“Honey, We Need To Talk”
บอกเลิกเป็นเรื่องบอกยาก
แต่ถ้าไม่บอก ชีวิตจะลำบาก

BICK: วันนี้เราจะมาคุยกันเรื่อง “จะบอกเลิกยังไงดี” เหมาะมากเลยกับความเป็นพรีเมียร์เอพิโสด เปิดตัวมาตอนแรกก็จะชวนกันเลิกเลยเหรอ แต่มันเป็นเรื่องยากที่สุด ยากตลอดกาล

01:08
FIAT: หลายๆ คน ความสัมพันธ์มีปัญหา แต่ไม่กล้าบอกเลิก บางคนเชื่อว่า ทนไปอีกหน่อยเถอะ เดี๋ยวมันก็ดีขึ้น หรือบางคนก็รู้ตัวเองว่าหมดรักแล้ว แต่ไม่กล้าบอกเลิก เลยตัดสินใจไปรักคนใหม่ทั้งที่ยังไม่ได้จบกับคนเก่า

และเหตุผลเดียวจริงๆ ที่ไม่กล้าบอกเลิกก็คือ ไม่รู้จะพูดยังไง ซึ่งต้องมาช่วยกันหาว่า เป็นเพราะไม่มีคำพูด หรือเพราะทัศนคติ วิธีคิดบางอย่างที่กั้นเราไว้ ไม่ให้พูดออกมาเพื่อปลดปล่อยตัวเองเสียที

Now speaking of breaking up, that’s something we don’t wanna go through for sure. We don’t wanna be the one to do it, and we don’t wanna be the one who got dumped either. But sometimes getting out is the right move. เรามาดูกันว่า เมื่อไรจึงควรบอกตัวเองได้แล้วว่า เลิกเหอะ

02:43
BEAU: When relationship turns sour นั่นคือเมื่อความสัมพันธ์เริ่มบูด รักเริ่มขม หรือบางทีเริ่มเป็นพิษต่อสุขภาพทั้งใจกาย (Unhealthy or toxic) เช่น เราเคยชอบแต่งตัวแต่งหน้าแบบนี้ ไว้ผมแบบนี้ แต่จู่ๆ อยู่มาวันหนึ่ง เสื้อผ้าหน้าผมคือผิดหมด BUT that’s my identity แล้วเรื่องอะไรจะมาเปลี่ยนความเป็นตัวเรา Who are you to tell ME to change ME. Feeding me bad thoughts about being myself. อันนี้คือ ไม่โอเค!

Last straw ฟางเส้นสุดท้าย มากกว่านี้ไม่ทนแล้ว It’s when things turn abusive or violent. I’ve got zero tolerance for that! เรื่องนี้จะไม่ทนเด็ดขาด! พ่อแม่ยังไม่เคยตีฉันเลย แล้วเธอเป็นใคร

“…But  that’s my identity
แล้วเรื่องอะไรจะมาเปลี่ยนความเป็นตัวเรา
Who are you to tell ME to change ME
Feeding me bad thoughts about being myself…”

03:45
FIAT: When relationship turns cold. It’s not moving forward anymore, it’s not going anywhere, and they don’t even know how to fix it.

จืดชืดเย็นชา
ไม่เดินหน้า ย่ำอยู่กับที่
และไม่รู้จะแก้ไขยังไงดี

They used to be so hot and heavy ทุกสิ่งเคยเร่าร้อนมาก ซู่ซ่ากว่านี้มาก เคยโรแมนติกกว่านี้มาก There used to be date nights เคยมีคืนพิเศษ ไปเดตกันบ้าง ไรงี้ แต่ตอนนี้ไม่มีอะไรแบบนั้นอีกแล้ว

แล้วก็ไม่ใช่ว่าไปหลงรักใครใหม่ และไม่ใช่ว่าเกลียดกันด้วยนะ แต่มันแค่จืดชืดเย็นชากันไป บางทีอาจต้องนั่งคิดใหม่แล้วละว่าจะเอาไงดี หรือจะเปลี่ยนสถานะกลับมาเป็นเพื่อนกัน

04:45
BEAU: When things turn platonic. You no longer feel the chemistry the way it’s used to be. You fell out of love with the one you’re with right now. However you still want them in your life, but as a friend

บางทีอยู่ไปนานๆ คนรักก็กลายเป็นแค่เพื่อนนะ จากที่เคยมีปฏิกริยาเคมีปิ๊งปั๊ง อยู่มาวันหนึ่งก็รู้สึก ไม่มีอะไรให้ค้นหาละ You kinda got so used to each other. Taking each other for granted, almost, กลายเป็นของตาย ไม่รู้สึกว่าต้องดูแลเป็นพิเศษก็ได้ ยังไงก็ไม่หนีไปไหน

แต่ถ้าเป็นคนรักกันมันต้องมากกว่านั้นปะ You need that someone to have that lovey-dovey stuff

FIAT: และเมื่อมีคนใหม่เมื่อไหร่ ควรจบเมื่อนั้นนะ จอนนี่ เดปป์ เคยพูดไว้ว่า ถ้าคุณรักใครจริง คุณจะไม่สามารถไปรักคนอื่นได้อีกแล้ว

(พี่บิ๊ก: โห นี่คือโคว้ต จอนนี่ เด็ปป์ กันเลยเหรอ)

แต่เดี๋ยวนะ ได้ข่าวว่าเพิ่งหย่า

BEAU: จริง! กำลังจะทักเลย นี่คือคนที่เราควรยึดถือเป็นแบบอย่างปะคะ ประวัตินางเรื่องนี้ก็ใช่ว่าจะดี

“if you love two people at the same time,
choose the second.
Because if you really loved the first one,
you wouldn’t have fallen for the second.”
― Johnny Depp

FIAT: แต่ลองคิดดูแล้วมันจริงนะ คือคนเราจะสามารถรักคนได้มากกว่าหนึ่งคน ในเวลาเดียวกันได้จริงหรือ

BEAU: ได้นะ แต่ต้องไม่ใช่รักแบบเดียวกันเด๊ะ The type of love that I give to my significant other is unique and that can only happens once… Not once in a lifetime, but once at a time ไม่ใช่หนเดียวในชีวิต แต่มันต้องครั้งละคนเท่านั้น

“The type of love that I give to my significant other
is unique and that can only happens once
Not once in a lifetime, but once at a time…”

BICK: I think it’s a human thing, too, making a commitment มันเป็นคุณสมบัติเฉพาะของมนุษย์เรานะ  เราปักหลัก ปักใจกับใครทีละหนึ่ง เลือกคนนี้แล้วก็ลองให้รู้กันไป จนกว่าจะเลิกรักคนนี้ ก็เอ้า ไปเริ่มกับคนใหม่ อย่างนั้นก็ปกติปะ ไม่ได้ผิดบาปอะไรหรือเปล่า

06:48
FIAT: อีกกรณีหนึ่งที่ ถ้าเกิด เราควรต้องมานั่งคิดว่าควรจะยังไงต่อดีก็คือ ต่างฝ่ายต่างเริ่มห่างเหินจากกัน

When we drift apart

You stop caring and don’t feel the urge to go see and spend time with each other. You don’t feel the need to make plans

มีเพื่อนสองคน รู้จักกันตั้งแต่อนุบาล คบหาและรักกันมายาวนาน ทุกวันนี้แต่งงานมีลูก เคยถามว่า นี่ไม่เคยมีช่วงจืดจางห่างเหินกันเลยหรือ เพื่อนคนที่เป็นภรรยาตอบว่า ก็ไม่ได้เข้าใจทุกอย่างที่เขาทำหรอก แต่ก็สนับสนุนหมดนะ ก็พยายามจะทำความเข้าใจ ไรงี้

“The effort to understand each other,
that’s love
ความพยายามจะทำความเข้าใจกัน
นั่นแหละ ความรัก”

BICK: Drifting apart นี่ไม่เรียกแย่นักนะ จะว่าไป เพราะมันต่างฝ่ายต่างจืดจาง เธอก็หนืด ฉันก็หน่าย ไม่น่าจะมีใครเจ็บไปกว่าใครมากมาย If it happens simultaneously, I don’t think one person would be more hurt than the other. That’s not so bad then, I guess.

สองคนอาจมีสิ่งสำคัญที่ต่างกันไปในจังหวะนั้นของชีวิต อาจเป็นเรื่องงาน ต้องเอางานก่อน คืออาจจะถูกคนแหละ แต่ผิดจังหวะ

08:13
อีกกรณีหนึ่งที่อาจเป็นสัญญาณว่าควรต้องทบทวนความสัมพันธ์ นั่นคือ When you feel the other person slipping away เมื่อเรารู้สึกได้ว่า เขาเริ่มหมดใจ

You see all the signs: All of the sudden they “need space”, they talk softly, secretly on the phone with someone all the time, they get annoyed easily when you’re around, for no apparent reasons, and even when you’re together you still feel lonely

เห็นสัญญาณอันตรายลอยมารางๆ จู่ๆ ก็ต้องการพื้นที่ส่วนตัวขึ้นมาซะงั้น จู่ๆ ก็หงุดหงิดง่าย โดยไม่มีเหตุผลแน่ชัด ชอบกระซิบกระซาบกับโทรศัพท์ แล้วก็ก้มหน้าก้มตา กดส่งข้อความหาใครไม่รู้อยู่ตลอด โทรศัพท์นี่เมื่อก่อนจับได้ดูได้นะ แต่เดี๋ยวนี้เป็นสิ่งต้องห้ามอย่างยิ่ง

BEAU: Now we know for sure it’s not going to work out. And you also know for sure that the other person will never say or do anything about it. So we need to end it ourselves and now we need to come up with things to say.

เอาล่ะ ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ควรอยู่กันต่อไปอย่างนี้ เราก็คงต้องพูดอะไรสักอย่างแล้วล่ะ จะพูดยังไงดี

Breaking up with someone is hard because that means breaking someone’s heart. Hurting someone’s feelings is never easy, especially when it’s someone you at least used to love

มันพูดยาก เพราะคุณอาจต้องหักอกคนเคยรัก

FIAT: โอ๊ย ‘คนเคยรัก’ เอามีดมาแทงกันเลยดีกว่า!

BICK: แต่มันก็ต้องทำแหละ เพราะมันเป็นสิ่งสมควร มันดีในระยะยาว ถึงจะเป็นสิ่งไม่น่าพูด ไม่น่าฟัง แต่วันนึงเขาจะขอบคุณเราที่กล้าพูดในวันนี้ และคุณก็จะขอบคุณตัวเองด้วย

Now you have your reasons. You have to do this because it’s the right thing to do. And even if it seems very unpleasant right now, they will understand and thank you later. YOU will thank yourself later.

11:10
“What do you say or hear at the end of relationship?”

คำพูดที่เรามักได้ยินตอนเลิกกันคืออะไรบ้าง เริ่มจากคลาสสิกสุดก่อนละกัน I’ll start with the classic

“It’s not working out”

ไม่ใครก็ใครสักคนคือเริ่มไม่สนุกละ ไม่แฮปปี้ละ ไม่เห็นอนาคตสดใสละ

11:31
BEAU: 
โบมีคลาสสิกหมายเลขสอง

“It’ not you, it’s me”

แต่เอาจริงๆ บางครั้ง อืม เธอนั่นแหละ

BICK: So you’re just being nice, huh? ตกลงนี่คือบอกแบบถนอมน้ำใจใช่มะ

BEAU: ประมาณนั้น แต่โบอยากจะบอกว่า หนุ่มๆ คะ ถ้าสาวๆ พูดแบบนี้ อย่าไปคิดมากว่าเขาอ้างหรือเปล่า บางทีเราหมายความว่าอย่างนั้นจริงๆ นะ Sometimes we DO mean it

ส่วนใหญ่จะเป็นเพราะเราไม่มีเวลาให้จริงๆ เราไม่พร้อมจะทุ่มเทให้ความสัมพันธ์จริงๆ เธอไม่ใช่ปัญหา ความเป็นตัวเธอไม่ใช่เหตุผลที่ฉันปฏิเสธ You’re a great guy, I’m just not ready. เธอเป็นผู้ชายที่ดีนะ แต่ฉันยังไม่อยากมีแฟนตอนนี้

FIAT: อาจพูดได้ว่า

“I’m not ready for commitment”

ยังไม่พร้อมจะดูแลใครอีกคนในชีวิตจริงๆ

BEAU: เรื่อง commitment นี่ สำหรับโบคือ ถ้าเพิ่งคบกันได้แค่สองสามเดือน แล้วผู้หญิงจะไปเยอะใส่นี่ก็เห็นใจฝ่ายชายนะ แต่ถ้าซักปีนึงไปแล้ว อันนี้ควรเห็นทิศทางนิดนึง มันน่าจะรู้แล้วว่าอยากจริงจังกันในระดับไหน คือต่อให้ยังไม่ใช่ต้องแต่งงานกันแล้วก็เถอะ แต่ผู้หญิงก็จะอยากรู้นะว่าเราจะพากันเดินไปไกลแค่ไหน

“Where is this relationship going?”

ถ้าไม่มีอะไรชัดเจนเลย ผู้หญิงอาจจะแบบ คบฉันแบบหลบๆ ซ่อนๆ ปะ พ่อแม่ไม่เคยให้เจอ โบว่าหลังหนึ่งปีไปแล้วควรรู้จักกันมากพอจะตัดสินใจว่า เราอยากจะคบกับคนคนนี้จริงจังแค่ไหน

FIAT: แต่ไม่ใช่ว่าคบกันสองเดือนแล้วถามตลอดว่า เธอ เราจะตั้งชื่อลูกเราว่าอะไรดี เธอ เราจะไปฮันนีมูนที่ไหนดี

BEAU: หรือ เธอ นิ้วนางของเราเปลือยเปล่าเหงาหงอยมาก

BICK: เฮ้ยแต่บางทีผู้ชายก็เป็นฝ่ายเยอะนะ คือเดี๋ยวนี้ผู้หญิงจะกลายเป็นเหมือนผู้ชายสมัยก่อน ไม่อยากรีบจริงจัง ไม่ได้คิดว่าการสร้างครอบครัวสำคัญที่สุดอีกต่อไป บางคนอยากมุ่งงานมากกว่า

They might go for their career instead of family. Some might have seen what happened to those who got married too soon and how things fell apart for them. Some might come from a broken home so they don’t have a healthy concept of family

บางคนเห็นคู่อื่นที่แต่งกันเร็วแล้วพัง เลยกลัว บางคนมาจากครอบครัวที่พ่อแม่หย่ากัน มันเลยไม่มีภาพบวกของเรื่องความเป็นครอบครัว แบบนี้ก็มี

Some guys are into the idea of being a father. My point is, it’s not just a girl thing คือขณะเดียวกัน ผู้ชายหลายคนก็อยากเป็นผัวเป็นพ่อนะ ประเด็นคือ เรื่องอยากมีครอบครัวเนี่ย จะบอกว่า ผู้หญิงก็เป็นงี้ทุกคนแหละ อันนี้ไม่ใช่ละ มันไม่แฟร์ เพราะผู้ชายก็เป็นเยอะแยะ

FIAT: สมัยนี้ผู้หญิงตัวเลือกเยอะด้วยไง ไม่รีบ

BEAU: จริง สวยเลือกได้นะ

15:13
BICK: เอาล่ะ มีแบบ มาเป็นพวง สามประโยคซ้อน

“I need some space”
“เราอยากได้พื้นที่ส่วนตัวนิดนึง”

“Let’s slow things down”
“เราศึกษาดูใจกันนานหน่อย ไม่ต้องรีบเนาะ”

“Let’s take a break”
“เราพักทุกอย่างไว้ก่อนได้ไหม”

คือพี่ว่าถ้าได้ยินอีสามประโยคนี้ มันไม่ได้แค่อยากได้พื้นที่ส่วนตัว หรืออยากไปด้วยกันช้าๆ หรือพักสักครู่อะไรหรอก มันอยากเลิกเลยมากกว่า

BEAU: แต่บางทีมันก็จริงนะ เราอาจเคยได้ยินหรือเคยพูดว่า

“I need to focus on my job right now”
“ตอนนี้อยากตั้งใจและเอาดีเรื่องอาชีพการงานก่อน”

“I’ve got a lot going on right now”
“ตอนนี้ชีวิตเรายุ่งเหยิงมากเลย”

เหมือนข้ออ้าง แต่มันเข้าใจได้นะ งานเราสำคัญไง ซึ่งแฟนก็จะงอแงว่า อ้าว แล้วฉันล่ะ “What about me? Am I not important to you?” เราไม่สำคัญเพียงพอสำหรับเธอหรือไง

ก็อาจตอบได้ว่า “Yes, you are. But I’m maybe too young to commit JUST to this” สำคัญสิ แต่ตอนนี้เราอาจจะยังเด็กเกินกว่าจะมีแต่เรื่องความรักความสัมพันธ์เพียงอย่างเดียวในชีวิต เรายังต้องมีอย่างอื่นด้วย แล้วเราก็รู้สึกว่า ยังไงเราก็ให้เวลาและความใส่ใจ กับเธอไม่เพียงพอกับที่เธออยากจะได้จากเรา Maybe I can’t be there for you as much as you’d like. Sometimes my boss might call me at midnight all the time and I don’t wanna drag you into that. เพราะตอนนี้เราต้องทุ่มเทให้กับงาน บางทีเจ้านายโทรมาเที่ยงคืนยังเงี้ย เราก็ไม่อยากให้เธอต้องมาเจออะไรแบบนี้กับเรา มันไม่แฟร์สำหรับเธอ

16:38
BICK: มีอีกสามใบเถา มาเป็นชุดอีกแล้ว

“You’re too good for me”
“เธอดีเกินไปสำหรับฉัน”

“I’m not good enough for you”
“ฉันไม่ดีพอสำหรับเธอ”

“You deserve someone better”
“เธอยังหาได้ดีกว่าฉันเยอะ”

FIAT: คือเรื่องแบบนี้มันต้องถามอีกคนปะ อย่าไปคิดแทนเขาดิ เป็นเราก็จะบอกว่า  ไม่ต้องมาบอกว่าเธอไม่ดีพอสำหรับฉัน ฉันคิดเองได้ว่าเธอดีหรือไม่ดีพอสำหรับฉัน

“Don’t tell me what’s good for me
I know what’s good for me!”

BEAU: ใช่ ให้เราตัดสินด้วยตัวของเราเอง Let me be the judge! แล้วอีกอย่าง ถ้าฉันดีนักหนา ทำไมเธอไม่อยากอยู่กับฉันเล่า เธอเป็นคนไม่รักดีขนาดนั้นเลยเหรอ Why don’t you wanna be with me if I’m such a good influence!
เอ้า แต่มองต่างมุม อันนี้อาจเพราะดูละครเยอะนะคะ บางทีเขาอาจคิดว่าเขาต้อยต่ำ ไม่คู่ควร He feels less than you
(พี่บิ๊ก: เป็นนายกระจอกที่มาหลงรักดอกฟ้า ยังงี้ปะ)

แต่อย่างที่พี่เฟี้ยตบอก ขอเราตัดสินใจเองได้ไหม ต่อให้ไม่ดีพอ แต่ฉันถือปะล่ะ เปล่าไง Do I mind? No. If I do, then you can go. But I don’t. So, come up with another excuse. Don’t use this one! ดังนั้น กลับไปคิดข้ออ้างอื่น อย่ามาใช้เรื่องนี้เป็นเหตุ

FIAT: หลายครั้งเราว่ามันเป็นเพราะไม่คุยกัน ไม่สื่อสารกัน ก็ไปนั่งคิดอยู่คนเดียว มันเลยคิดได้ยังงี้ไงล่ะ แล้วเป็นไง จู่ๆ ก็ เลิกกันเถอะ เธอจะได้ไปดี เดี๋ยว ปรึกษากันก่อนไหม

เราว่า “คนที่ใช่” ไม่ได้หมายถึง “คนที่ดีที่สุด”
แต่เป็น “คนที่เหมาะกับเราที่สุด” ต่างหาก
“Finding the right partner is not finding the best one
but it’s finding the compatible one…”

18:18
FIAT: อีกหนึ่งประโยคได้ยินบ่อย

“I love you but I’m not in love with you”
คือ ยังรักนะ แต่ไม่ได้รัก “แบบนั้น” อีกแล้ว

“My feelings for your have changed”
ความรู้สึกมันเปลี่ยนไปแล้วแหละ The love is not there anymore. The butterflies in the stomach are not there anymore. ความรู้สึกปั่นป่วนรัญจวนใจแบบเดิมมันไม่อยู่แล้ว

BEAU: ใช่ คือรักนะ แต่ไม่ได้รักแบบเดิมแล้ว I don’t feel that spark anymore

19:00
BICK: เอาล่ะ มาถึงอันนี้ พี่ว่าสุดยอดละ ปิดจ๊อบทันที ไม่ตัองสืบ

“There’s someone else”
ฉันมีคนอื่น

FIAT: ช็อกอะ!

BEAU: เจ็บอะ!

FIAT: เอาปืนมา!

BEAU: นังนั่นเป็นใคร!

BICK: This is pretty hard to admit, let alone saying out loud because basically you’re saying that you have been seeing other person behind their back. And it might have gotten serious already

นี่เป็นประโยคที่พูดยากมาก เพราะถ้าพูดออกไปเท่ากับยอมรับว่านอกใจ ถูกมะ คือถ้าเราพูดว่า “I’m in love with someone else” คืออาจแปลว่า แค่ไปแอบหลงรัก ต่อให้ยังไม่ได้อะไร แต่ใจไปแล้วแหละ แต่ถ้าใช้คำว่า “There’s someone else” เท่ากับยอมรับว่า ไปเจอคนอื่นที่ถูกใจ และไม่ได้แค่แอบถูกใจอยู่ในซอกหลืบ That could mean things between them might have turned mutual น่าจะแปลว่า แอบคบกันแล้ว

ซึ่งถ้าลงเอยแบบนี้ ก็จบกับคนนี้เถอะ แล้วค่อยไปคบคนใหม่ เรื่องนี้มันไม่ได้แปลกประหลาดนะ เกิดกันได้แหละ ไอ้อาการหมดรัก หรือไปรักคนอื่นมากกว่าคนปัจจุบัน แต่มันต้องยอมรับกับตัวเองก่อนว่า เรื่องแบบนี้มันต้องจบ แล้วค่อยไปเริ่มใหม่ อย่าหลอกตัวเองว่า ไม่เป็นไร อยู่ไปยังงี้ก็ได้ เอาจริงๆ มันเป็นความกล้าหาญด้วยซ้ำ ถ้ากล้าเลิกเพราะสมควรเลิก เพราะมันไม่ใช่แล้วเนี่ย

21:58
เอาล่ะครับ ปิดท้ายรายการวันนี้ เราแต่ละคนก็ต่างมีอะไรมาฝาก ของผมเป็นเพลงหนึ่งเพลงที่ชอบมาก ซึ่งเพราะมาก แต่เนื้อเพลงมันเศร้ามากเลยนะ และนี่อาจเป็นอะไรที่ขัดแย้งกับปรัชญาของรายการ คือต่อให้เป็นเรื่องพูดยาก แต่มันมีวิธีพูดให้ถูกต้องถูกใจ ก็ขอให้พูดออกมาเถอะ จะได้รู้เรื่องกันเสียที

แต่กรณีนี้เราเห็นด้วยกับเพลงนี้ของ No Doubt นะ
DON’T SPEAK
(จากอัลบั้ม Tragic Kingdom ปี 1995)

“…It looks as though, you’re letting go
And if it’s real, well, I don’t want to know
Don’t speak, I know what you’re saying
So please stop explaining
Don’t tell me cause it hurts
Don’t speak, I know what you’re thinking
And I don’t need your reasons
Don’t tell me cause it hurts”

อย่าพูดเลย ฉันรู้ว่าเธอจะพูดอะไร
ไม่ต้องอธิบายอะไรทั้งนั้น
ฟังไปก็เจ็บเปล่าๆ
อย่าพูดเลย ฉันรู้ว่าเธอคิดอะไรอยู่
ไม่ต้องบอกเหตุผลให้ฉันรับรู้
ฟังไปก็เจ็บเปล่าๆ

คือบางคนก็ไม่อยากได้ยิน

BEAU: แต่เป็นโบก็อยากได้เหตุผลนะ อาจเป็นเพราะผู้หญิงเราชอบถูกทำร้ายมั้ง We like to be hurt. We like to have, like, pins poking at us! แบบ ทำร้ายฉันสิ ทิ่มแทงฉันสิ

ไม่ใช่ผู้หญิงทุกคนหรอก ก็คงขึ้นอยู่กับแต่ละคน แต่โบอยากรู้เหตุผล เราจะได้จบ ไม่งั้นก็คิดไปเอง ฟุ้งซ่านเลวร้ายสารพัดจะนึก แล้วก็มานั่งหมกมุ่นโทษตัวเอง

“For me I need that closure. I need the reasons why.
Or else my imagination would assume the worst.
I would think it’s because of me.
What did I do wrong!
I need to know what happened…”

BICK: I totally get that, but then again, I think some people just don’t wanna hear because it would just make them feel even worse. They might just wanna know IF it’s over. So we could go our separate lives. And they definitely don’t need another person to actually list, “50 Reasons Why I Don’t Want To Be With You Anymore”

คือฟังคำอธิบายหรือเหตุผลไปก็มีแต่จะรู้สึกแย่ลง เขาแค่อยากรู้ว่า โอเค จบใช่ปะ อะ ได้ ทางใครทางมัน พอละ แต่การที่จะให้อีกคนแจกแจงแบบว่า ต่อไปนี้คือ “50 เหตุผลที่ฉันไม่อยากอยู่กับเธออีกต่อไป” โห เจ็บนะ

My point is, it should be long enough for you to know what they expect or don’t expect to hear. If you’re the one who’s breaking up, do it for them. If they don’t seem to wanna know, don’t say anything even though you want to explain yourself. Maybe you don’t want to end on bad terms and you believe saying things will help. But sometimes it won’t

ประเด็นคือ คบกันมาประมาณนี้แล้ว เราน่าจะรู้จักเขาดีพอว่า เขาน่าจะอยากได้ยินอะไรแค่ไหน ถ้าเราเป็นคนบอกเลิก ก็ถือว่า ทำเพื่อเขาแล้วกัน ถ้าเขาไม่อยากได้ยินอะไรยืดยาว ต่อให้เราอยากอธิบาย เพราะอยากจากกันด้วยดี เราเลยคิดว่า เราจะพูดให้อะไรมันจบลงได้สวยงาม แต่บางทีมันไม่ช่วยหรอก ถ้าเขาไม่มีทีท่าว่าอยากฟัง ก็หุบปากไว้ ยิ้ม พยักหน้า บอกลา และหายหัวไปเถอะ

25:01
FIAT: เราชอบหนังเรื่องนี้ He’s Just Not That Into You (2009)
“But what I can do is paint you a picture of what you’ll never see when you’re with a guy who’s really into you:
You’ll never see you staring maniacally at your phone, willing it to ring.
You’ll never see you ruining an evening with friends because you’re calling for your messages every fifteen seconds.
You’ll never see you hating yourself for calling him when you know you shouldn’t have.
What you will see is you being treated so well that no phone antics will be necessary.
You’ll be too busy being adored.”

“จะอธิบายให้เห็นภาพเอาไหมว่า ถ้าเธอได้อยู่กับคนที่รักเธอจริงๆ อะไรที่เธอจะไม่มีวันได้เห็น
เธอจะไม่มีวันได้เห็นตัวเองเอาแต่นั่งจ้องโทรศัพท์ ภาวนาให้เขาโทรมาหาเสียที
เธอจะไม่มีวันได้เห็นตัวเองทำเพื่อนๆ นั่งเซ็ง เพราะได้แต่เฝ้าโทรเช็คข้อความที่เขาอาจฝากเอาไว้
เธอจะไม่มีวันต้องมานั่งเกลียดตัวเอง เพราะเฝ้าแต่โทรไปจิกตามเขาทั้งที่รู้ว่าไม่ควร
เธอจะได้เห็นแต่ภาพตัวเองถูกคนที่รักเธอจริงดูแลอย่างดี จนไม่มีความจำเป็นจะต้องนั่งเฝ้าโทรศัพท์ เธอจะได้รับแต่ความรักจนไม่มีเวลามานั่งกังวล”

คือถ้าเราต้องเอาแต่วิ่งไล่ วิ่งตามใครสักคน ตลอดเวลา มันก็คงไม่ใช่แล้วล่ะ เขาหรือเธอคนนั้นคงไม่ได้รักเรามากพอ

26:38
BEAU: โบอยากพูดถึงหนังเรื่องนึงที่ถึงจะว่าด้วยเรื่องการเลิกราก็จริง แต่จะทำให้คุณยิ้ม และหัวเราะออกมาดังๆ โดยเฉพาะ the dumpee คือคนที่ถูกเขาทิ้งเนี่ย ต้องดูเลยนะ

I’m just gonna go with a movie that can heal a break up. Legally Blonde (2001)

Elle bounced up from a really bad break up and that pushed her to Harvard Law School  and she ended up one of the best lawyers.

ในหนังเนี่ยนางถูกทิ้งไง แต่นั่นคือทำให้ชีวิตเปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น เข้าฮาร์วาร์ด กลายเป็นทนายอันดับหนึ่งของประเทศ ต่อให้เป็นเรื่องแต่งก็เถอะ แต่มันสามารถเป็นแรงบันดาลใจได้นะคะ

My favorite scene is when the professor turns to Elle and said “If you’re going to let one stupid prick ruin your life… you’re not the girl I thought you were.”

“ถ้าเธอจะยอมปล่อยให้ไอ้งี่เง่าคนหนึ่งมาทำลายชีวิตเธอได้ง่ายๆ ล่ะก็ ฉันคงมองเธอผิดไป”

คือ โอเค ถูกเขาทิ้งมา แต่ไม่สน! ฉันจะพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ฉันจะครองโลก!

BICK: It’s like what they say,

“The best revenge is to be happy and successful”
การแก้แค้นที่ดีที่สุด
คือจงมีความสุขและประสบความสำเร็จ

ทำให้เขาเสียดายสิลูก

FIAT: ที่สุดแล้วคือ เราต้องรักตัวเองแหละ

Tags: