปยังสถานพินิจของเยาวชน
การเคลื่อนไหวของโดนัลด์ ทรัมป์
ในซีรีส์มีการพาดพิงถึงโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ รวมถึงใช้ฟุตเทจสัมภาษณ์ทรัมป์ในซีรีส์ด้วย ในซีรีส์กล่าวถึงว่าในขณะนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ซื้อโฆษณาเพื่อหนุนให้กลับมาใช้โทษประหารชีวิตกับเซ็นทรัล พาร์ก ไฟฟ์ ซึ่งในเหตุการณ์จริงตอนนั้น โดนัลด์ ทรัมป์ที่ตอนนั้นเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ท้องถิ่น และนักเขียนของหนังสือขายดีชื่อ ‘The Art of Deal’ จ่ายเงินถึง 85,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อซื้อพื้นที่โฆษณาหนึ่งหน้าเต็มของหนังสือพิมพ์ชื่อดังทุกฉบับในนิวยอร์ก แม้เนื้อหาในโฆษณาจะไม่ได้กล่าวถึงเซ็นทรัล พาร์ก ไฟฟ์โดยตรง แต่โฆษณากล่าวถึงคดีข่มขืนของเมย์ลีย์แบบเป็นนัย และเรียกร้องให้กลับมาใช้โทษประหารชีวิต
ในการสัมภาษณ์กับลาร์รีย์ คิง (Larry King) ช่อง CNN โดนัลด์ ทรัมป์ กล่าวไว้ว่า “แน่นอนผมเกลียดคนพวกนี้ และพวกเรามาเกลียดคนพวกนี้กันเถอะ เพราะบางทีสิ่งที่พวกเราต้องการคือความเกลียดชังไงละ ถ้าหากพวกเราอยากจะทำอะไรบางอย่างให้สำเร็จ”
โดนัลด์ ทรัมป์บอกคิงว่าโฆษณาของเขาไม่ได้ตัดสินกลุ่มเด็กวัยรุ่น 5 คนไปล่วงหน้า แต่ว่าให้การสนับสนุนโทษประหารชีวิตเสียมากกว่า หากพบว่าพวกเขาผิดจริง เขาอธิบายเพิ่มเติมว่าโฆษณาของเขาไม่ได้หมายรวมถึงกลุ่มผู้เยาว์ แต่พูดว่ากลุ่มผู้เยาว์ที่ถูกตัดสินโทษควรถูกขังไว้ในคุกไปนานๆ
เป็นที่น่าสนใจว่าผู้สร้างซีรีส์ตั้งใจเล่าเรื่องราวคดีนี้ในช่วงนี้ เพื่อโจมตีการกระทำและคำพูดที่แสดงออกถึงความเกลียดชังต่อเชื้อชาติอื่นของประธานาธิบดีคนปัจจุบันของสหรัฐอเมริกาอย่างโดนัลด์ ทรัมป์หรือไม่
ผู้ร้ายตัวจริงคือใคร
ย้อนกลับไป ในวันที่ 17 เมษายน 1989 มีผู้หญิงอายุ 26 ปีถูกซ้อมและข่มชืนบริเวณทิศเหนือของเซ็นทรัลพาร์ก เธอให้การว่าผู้ชายที่ทำร้ายเธอมีรอยเย็บอยู่ตรงคางของเขา หลังจากนั้น เจ้าหน้าที่สืบสวนปรึกษากับโรงพยาบาลท้องถิ่นเพื่อหาชายวัยหนุ่มที่ตรงกับคำให้การของเธอ ทางโรงพยาบาลได้ให้ชื่อของมาเชียส เรเยส (Matias Reyes) ชายอายุ 18 ปีซึ่งทำงานอยู่ที่ร้านขายของชำใกล้กับบริเวณที่ผู้หญิงคนนั้นโดนดักร้าย
เรเยสถูกจับ
ปีเดียวกันนั้น เรเยสบุกเข้าไปที่อพาร์ทเมนต์ของลอร์เดส กอนซาเลส (Lourdes Gonzalez) ที่ถนน 97 ขณะที่เธอตั้งท้องและอยู่บ้านโดยลำพังกับลูกเล็กอีกสามคน เขาข่มขืนและฆ่าเธอขณะที่ลูกๆ ของเธอได้ยินทุกอย่างจากอีกห้องหนึ่ง เขาถูกจับได้ในตอนนั้น และรับสารภาพว่าเขากระทำผิดจริง
การสารภาพบาป
ในปี 2002 สิบสามปีหลังจากเกิดเหตุที่เซ็นทรัลพาร์ก สี่ในห้าของเซ็นทรัลพาร์กไฟฟ์ชดใช้ความผิดครบวาระ และออกจากคุกเรียบร้อยแล้ว เรเยส ผู้ต้องหาคดีฆ่าข่มขืนต่อเนื่องให้การสารภาพว่าเขาคือคนที่ทำร้ายเมย์ลีย์เอง
เขากล่าวไว้ว่า “ผมภาวนากับพระเจ้าถ้าหากเป็นไปได้ ผมน่าจะแขวนคอพวกคณะลูกขุนพวกนั้นซะ นั่นน่ะ นั่นคือสิ่งที่ผมเสียดายที่สุดในรอบ 30 ปี”
เรเยสเคยเจอกับไวซ์ตอนที่พวกเขาถูกขังในคุกเกาะไรเกอร์ส และเขาคิดว่าที่เด็กทั้งห้าคนต้องมารับโทษที่ตัวเองไม่ได้ก่อนั้นช่างอยุติธรรมจึงรู้สึกโกรธเคืองต่อคณะลูกขุนที่ตัดสินโทษเด็กทั้งห้าคน เรเยสที่รับโทษจำคุก 33 ปีในเหตุการณ์ฆ่าข่มขืนในขณะนั้น เข้าไปสารภาพกับตำรวจ หลังจากตรวจสอบดีเอ็นเอที่พบในที่เกิดคดีเมย์ลีย์พบว่าตรงกันกับดีเอ็นเอของเรเยส
“ตอนผมได้ยินว่าผลดีเอ็นเอตรงกับเรเยส ตอนนั้นผมรู้สึกแบบ โอ้ ดีเลย งั้นเราก็ได้ผู้ต้องหาคนสุดท้ายที่หนีไปในปี 1989 แล้วสินะ” เรย์โนลด์ อดีตเจ้าหน้าที่ตำรวจนิวยอร์กกล่าว “แต่เขาหันมาหาผม แล้วบอกว่าเขาทำทั้งหมดนั่นคนเดียว”
เรเยสรับโทษจำคุกตลอดชีวิตหลังจากพบว่าเขาข่มขืนผู้หญิงสี่คน และฆ่าหนึ่งในสี่คนนั้น
เศษเสี้ยวของความยุติธรรม
ผู้พิพากษาชาวอเมริกันอนุมัติเงินค่าชดใช้ระหว่างนครนิวยอร์กกับผู้ชาย 5 คนที่ถูกปรักปรำว่าข่มขืนผู้หญิงที่กำลังวิ่งจ็อกกิ้งในปี 1989 หรือเซ็นทรัลพาร์กไฟฟ์เป็นจำนวนเงิน 41 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ในปี 2014 ทว่านั่นคงไม่อาจเรียกว่า ‘ความยุติธรรม’ ได้ เพราะชีวิตวัยรุ่นของทั้งห้าคนนี้ไม่อาจหวนคืน รวมถึงเหตุการณ์ยากลำบากที่ทั้งห้าคนนี้ต้องเผชิญ ซึ่งซีรีส์เรื่องนี้จะพาคุณเจาะลึกอย่างถึงอารมณ์
จุดเด่นของซีรีส์นี้อาจไม่ใช่การต้องวิเคราะห์ ตีความ หรืออ่านสัญญะ ทว่าซีรีส์เรื่องนี้ถ่ายทอดอารมณ์ ความรู้สึก ความโหดร้ายของสิ่งที่เรียกว่าอคติบังตาออกมาอย่างถึงอารมณ์ นั่นเป็นสิ่งที่บางครั้งตัวอักษรไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ หลังจากดูซีรีส์เรื่องนี้ เราเชื่อว่าคุณจะรับรู้ถึงความรู้สึกของเด็กชายทั้งห้าคนที่ถูกพรากวัยเยาว์ ชีวิต และความฝันไป
Doug Criss ชาวผิวดำคนหนึ่งที่มีลูกชายหนึ่งคนเขียนบทความลงบนเว็บไซต์ของ CNN กล่าวถึงความรู้สึกของเขาที่ได้ชมซีรีส์เรื่อง ‘When They See US’ เขากล่าวว่าเขาไม่สามารถดูซีรีส์ได้ เขาฝืนดูได้เพียงแค่ตัวอย่างเท่านั้น เพราะเขารู้สึกแย่มาก อาจเป็นเพราะภาพของชาวผิวดำที่ถูกจับกุมโดยตำรวจ และถูกไต่สวนในชั้นศาลแบบนั้นมันช่างคุ้นเคยเหลือเกิน หรืออาจเป็นเพราะภาพของเหล่าแม่ๆ ที่ร้องไห้ครวญคราง และเหล่าคุณพ่อที่ถูกกดขี่
เดวิด โอลด์เซ่น (David Ewoldsen) นักวิชาการด้านสื่อและข้อมูลจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนกล่าวไว้ว่า
“ส่วนหนึ่งที่ทำให้เราเข้าไปมีส่วนหนึ่งในเรื่องราวต่างๆ ก็เพราะต้องการหลีกหนีจากชีวิตธรรมดาๆ แต่ว่าโลกที่เต็มไปด้วยอารมณ์ตึงเครียดอย่าง When They See Us ที่ถึงแม้จะเกิดขึ้นในหลายสิบปีที่แล้ว ยังคง ‘จริง’ สำหรับชาวแอฟริกัน-อเมริกันในปี 2019 – ไม่ได้มอบความผ่อนคลายให้กับเราเลย”
เรื่องราวของเด็กชายทั้งห้าที่รู้จักกันในชื่อ Central Park Five ทำให้เราเห็นแล้วว่าคำให้การที่ขัดแย้งกัน หลักฐานที่ไม่มีความชัดเจนหรือแน่นอนอะไรสักอย่าง ไม่อาจสู้อคติของผู้พิพากษาและคณะลูกขุน เพราะในสายตาของพวกเขาเหล่านั้น เด็กทั้งห้าคนเป็นแค่เด็กชาวผิวดำที่ป่าเถื่อน รุนแรง เป็นอันตรายต่อชนชาวผิวขาวเท่านั้น ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์เคยจุดประกายความเกลียดชังต่อชนชาติมาแล้วในอดีต และปัจจุบันเขาก็ทำมันอีกครั้ง เช่น เขาเสนอให้สร้างกำแพงตรงชายแดนระหว่างสหรัฐอเมริกาและเม็กซิโก หรือเคยกล่าวถึงกลุ่มประเทศในทวีปแอฟริกาว่า ‘shithole countries’ ถึงแม้ว่าทรัมป์จะเคยออกมาปฏิเสธก็ตาม และการที่โดนัลด์ ทรัมป์ขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีก็ทำให้เราเห็นว่า บางทีความเกลียดชังและอคติอาจยังคงอยู่ลึกๆ ในใจของใครหลายคน ชวนให้ขบคิดว่าจะมีสักวันหรือไม่ ที่คนเราจะลบความเกลียดชังและอคติต่อคนที่มีสีผิวต่างกันไปได้อย่างหมดใจ
อ้างอิง
https://edition.cnn.com/2016/10/07/politics/trump-larry-king-central-park-five/index.html
https://murderpedia.org/male.R/r/reyes-matias.htm
https://www.nytimes.com/1990/08/19/nyregion/3-youths-guilty-of-rape-and-assault-of-jogger.html
https://www.nytimes.com/1990/12/12/nyregion/2-teen-agers-are-convicted-in-park-jogger-trial.html
https://www.nytimes.com/1990/08/19/nyregion/3-youths-guilty-of-rape-and-assault-of-jogger.html
https://heavy.com/news/2019/05/matias-reyes-where-now-today/
https://abcnews.go.com/US/back-1989-central-park-jogger-rape-case-led/story?id=63084663
https://www.bbc.com/news/world-us-canada-29089389
https://edition.cnn.com/2019/06/06/entertainment/central-park-five-netflix-criss-trnd/index.html
https://www.theatlantic.com/politics/archive/2019/01/shithole-countries/580054/
https://www.newsweek.com/how-long-central-park-five-incarcerated-when-they-see-us-1443119
Tags: Central Park Five, คดี, Netflix, ซีรีส์, สารคดี, ประวัติศาสตร์, การเลือกปฏิบัติ, คนดำ, TheMoJu