ที่มาที่ไปของตอนพิเศษในครั้งนี้
0.33
BICK: 
นับจากปีนี้ไป วันที่ 13 ตุลาคม จะมีความหมายใหม่สำหรับคนไทย ในฐานะวันที่น่าโศกเศร้าที่สุดของปี ที่จริงเราแพลนและอัดรายการไว้แล้ว 4 เอพิโสด แต่มันสนุกสนานขัดแย้งกับอารมณ์ช่วงนี้ของเรามาก พอดแคสต์ทั้งหมดของเดอะโมเมนตัมจึงเลื่อนออกอากาศไปก่อน

แต่เอพิโสดพิเศษนี้ก็เกิดขึ้นจากโบ ที่ส่งเมสเสจมาหาผมและเฟี้ยต ข้อความของโบบอกว่าอะไรครับ

BEAU:
วันที่ได้ข่าว โบก็โพสต์ข้อความเกี่ยวกับท่านลงไอจี เล่าว่า เพื่อนต่างชาติเคยสงสัยและถามว่า ทำไมคนไทยรักในหลวง มาวันรุ่งขึ้นก็เห็นคุณครูลูกกอล์ฟโพสต์ข้อความคล้ายกัน นั่นคือ ถ้าคนต่างชาติถามเรา เราสามารถตอบว่าอะไรได้บ้าง โบเลยส่งข้อความถามมาว่า พี่ๆ คะ ทำไมเราไม่ทำเอพิโสดเรื่องนี้กัน มันเหมาะกับ What Do You Say มากเลย นั่นคือ “What do you say when a foreigner ask why do we love our king?” ทำไมเราถึงรักในหลวงของเรา

FIAT:
และวันนี้เราคงมีเรื่องราวและวิธีการพูดมากมาย จากประสบการณ์ของแต่ละคนมาเล่าสู่กันฟัง

ความรักของคนไทย ทำไมกลายเป็นเรื่องพูดยาก
2.06
BICK:
เข้ากับคอนเซ็ปต์รายการเรา คือนี่เป็นเรื่องพูดยากเหมือนกัน สำหรับตัวพี่เอง พี่คิดว่าเป็นเพราะในหลวงอยู่ในชีวิตของเรามาโดยตลอด หนึ่งทุ่ม ข่าวในพระราชสำนัก เห็นในหลวงในทีวีมาโดยตลอด มันเลยกลายเป็นความรักความผูกพัน ความจงรักภักดี ต่างๆ ที่มันอยู่ในชีวิตเรา โดยที่เราไม่เคยต้องมานั่งคิดหาว่า เหตุผลคืออะไรนะ ไม่เหมือนกับคนอื่นที่เขามองเข้ามา หรือดีไม่ดี เด็กรุ่นใหม่สมัยนี้ที่ไม่ได้ผูกพันกับในหลวงมานานขนาดนั้น การที่เราไม่รู้จะพูดอะไรออกมา เป็นเพราะเราไม่เคยรู้สึกถึงความจำเป็นในการ  Put those feelings into words (จับความรู้สึกมาปั้นแต่งเป็นคำพูด) ​We don’t have to articulte anything to justify our feelings (เราไม่เคยรู้สึกว่าเราจำเป็นต้องอธิบายความรู้สึกของเราด้วยคำพูดสวยหรูที่เปี่ยมด้วยเหตุผลจูงใจให้ใครเห็นว่า ทำไมเราจึงรัก) Most of the time you don’t have to expain this kind of feelings to anyone at all (ส่วนใหญ่เราไม่เคยจำเป็นต้องอธิบายความรู้สึกเหล่านี้ให้ใครเข้าใจเลย)

FIAT:
พี่แอม-เสาวลักษณ์ She said that she thought she was a good writer. She thought she could manage to express her feelings into words. (พี่แอมบอกว่า ปกติเธอติดว่าตัวเองเป็นนักเขียนที่ไม่เลว และสามารถถ่ายทอดความรู้สึกลงมาเป็นตัวหนังสือได้ดี)

To me, she was a very rich person in terms of words and the way she expresses herself, but this time she said she’s out of words. She’s devastated. (เฟี้ยตคิดว่าปกติพี่แอมเป็นคนที่รุ่มรวยในถ้อยคำมาก แต่ครั้งนี้พี่แอมบอกว่าไม่สามารถหาคำใดๆ มาแทนความรู้สึกได้จริงๆ เพราะความรู้สึกตอนนี้แตกร้าวพังทลายมาก)

BICK:
I can relate to that because I am a writer, too. And I also find it very hard to express how we, as a Thai person, feel into words. เข้าใจเลยนะ เพราะเราก็เป็นนักเขียนเหมือนกัน พี่ว่ามันยากมากจริงๆ มันเลยกลายเป็นโจทย์ที่เหมาะสำหรับ What Do You Say สมมติสถานการณ์อย่างที่โบเล่ามาคือ เมื่อเพื่อนต่างชาติถามว่า ทำไมเรารักในหลวงของเราจังเลย เราจะตอบยังไง เราจะให้เหตุผลกับเขายังไงดี

BEAU:
Personally that happened to me a lot when I was studying in the States. A lot of my foreigner friends would come and ask me, ‘why do you love your king so much?’, and they would use the word, ‘why do you worship him so much? Is it because he’s god-like to you guys?
(เรื่องนี้โบเองเจอประจำสมัยเรียนอยู่อเมริกา เพื่อนต่างชาติจะถามตลอดว่า ทำไมเธอถึงรักกษัตริย์ของเธอขนาดนี้ ที่จริงเขาใช้คำนี้ด้วยซ้ำว่า ทำไมจะบูชาอะไรขนาดนั้น เป็นเพราะคนไทยคิดว่ากษัตริย์เป็นสมมติเทพอะไรอย่างนั้นหรือ)

I saw it on CNN the other day where a reporter actually refered to our king as a god or beyond a god and that’s why Thai people worship him. He also interviewed a Thai lady, and seriously I wanna stand up and clap for her because she gave the perfect answer. She said our king is not God. We love him because he’s like a father to us because he wants the best for us… I’m sorry I keep using present tense as if he’s still here. It’s still surreal.
(วันก่อนโบเห็นข่าวซีเอ็นเอ็น มีนักข่าวใช้คำนี้เหมือนกันว่า กษัตริย์ไทยมีฐานะเทียบเท่าเทพ เขาสัมภาษณ์ผู้หญิงไทยคนหนึ่งซึ่งโบอยากยืนปรบมือให้มากๆ เพราะเธอตอบคำถามได้เยี่ยมยอด เธอพูดว่า ในหลวงไม่ใช่พระเจ้า แต่ในหลวงเป็นเหมือนพ่อที่ต้องการให้ลูกได้รับสิ่งที่ดีที่สุด)

But I also want to give Kudos to the reporter because, I actually googled him up and he was very professional and he did his research. Personally I’ve answered this question so many times but I answered in my own way and less complicated I think.
(แล้วโบก็อยากจะชื่นชมตัวคุณนักข่าวด้วย เพราะเป็นมืออาชีพมาก และเห็นได้ชัดเจนว่าเขาทำการบ้านมาอย่างดี นี่ถึงขนาดไปกูเกิ้ลดูเลยนะว่าเป็นใคร ส่วนตัวแล้วโบเคยตอบคำถามนี้มาแล้วหลายครั้งนะคะ แต่โบพูดเรียบง่ายในแบบของตัวเองแหละ)

ความรู้สึก ณ วันที่ 13 ตุลาคม
5.59
FIAT:
Okay before we go into our personal reasons why we love our king, I’d like you to trace back to the day when it happened, on the 13th of October. What has happened to you guys, how was the feelings and how has it been so far? Starting with P Bick.
(ก่อนที่จะไปถึงเหตุผลที่แต่ละคนรักในหลวง เฟี้ยตอยากชวนย้อนกลับไปถึงวันที่ 13 ตุลาคมกันสักหน่อยว่า วันนั้นเกิดอะไรขึ้นกับแต่ละคน และรู้สึกอย่างไรกันบ้าง)

BICK:
บรรยากาศมันอึมครึม บรรยากาศมันอึดอัด เอาเข้าจริงๆ แล้ว It’s the most natural thing in the world. This day would come for us eventually. And we know ‘this day’ will come, right? But it’s totally different what you have imagined in your head how you would cope with it, compared to what actually happened and the kind of feelings that rushed into you and everybody around you. I think we were still trying to convince ourselves that this has actually happened.
(เรื่องนี้มันธรรมชาติที่สุดในโลก ทุกคนรู้ว่าวันแบบนี้ต้องมาถึงเราทุกคนในที่สุด และเราทุกคนก็รู้ว่า ‘วันนี้’ ต้องมาถึงพวกเราในที่สุดเช่นกัน แต่มันคนละเรื่องเลยระหว่างสิ่งที่เราจินตนาการไว้ในหัวว่า เราจะรับมือกับมันอย่างไร กับสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ ความรู้สึกที่โถมเข้าใส่ตัวเราและทุกคนรอบข้าง พี่ว่าเราคงยังพยายามบอกตัวเองอยู่เลยว่า นี่มันเกิดขึ้นจริงๆ นะ)

BEAU:
I wanna go back to the day before. I was on set, shooting a series, a lakorn. On the day prior to the 13th we have been receiving a lot of rumors on social network. On my set people are starting to cry already. We started to get really emotional about it.
(โบอยากเล่าไปถึงวันก่อนหน้านั้น โบกำลังถ่ายละครอยู่ ก่อนหน้านั้นเราได้ข่าวลือจากโซเชียลมากมายแล้วล่ะ หลายคนเริ่มร้องไห้แล้วด้วยซ้ำ อารมณ์มากันเต็ม)

Then someone called the hospital and they said there’s nothing going on over here, it’s just a rumor. We were all like, okay, at least we could breathe. Thank God it was just a rumor and we went back to our everyday life.
(ก็มีคนโทรไปถามที่โรงพยาบาลสิริราช เขาก็บอกว่า ไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะ เราก็ถอนหายใจโล่งอกกัน แล้วกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ)

Then on the next day, the 13th, I was on my way to a gala event for a musical with one of my best friends, Ron AF5. I went to pick him up and we were on the way there. We stopped by a flower shop. I looked at my LINE right after we parked and I saw a LINE message from พี่แบงค์ แคลช saying ‘น้อง ไม่ต้องมาแล้วนะ’
(วันที่ 13 โบกับรอน เอเอฟ 5 เพื่อนสนิทกำลังขับรถจะไปงานเปิดตัวละครเวที ระหว่างทางที่แวะร้านดอกไม้ พอจอดรถก็ได้ข้อความจากพี่แบงค์ แคลช ว่า น้อง ไม่ต้องมาแล้วนะ )

And in my heart I kind of knew because I sort of heard through the grapevines in the afternoon. I didn’t wanna ask what happened so I asked why, and he said everybody’s crying here, the whole theatre.
(ในใจลึกๆ เราเริ่มรู้ เพราะได้ยินจากข่าวลือมาตลอดทั้งบ่าย โบไม่อยากถามตรงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น แต่ก็ถามไปว่า ทำไมเหรอ เขาบอกว่า ตอนนี้คนร้องไห้กันทั้งโรงละครเลย)

And that’s when it hit me, like P Bick said, we were always in denial. And I asked, is it official? Did they announce it? He said, you don’t need to hear the announcement. I’ve heard from a very credible source that it is true.
(ตอนนั้นแหละที่ความจริงวิ่งชน และเหมือนที่พี่บิ๊กพูดก่อนหน้านี้ว่า เราพยายามที่จะไม่ยอมรับความจริงกันมาโดยตลอด โบถามต่อว่า เขาประกาศอย่างเป็นทางการหรือยัง พี่แบงค์บอกว่า มีแหล่งข่าวที่เชื่อถือได้บอกมาว่าแน่นอนแล้ว)

I told Ron. We looked at each other and kinda went silent for a little bit, like kinda in shock. Immediately we made a u-turn and I dropped him off at home, then I went home. That night when my husband returned home we were all, as a family, waiting in front of the TV for an official announcement.
(โบบอกรอน แล้วเราก็อึ้งไปด้วยความช็อกอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็กลับรถ โบไปส่งรอน แล้วก็กลับบ้าน คืนนั้นพอสามีกลับบ้าน เราทั้งครอบครัวก็เฝ้าหน้าทีวีเพื่อรอฟังข่าวและประกาศอย่างเป็นทางการ)

We flipped through the channels and on one of them they had regular news and the newscasters were wearing pink, still. They said, you know a lot of our citizens went to Siriraj today เพื่อให้กำลังใจพระองค์ท่าน and I looked at my husband and was like, wait, this is a news channel, why is the information not updated? So we decided to change the channel and then, like, a couple seconds later, a black-and-white announcement came on and that when it really hit. My entire family went silent. We just sat there and watched and we couldn’t believe it.
(เราเปิดดูช่องต่างๆ เพื่อหาข่าว เจอช่องนึงเป็นข่าวปกติ และผู้ประกาซยังใส่ชมพูอยู่เลย แถมบอกด้วยว่า วันนี้ประชาชนมากมายๆไปถวายพระพรที่ศิริราช เราก็ เอ นี่ช่องข่าวไม่ใช่เหรอ ทำไมเขายังไม่รู้ ดูไม่อัพเดตใดๆ ก็เลยเปลี่ยนช่อง ทีนี้อีกไม่กี่วินาทีถัดมา ประกาศจากทางการก็ขึ้น บ้านโบนั่งอึ้งกันหมด ไม่อยากเชื่อเลยว่าเป็นความจริง)

FIAT:
When I received the news I think I went weak. I didn’t wanna cry, you know, I didn’t wanna go dramatic. And also because of my belief about buddhism I think if you mean well to anyone at all whether the person is still alive or they’re not here anymore, we should have a peaceful mindset instead of chaotic and screaming saddening one. It’s not good for ourselves and not good for the person who has passed away.
(ตอนรู้ข่าวก็เข่าอ่อน หมดเรี่ยวแรงไปเลย แต่ไม่ได้ร้องไห้นะครับ คือเราไม่อยากจะดราม่า คือด้วยความที่เฟี้ยตเชื่อหลักพุทธศาสนาอันหนึ่งว่าการสงบจิต ไม่ฟูมฟาย จะเป็นผลดีต่อทั้งตัวเราและผู้ล่วงลับ)

But at the same time, because I like to read psychology, and psychology would say this is the mourning period, which means you’re supposed to cry your heart out. And I’m fighting between the two inside. I don’t know what happened to me but I couldn’t sleep for three days. Whenever I get stressed I’d be sleepy a lot and I’d eat a lot. But even though I tried to sleep I couldn’t sleep. I was up all night, that’s what happened to me.
(แต่ในขณะเดียวกัน เราก็ชอบอ่านเรื่องจิตวิทยาด้วย ตำราบอกว่า ในช่วงของความโศกเศร้าก็ควรจะต้องโศกเศร้าให้เต็มที่ อยากร้องไห้ก็ร้องออกมาเสีย สองแนวคิดนี้มันสู้กันอยู่ในตัวเรา ผลคืออะไร นอนไม่หลับไปสามวัน ปกติเวลาเครียด เฟี้ยตจะนอนเยอะกินเยอะ แต่คราวนี้พยายามแค่ไหนก็หลับไม่ลง)

I know it’s because I kept everything inside. Until today I haven’t cried but I know one day it will come out. When my grandmother passed away I didn’t cry either, even though I went to pick up her body at the hospital to the funeral. I cried a few years after that and since then I cried whenever I missed her. Things were gradually came up bit by bit like jigsaw of feelings and experiences will come back bit by bit too. Probably the same thing is happening to me right now as well.
(รู้เลยว่าเป็นเพราะเรากักเก็บทุกอย่างไว้ข้างใน จนถึงวันนี้ยังไม่ร้องไห้เลยนะ ซึ่งเรารู้ว่าวันหนึ่งมันต้องทะลักทลายออกมาแน่ๆ เหมือนตอนอาม่าเสีย เฟี้ยตก็ไม่ได้ร้องไห้ ตอนไปรับศพจากโรงพยาบาลมาไว้ที่วัดก็ไม่ร้องไห้ แต่มาร้องเอาสองสามปีให้หลัง ความรู้สึกมันใช้เวลาค่อยๆ เอ่อล้นขึ้นมาทีละนิด เศษชิ้นส่วนของอารมณ์มันค่อยๆ ประกอบกันขึ้นมาทีละน้อย เฟี้ยตคิดว่าครั้งนี้ก็อาจจะเป็นแบบเดียวกันนะ)

BEAU:
I think the moment that it hits me was the next day when I was driving on the street and I saw people in black everywhere. I would drive by the spot where there used to be his picture and it’s not there anymore. (FIAT: and there’s only the frame left. That is very heart-broken)
(จังหวะที่ทำให้โบรู้สึกมากที่สุดคือวันรุ่งขึ้น ตอนขับรถไปแล้วเห็นทุกคนใส่ชุดดำ แล้วช่วยที่ขับผ่านจุดที่ปกติจะต้อวเห็นรูปของท่าน วันนี้ไม่อยู่แล้ว (เฟี้ยต: เหลือแต่กรอบ อันนี้ใจสลายจริงๆ))

It’s so symbolic, too. It’s sort of like a void in people’s hearts, in Thailand’s heart. That’s when it hits me, when I saw everyone wearing black. It’s like the entire country has gone into mourning. I got teary eyes and i cried in my car as I was driving to work. I had to work the next day: we were doing a special song for him.
(มันเป็นสัญลักษณ์ของความสูญเสียที่เห็นได้กับตามากเลยนะ มันเหมือนเกิดเป็นรูโหว่อันว่างเปล่าในหัวใจของคนไทย มองไปทางไหนก็เห็นแต่ชุดดำ ทั้งประเทศไว้ทุกข์พร้อมเพรียงกัน โบน้ำตาไหลเลยนะ ขับรถไปร้องไห้ไป คือวันรุ่งขึ้นนั้นต้องไปทำงาน เพราะเรากำลังทำเพลงพิเศษให้ท่าน)

FIAT:
I ate a lot one day, and the next day I couldn’t eat at all. I don’t know what happened to me. (BICK:your body’s messed up) (BEAU: it’s the stress) I know, it is. I feel like throwing up a lot of times, too. (BICK: It’s like you can’t cope, you can’t handle and manage the stress. If you had cried, that might not happen actually.) (BEAU: it might have made you feel better)
(ส่วนเฟี้ยตก็ วันนึงกินไม่หยุด แต่มาอีกวันกินอะไรไม่ลงสักคำ เป็นอะไรก็ไม่รู้ (พี่บิ๊ก: ร่างกายมันรวนอะ) (โบ:ความเครียดน่ะพี่) แล้วก็รู้สึกอยากอ้วกตลอดเวลา (พี่บิ๊ก: เหมือนร่างกายมันรับมือไม่ทัน จัดการความเครียดไม่ถูก นี่ถ้าได้ร้องไห้ออกมาน่าจะไม่เป็นแบบนี้ พี่ว่า) (โบ: อาจจะรู้สึกโล่งเลยนะ)

Right, but I think I need to cry alone, though, because, you know, when one person starts crying it will go on and on and people will cry for no reason, but I want to cry for a reason. After his majesty the king passed away, the next day I went to Sanam Luang for the procession taking the body to the temple. My friend was there at 8 in the morning just to get the spot. He wanted to see, to witness… คือต้องการกราบให้ใกล้ที่สุด (BEAU: I heard there was silence when the car drove by) It was really sad because they announced that “ห้ามพูดว่า ‘ทรงพระเจริญ’ แล้วนะครับ” We couldn’t even do that anymore.
(ก็รู้แหละ แต่ถ้าจะร้องก็อยากร้องคนเดียวนะ เพราะถ้าไปร้องในที่สาธารณะมันจะพากันร้องไปกันใหญ่โดยไม่มีเหตุผล เราอยากร้องไห้ด้วยเหตุผลของเรา หลังจากวันสวรรคต เฟี้ยตไปสนามหลวง ไปเฝ้าขบวนขนพระศพ เพื่อนเฟี้ยตไปตั้งแต่แปดโมงเช้า เพราะอยากได้นั่งจุดที่สามารถกราบได้ใกล้ที่สุด (โบ: โบได้ยินว่าตอนรถขับผ่านนี่ทุกคนเงียบ) เขาประกาศว่า ไม่ให้พูด ‘ทรงพระเจริญ’ แล้วนะครับ

BICK:
ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปหมดเลยเนอะ แม้แต่วิธีเรียกพระองค์ท่านก็เปลี่ยน the way we address him is changed now. And it’s something we’re not used to. Awkwardness all around. (ไม่คุ้นปากเลย มีแต่ความติดขัด อิหลักอิเหลื่อเต็มไปหมด)

FIAT:
Especially the ‘…ในพระบรมโกศ’ part, it’s heart-breaking because you get  the picture in your head. I could not say it even though we’re supposed to. But later they changed it back, which is good. (คำนี้พูดไม่ได้จริงๆ นะ หลายคนก็ทำใจพูดไม่ไหว เพราะคำนี้มันทำให้เรานึกถึงภาพที่สะเทือนใจ แต่ยังดีที่ภายหลังเขาก็ผ่อนปรน ให้ขานพระนามได้)

BEAU:
Going back to what P Bick said about how we knew that this day was coming but we just didn’t know how we’d react to it, the very next day I told my friend whose family was Thai but she was born and lives in the States. She was my best friend and I talked to her, and asked her, ‘Have you heard?’, she goes, yeah, and she was wearing black, too.
(กลับไปที่พี่บิ๊กบอกว่าเรารู้อยู่แล้วว่าวันนี้จะมาถึง แต่เรานึกไม่ออกจริงๆ ว่าเราจะรู้สึกอย่างไรแค่ไหน วันรุ่งขึ้นโบได้คุยกับเพื่อนรักคนหนึ่ง เป็นคนไทยที่เกิดและอาศัยในต่างแดน เขาก็ใส่ชุดดำนะ)

The thing is the king’s a lot older than we are so obviously this day was gonna happen in my lifetime. But I kept on telling her, for some reasons, growing up, I felt like he was invincible, you know what I mean? Like he was gonna be here forever. I think that’s why it was such a big shock for all of us.
(ประเด็นคือ ในหลวงอายุมากกว่าเรามาก ดังนั้นเห็นได้ชัดเจนว่าวันเช่นนี้ต้องมาถึงในช่วงชีวิตของเรานี่แหละ แต่โบจำได้ว่าคุยกับเพื่อนว่า ทำไมไม่รู้ โบรู้สึกว่าท่านจะอยู่ค้ำฟ้า เราไม่คิดว่าท่านจะมีวันจากไปไหน หลายคนคงคิดเหมือนกัน และเพราะอย่างนั้นเราถึงรู้สึกช็อกกับเรื่องนี้)

FIAT:
I think a lot of people, even I, though that, too, that he would be here forever. Sometimes people take something very important for granted. And when that thing is not a part of our lives anymore, we start regretting.
(เฟี้ยตว่าบางครั้งเราก็มองข้ามความสำคัญของคนสำคัญ ต้องรอให้เขาไม่อยู่ก่อน นั่นแหละถึงได้รู้สึก และนึกเสียใจ)

BICK:
I think even though he’s a person, he’s a human-being, but he has become more than that, right? He has become a concept. I think a lot of time when people talk about him as a God, or a God-like, or a saint, this is the reason. He’s not just a person. He’s something beyond that.
(พี่ว่า แม้ท่านจะเป็นคนคนหนึ่ง เป็นมนุษย์คนหนึ่ง แต่ท่านก็เป็นมากกว่านั้นไปแล้ว คือท่านเหมือนอุดมคติอะไรสักอย่าง หลายครั้งที่คนบอกว่าท่านเป็นสมมติเทพก็อาจจะเพราะอย่างนี้)

To me I think he’s like the sun. He’s out there, he’s always been there, and we can count on him to return everyday. Even though we’re not outside, we can still see the sunlight and feel the warmth. And even though it’s the night time, we know for sure that he will return the next day. (BEAU: it’s comforting to know he’s still there) Right. And I think that kind of concept is explaining how he’s God-like sometimes. So to me he’s not a God and he’s also a God, in that way of thinking.
(สำหรับพี่ ท่านเหมือนดวงอาทิตย์ ท่านอยู่ข้างนอกนั่น และอยู่มาโดยตลอด และเราก็มั่นใจได้เสมอว่าท่านจะอยู่ตรงนั้น ไม่ไปไหน ต่อให้เราไม่ได้ออกไปอยู่ข้างนอก มองไม่เห็นดวงอาทิตย์ ก็ยังเห็นแสงอาทิตย์ และยังสัมผัสได้ถึงความอบอุ่น ต่อให้เป็นตอนกลางคืน เราก็รู้ว่าพรุ่งนี้ท่านจะกลับมาแน่นอน พี่เลยคิดว่าท่านเหมือนไม่ใช่เทพ แต่ก็เหมือนเป็นเทพ ทั้งสองอย่างเลย)

ทำไมพวกเราถึงรักในหลวง
18.58
FIAT:
Coming back to how to comfort a person, one of the most tragic situation that could happen to a person is losing someone they love. This is the worst, in terms of psychology. They say after the mourning period, the next step is to focus on the good things that happened when they were here with us. This quote is forwarded all around the social network: the mother said to her child, ‘So there’s no miracle’, and the child said, ‘The miracle has already been with us for 70 years.’ And that was true.
(กลับมาที่การปลอบใจกัน ว่ากันตามจิตวิทยา โศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์เราคือการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เขาว่าหลังจากผ่านช่วงของความโศกเศร้าไปแล้ว ขั้นต่อไปควรเป็นการพยายามระลึกถึงสิ่งดีๆ ที่เคยมีร่วมกัน มีข้อความเรื่องเล่าที่ถูกส่งต่อไปทั่วโลกโซเชียล เกี่ยวกับแม่คนหนึ่งที่เปรยกับลูกว่า “ปาฏิหาริย์ไม่มีจริงซีนะ” แล้วลูกตอบว่า “ปาฏิหาริย์อยู่กับเรามาเจ็ดสิบปีแล้วแม่”)

So I’d like to maybe touch an only tidbit part of the million moments for the past 70 years that he was there for us. “Why do we love our king?” Who wants to go first?
(เฟี้ยตเลยอยากชวนให้เราลองพูดถึงสักเศษเสี้ยวของเวลาเจ็ดสิบปีอันยาวนานที่พระองค์ท่านอยู่กับเรา เพื่อช่วยกันตอบคำถามในวันนี้ว่า “ทำไมคนไทยรักในหลวง” ใครอยากเริ่มก่อนดีครับ)

One of the most tragic situation
that could happen to a person
is losing someone they love.

โศกนาฏกรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมนุษย์เรา
คือการสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก

BEAU:
I think it’s hard to sum just one reason why, but I think for me, and I’m sure for a lot of people, and this is the reason I told my foreign friends, too. It’s that he has devoted his entire life to better the living situation in Thailand, in parts where no one would dare go to. In the most uncivilized part of Thailand. No one wants to go there, but he does. He went. And he didn’t go in a limousine, but the ribbon and leave, but he actually went, got down and dirty. And not only that, he actually planned it out and tried to improve the quality of life for his people.
(ถ้าจะให้เลือกอย่างเดียวนี่ยากมากเลยนะคะ แต่สำหรับโบ และคิดว่าคงเหมือนกับคนไทยอีกมากมาย นั่นก็คือ เพราะพระองค์ทรงทุ่มเททั้งชีวิตในการพยายามทำให้ความเป็นอยู่ของคนไทยดีขึ้น ท่านไปในที่ที่ไม่มีใครอยากไป เพราะมันลำบาก แล้วก็ไม่ได้ไปในรถพระที่นั่งคันหรู แค่เพื่อตัดริบบิ้นเปิดงานแล้วกลับวัง แต่ท่านลงไปคลุกคลีกับชาวบ้าน และพยายามหาวิธีช่วยประชาชนของท่านจริงๆ)

And if you look around the world, I can guarantee you that there’s no monarch that is willing to do for their people the way he did. That’s why he’s loved by so many people, and that’s why, even growing up abroad, when my foreign friends ask me I always told them this. I don’t care if they don’t get it, I would google it for them and I’d say, like, ‘See, no king would do this. No other monarch.’ Well, I don’t wanna diss other people. I’m not discrediting anyone else, but I guarantee you there’s no one who’s willing to do what he did for us.
(และถ้าลองมองดู โบรับรองเลยว่าเราจะไม่เห็นกษัตริย์พระองค์ไหน หรือสมาชิกของราชวงศ์ใดในโลกนี้ที่เต็มใจทุ่มเททำเพื่อประชาชนอย่างที่ท่านทำ และนั่นคือเหตุผลที่พระองค์ทรงเป็นที่รักของคนจำนวนมหาศาล เพื่อนต่างชาติของโบถามประจำว่าทำไมรักในหลวงนัก และทุกครั้งโบจะพยายามอธิบาย โดยไม่สนว่าที่สุดแล้วเขาจะเข้าใจเราจริงหรือไม่ โบจะกูเกิ้ลให้ดูเลยว่า ดูสิ มีพระราชาที่ไหนทำขนาดนี้ นี่โบไม่ได้ตั้งใจจะเปรียบเทียบกับราชวงศ์อื่นๆ ทั้งสิ้นนะคะ แต่โบว่า ไม่มีหรอก ใครที่จะทำเท่าที่ท่านทำ)

FIAT:
And wherever he goes, he’s always dressed up so well. I think somebody told me once before that he told people that his occupation is civil servant. ท่านบอกว่าท่านเป็นข้าราชการ เวลาท่านไปที่ไหนจะแต่งตัวดีๆ มีคนเคยถามว่า ทำไมท่านใส่สูทออกชนบทลงไปคลุกดิน ท่านบอกว่าท่านต้องการให้เกียรติประชาชน และนี่คือยูนิฟอร์มของท่าน

BICK:
I always see him on TV with all the sweat on his face. He’s always on the ground talking to poor people. And when I was little I thought that’s what the king does. He travels a lot and he only goes to where it seems so hot and dirty and he talks to poor people. And he doesn’t have to do this. He’s the king after all, he can order people to do this for him but he wants to be there for his people. And what he does is something that he’s really into.
(บ่อยครั้งที่เห็นท่านในทีวีคือเหงื่อท่วมพระพักตร์ ประทับนั่งกับพื้น พูดคุยกับชาวบ้าน สมัยยังเด็กพี่คิดอย่างนั้นจริงๆ ว่า อ้อ นี่คือสิ่งที่คนเป็นกษัตริย์ต้องทำ คือเดินทางไปในที่ที่ดูเหมือนอากาศร้อนๆ ฝุ่นคลุ้งๆ และนั่งคุยกับชาวบ้านยากจน แต่ที่จริงท่านจะไม่ทำอย่างนั้นก็ได้ พระองค์ทรงเป็นถึงพระราชานะ จะสั่งให้คนอื่นไปแทนก็ได้นี่ แต่ท่านต้องไปเอง ที่น่าประทับใจคือ สิ่งที่ท่านทำ เป็นสิ่งที่ท่านสนใจจริงๆ คือท่านอินเรื่องน้ำ เรื่องป่า เรื่องดิน นี่คือสิ่งที่ท่านศึกษาและรู้อย่างจริงจัง แล้วฝนหลวงอะ ท่านทำได้ยังไง)

What amazed me the most is when I learned that he’s only got one functioning eye. Okay I was in an accident before and I couldn’t use my right arm for 6 months. But in time I learned to brush my teeth with my left hand and I could put in my contact lenses using just one hand. This is what people do, right? We adapt, we learn, we practice. But I got my right arm back in 6 months when he never got his right eye back. Only one functioning eye and working so hard, that’s very amazing.
(แต่พี่รู้สึกทึ่งที่สุดตอนที่ได้รู้ว่า ท่านมีเพียงพระเนตรข้างเดียวที่ใช้งานได้ คือพี่น่ะเคยประสบอุบัติเหตุ แขนขวาเจ๊งไปหกเดือน แต่เราก็หัดใช้มือซ้ายแปรงฟัน แล้วอยู่มาวันหนึ่งเราก็ใส่คอนแทคส์เลนส์ได้ด้วยมือเดียว มนุษย์เราเป็นแบบนี้ เราปรับตัว เรียนรู้ ฝึกหัด แต่ในที่สุดคือหลังหกเดือนพี่ก็ได้แขนขวากลับมา แต่พระเนตรขวาของในหลวงคือเสียแล้วเสียเลย แล้วลองคิดดู ทั้งที่มีพระเนตรข้างเดียว แล้วยังทรงงานหนักขนาดนี้ น่ามหัศจรรย์มากแค่ไหน)

FIAT:
I guess now would be my turn. Why do I love my king? When I was growing up I’ve seen all these news but I never got it, what he does, places he went to, it was just news. But then when I grew up I went to study cooking at วิทยาลัยในวัง which actually is one of the project ในสมเด็จพระเทพฯ She was trying to preserve Thai cooking and Thai art in all kinds of form. So I got to study with teachers from the palace.
(ถึงตาเฟี้ยต ทำไมเฟี้ยตรักในหลวงน่ะหรือ ตอนเด็กเวลาดูข่าวเราไม่เข้าใจหรอก เห็นแต่ว่าในหลวงพระราชกรณียกิจมากมาย เสด็จไปโน่นไปนี่ แต่โตมาเราได้ไปเรียนทำอาหารกับวิทยาลัยในวัง หนึ่งในโครงการของสมเด็จพระเทพฯ ที่ทรงอยากสืบสานอนุรักษ์ศิลปะไทยในทุกรูปแบบเอาไว้ แล้วก็จะมีครูบาอาจารย์จากในรั้วในวังมาสอนมากมาย)

We were doing different menus and someone asked, ก็มีนักเรียนถามขึ้นมาว่า ในหลวงท่านทรงโปรดอะไร อาจารย์ตอบว่า โอย ในหลวงเสวยง่ายมาก แค่ถั่วงอกผัดเต้าหู้ อะไรแบบนี้ หรือมีอะไรก็ให้เอามาอุ่น ท่านไม่ได้เสวยอะไรที่หรูหราเลย

และเมื่อในหลวงเสด็จแปรพระราชฐาน ก็จะไปกันเยอะมาก มีขบวน มีแม่ครัวตามไป So the teacher kept on telling the story. Sometimes the crew went to a barren land there’s no market, even. He had to eat whatever there was. อาหารกระป๋องบ้าง ท่านเสวยเท่าที่มีจริงๆ Then later I got to travel to work to do the TV scoop. I went far up north and far down south and the people there told me, ‘You know, the king once was here.’ and I was like, oh my god, it took me almost a day to get here, imagine back in time how many days it would take the king and his crew to get here.
(อาจารย์ยังเล่าอีกว่า เมื่อทรงแปรพระราชฐานไปยังถิ่นทุรกันดารขนาดว่าตลาดก็ยังไม่มี พระองค์ท่านเองก็ต้องเสวยเท่าที่มีจริงๆ หลังจากนั้นเฟี้ยตได้เดินทางไปถ่ายทำรายการ หลายครั้งที่ไปเหนือสุดใต้สุด แล้วคนที่นั่นก็จะเล่าว่า ในหลวงก็เคยเสด็จที่นี่นะ เฟี้ยตยังคิดกับตัวเองว่า โอ้โห ขนาดเรายังเดินทางเป็นวัน ลองคิดถึงสมัยก่อนสิว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน ลำบากแค่ไหนกว่าพระองค์จะมาถึงตรงนี้)

And everywhere he went, he studied the project intensely. He talked to the people. I think it’s because he’s seen so many people in so many places, that’s why he understand the whole concept, like, oh I get it. This is my people and this is what they’re like. And that’s how he came up with the sustainable development. He knows that to develop a country into a developed country, it would take some steps. But at the present, he wants people to live. It’s not giving the fish that will help people to survive, but you have to teach people how to fish, and teach the how to make a fishing rod. This is a very good concept.
(และไม่ว่าจะเสด็จที่ไหน พระองค์จะทรงศึกษาปัญหาของที่นั่นอย่างเอาจริงเอาจัง และจะทรงพูดคุยกับชาวบ้านด้วยพระองค์เอง เฟี้ยตว่าเป็นเพราะอย่างนี้เอง เพราะพระองค์เสด็จไปมาแล้วทุกที่ พูดคุยกับประชาชนมาแล้วทุกแห่ง จึงทรงเห็นภาพของประเทศไทยได้อย่างละเอียดลึกซึ้งที่สุด นั่นจึงเป็นที่มาของการพัฒนาอย่างพอเพียง เพราะพระองค์รู้ว่านี่คือสิ่งที่เหมาะสมกับประเทศไทยมากที่สุด)

You know when you do a gardening work you have to do it outdoor, you do it all day, sweating. But you do that, like, maybe only a few days a week. But he did that many days, for months, for years, for his entire life. That’s why I love him.
(ยกตัวอย่างเช่นการทำสวน มันเป็นงานที่ต้องทำกลางแจ้ง และทำทั้งวัน ใช้แรงกาย อาบเหงื่อต่างน้ำ และเราอาจจะทำสวนแค่สัปดาห์ละสองครั้ง แต่ในหลวงทรงงานหนักเช่นนั้นนานวัน นับเดือน นับปี และตลอดพระชนม์ชีพ นั่นคือเหตุผลที่เฟี้ยตรักท่าน)

I went far up north and far down south,
it took me almost a day to get here,
imagine back in time how many days
it would take the king and his crew to get here.

เฟี้ยตได้เดินทางไปถ่ายทำรายการ
ขนาดเรายังเดินทางเป็นวัน
ลองคิดถึงสมัยก่อนสิว่าต้องใช้เวลานานแค่ไหน
ลำบากแค่ไหนกว่าพระองค์จะมาถึงตรงนี้

BICK:
สำหรับพี่นะ มีเหตุการณ์หนึ่งที่ผ่านมานานมากแล้ว เฟี้ยตอาจจะอยู่ในเหตุการณ์ด้วย เป็นคอนเสิร์ต ประมาณว่าต้นไม้ของพ่อ อะไรสักอย่าง ในงานเขาทำเป็นต้นไม้ใหญ่ แล้วเขาแจกใบไม้สีทองให้เราเขียนคำสัญญาที่เราจะให้ต่อในหลวงก่อนจะเอาไปแขวนไว้บนต้น ที่พี่จำได้ก็คือ ด้วยเหตุผลบางอย่าง พี่รู้สึกว่าการที่เราจะเขียนอะไรลงไปบนใบไม้นั้นน่ะ มันเป็นเรื่องใหญ่มาก แล้วพี่ก็นั่งคิดอยู่นานมากว่าจะเขียนอะไรดี เพราะพี่อยากให้สัญญาในสิ่งที่พี่จะทำได้จริงๆ เพราะด้วยเหตุผลบางประการอีกนั่นแหละ พี่รู้สึกว่านี่คือคำสัญญาที่เราให้กับในหลวงนะ เราไม่ได้เขียนทิ้งๆ ขว้างๆ ก็เลยเขียนไป สี่ข้อ ทุกวันนี้ก็ยังจำได้
(BEAU: บอกได้ไหมคะ) บอกได้ครับ พี่เขียนไปว่า พี่จะพยายาม พี่จะไม่เลิกล้ม พี่จะสำเร็จ และพี่จะแบ่งปัน เนี่ย คิดนานมากว่า อะไรจะเป็นสิ่งดีที่สุดที่เราจะทำได้จริงๆ

เหตุผลที่พี่เล่าเรื่องนี้ให้ฟังก็เพราะว่า ความรู้สึกของเราในวันนั้นว่านี่เป็นเรื่องใหญ่ที่เราต้องตั้งใจทำให้ได้จริงๆ มันเป็นเพราะความรู้สึกของเราที่มีต่อในหลวง เอาจริงๆ พี่ไม่ได้เป็นคนเจ้าจ๋าเจ้าจัด หรือรอยัลลิสต์อะไรเลยนะ พี่แค่รู้สึกว่าในหลวงเป็น the sun ของพี่จริงๆ มันเหมือนเรากำลังพูดกับพระเจ้าของเรา ซึ่ง God ในความหมายของแต่ละคนหรือแต่ละศาสนาอาจจะไม่เหมือนกัน แต่มันคอนเซ็ปต์เดียวกันหมดแหละ (BEAU: เหมือนเป็นศูนย์กลางของเราอะไรอย่างนี้หรือเปล่าคะ) เป็น higer power อะไรบางอย่างที่เรายึดเหนี่ยวได้ แล้วคำสัญญาที่เรามีให้กับคนผู้เนี้ยก็จะมีความหมาย เหมือนคำสัญญาที่เราให้เพื่อนที่เรารักที่สุดก็จะมีความหมาย คำสัญญาที่เราให้พ่อแม่ของเราก็จะมีความหมาย อย่างที่พี่เลิกสูบบุหรี่ได้เพราะพี่เขียนการ์ดวันแม่ให้แม่ว่า พี่จะเลิกสูบบุหรี่ให้ พี่เลยรู้สึกว่าถ้าพี่ไม่มีใครสักคนที่พี่จะทำเพื่อ พี่จะทำอะไรไม่สำเร็จ ในวันนั้นพี่ก็รู้สึกอย่างเดียวกัน และนี่อาจจะเป็นความรู้สึกง่ายๆ ซิมเปิ้ลๆ สำหรับคนไทยจำนวนมาก ที่ไม่ได้คิดว่าในหลวงเป็นเทวดาเหาะเหินเดินอากาศอะไรหรอก แต่ท่านมีความหมายบางอย่างที่จะทำให้สิ่งที่เราทำมีความหมาย

BEAU:
I think he’s a genius. It takes a lot for one person to master a skill in one thing, let’s say it’s music, or sport, or whatever. But he does it all. And not only does he just does it, he does it so well. He’s a geology, an engineer, a writer, a poet.
(โบว่าท่านเป็นอัจฉริยะเลยล่ะ การที่คนสักคนจะเป็นผู้ชำนาญสักเรื่องนั้นก็ยากจะแย่อยู่แล้ว แต่ท่านเก่งหลายอย่างมาก พระองค์ทรงเป็นนักดนตรี นักกีฬา นักธรณีวิทยา วิศวกร ตลอดจนนักเขียน และกวี)

BICK:
If we’re not talking about him as a king or as a God-like or anything, he’s a great person. He’s one great man. As simple as that.
(ถ้าไม่ได้ไปคิดว่าท่านเป็นกษัตริย์ หรือเทพอะไรแบบนั้น ท่านก็เป็นบุคคลที่เยี่ยมยอดอยู่ดี เรียกว่าเป็นชายผู้ยิ่งใหญ่คนหนึ่ง)

FIAT:
It’s like I thought of the other day, politicians come and go, but the king never went away. He stayed for 70 years with his people.
(นักการเมืองเดี๋ยวก็มา เดี๋ยวก็ไป แต่กษัตริย์ของเราอยู่กับคนไทยมาเจ็ดสิบปี)

BEAU:
Have you seen the clip where there was a meeting of all the ผู้ว่า from a bunch of provinces, and the king called one-by-one individually to come up onto the stage. And he knows the information so well, better than the governors who were supposed to run the province. He pointed to the map to what rivers were where, and there was no writing on the map. He knows his country. That’s how passionate he is about his country. He’s got plans. He’s a great engineer. He has solutions to the flood. All the governors they don’t even know the solutions. They were, like, อ้ำๆ อึ้งๆ อะ
(ได้ดูคลิปนึงกันไหมคะ ที่ในหลวงตรวจงานผู้ว่า แล้วทรงเรียกตอบคำถามทีละคน คือเห็นเลยว่าท่านรู้มากกว่าทุกคนน่ะ อะไรอยู่บนแผนที่ทรงชี้ได้หมด แล้วเรียกถูกหมด ท่านรู้จักประเทศของท่านอย่างแท้จริง ท่านทรงคิดแผนแก้ปัญหาน้ำท่วมด้วยอะ)

The king said, make sure you tell the prime minister your plan, and one of them said um we have proposed the project for a while already, and I don’t know why, for some reason, there’s no budget for it and it kept on getting rejected. (FIAT: and the whole hall was laughing) I think he’ll go down on history as one of the best kings we’ve ever had and I think he’ll always be in our heart. I don’t think Thai people will ever forget him.
(ตลกดี ในหลวงบอกว่า เอาแผนนี้ไปเสนอนายกนะ ผู้ว่าคนหนึ่งตอบว่า เสนอแล้วพะย่ะค่ะ แต่เขาว่าไม่มีงบ หัวเราะกันใหญ่ โบว่าพระองค์จะถูกบันทึกไว้ว่าเป็นกษัตริย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พระองค์หนึ่ง และท่านจะทรงอยู่ในหัวใจคนไทยตลอดไป ไม่มีวันลืมเลือน)

He’ll go down on history as
one of the best kings we’ve ever had
and I think he’ll always be in our heart.
I don’t think Thai people will ever forget him.

พระองค์จะถูกบันทึกไว้ว่าเป็นกษัตริย์
ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์พระองค์หนึ่ง
และท่านจะทรงอยู่ในหัวใจคนไทยตลอดไป
ไม่มีวันลืมเลือน

BICK:
And I guess that’s why my sadness is somewhat bearable. I don’t think I’m gonna be too sad because I know that he’s still out there. If not him personally, physically, but everything he has done is still out there, it’s still here.
(พี่เลยคิดว่า ด้วยทั้งหมดที่เราว่ามานี้ จะทำให้พี่ไม่เศร้าจนเกินไป เพราะพี่รู้ว่าท่านยังอยู่ ต่อให้ไม่ได้อยู่ด้วยตัวพระองค์จริง แต่ทุกสิ่งที่ทรงทำไว้ให้ก็ยังอยู่กับชาวไทย)

FIAT:
Despite the sadness, I feel that I am one of the most lucky people in the world. This is one of the very best blessings I have in my life.
(เศร้าก็จริงนะ แต่ก็อดรู้สึกไม่ได้ว่าเราเป็นคนโชคดีที่สุดในโลกคนหนึ่ง นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตประการหนึ่งเลยนะ)

BEAU:
I think we’re very lucky to be in the generation that has seen when he was still working and in action and we see that in the news how active he was, versus kids nowadays. They didn’t really see. Maybe they could watch it on YouTube and their parents could tell them but i think we were living in the time when we see all the actions. So, like you said, P Fiat, we were so lucky to have been born under his reign and to see what he did for Thailand.
(โบว่าเราโชคดีนะคะที่ได้เกิดมาทันเห็นพระองค์ท่านยังทรงงานอย่างขันแข็ง เด็กสมัยนี้อาจไม่ทันได้เห็นแล้ว เราโชคดีจริงๆ อย่างที่พี่เฟี้ยตว่า)

BICK:
พี่คิดว่า เราสามคนนอกจากจะโชคดีมากๆ ที่ได้เกิดในรัชสมัยของพระองค์ท่าน เรายังโชคดีอีกที่เราเป็นสื่อ เราเป็นคนที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวต่อไปข้างหน้าได้ พี่เชื่อว่าสื่อทุกแขนงทุกเจ้า ตอนนี้กำลังพยายามช่วยกันบอกเล่าเรื่องราวของพระองค์อยู่ นี่เป็นส่วนหนึ่งที่เราทำได้ รายการเราทำได้ วันนี้เลยรู้สึกว่าดีจัง ดีใจที่เราได้มานั่งคุยกันเรื่องนี้

FIAT:
ยังไงก็ตาม ถ้ารักพระองค์ท่าน ก็อยากให้เอาสิ่งที่ท่านสอนไปใช้ ทั้งความรู้ และคุณธรรมที่ท่านปลูกฝังไว้ให้เราเยอะมาก เพราะสุดท้ายแล้ว ประเทศจะเจริญหรือไม่ ก็อยู่ที่จิตสำนึกของคนในชาติ ความรักความสามัคคีด้วย อาจจะฟังดู cliché มาก แต่ต่อให้เก่งแค่ไหน ถ้าไม่สามัคคีกัน มันไปไม่รอดจริงๆ

BEAU:
ขอบคุณที่ฟังพวกเราในวันนี้นะคะ หวังว่าสิ่งที่พวกเราพูดออกไปจะพอทำให้หลายคนยิ้มออกมาได้บ้าง ขอให้นึกถึงความทรงจำดีๆ เกี่ยวกับพระองค์ท่านไว้นะคะ อยากให้เอพิโสดในวันนี้ช่วยไปกระตุ้นความทรงจำดีๆ ให้กับทุกๆ คนค่ะ และอาจทำให้คุณผู้ฟังไปหาคลิปหรือข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับพระองค์ท่าน อันนี้ก็แล้วแต่เลยนะคะ หวังว่าช่วงเวลาสั้นๆ นี้จะช่วยให้คุณผู้ฟังยิ้มได้ หลังจากที่เราโศกเศร้ากันมาพักใหญ่ๆ แล้วค่ะ

FIAT:
แล้วเราจะผ่านเรื่องนี้ไปด้วยกัน ทั้งประเทศครับ

=========================

After-show notes:
By Bickboon

  • เอพิโสดนี้ยากเหลือเกิน แต่พอคุยๆ กันไปก็รู้สึกว่าไม่ยาก เพราะพูดกันตรงๆ จากใจ แทบไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย ไม่มีสคริปต์ ไม่มีกิมมิกลูกเล่นใดๆ ทั้งสิ้น
  • จากที่คิดว่าจะพูดไปเศร้าไป แถมกลัวด้วยซ้ำว่าจะมีใครร้องไห้ออกมาหรือเปล่า (เพราะถ้ามีนักร้องนำ ผมเป็นนักร้องตามแน่นอน) กลายเป็นว่ามันออกมาเป็น feel-good episode มากครับ อย่างที่ผมพูดไว้ในรายการ ในตอนนี้ความรู้สึกที่ผมมี มันไม่ใช่ความเศร้าอันเกินจะทนอีกแล้ว เพราะผมรู้สึกว่าในหลวงไม่ได้ไปไหนหรอก และท่านมีสิ่งดีๆ ให้เราได้นึกถึงมากเหลือเกิน
  • เมื่อไรเศร้า ก็คิดถึงท่าน คุยกันเรื่องท่าน แล้วก็คิดต่อไปว่า มีอะไรสักอย่างที่เราจะลงมือทำทันทีได้ไหม เพื่อให้ความทุ่มเทของท่านไม่เสียเปล่า เท่านั้นเอง
  • แม้จะพยายามเต็มที่กับเอพิโสดนี้แล้ว กระนั้นก็ยังต้องขออภัยกับท่านผู้ฟังในบางเรื่องนะครับ
  • ในภาคภาษาไทย ขออภัยที่เราไม่ได้ใช้คำราชาศัพท์อย่างถูกต้องเหมาะสม
  • ในภาคภาษาอังกฤษ ขออภัยที่เทนส์เรากระโดดไปมาระหว่างอดีตและปัจจุบัน
  • เอพิโสดต่อไปยังมีเนื้อหาที่ได้รับแรงบันดาลใจจากในหลวงอีกนะครับ โปรดติดตาม

Photo credit: facebook.com/YangPhrabathThiYatra

Tags: