ย้อนกลับไปวันนี้เมื่อ 4 ปีที่แล้ว ปิยบุตร แสงกนกกุล ในฐานะเลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ พาพรรคน้องใหม่เข้าสู่การเลือกตั้ง ความฝันในวันนั้นคือการ ‘ปักธง’ นำพรรคอนาคตใหม่เข้าไปเปลี่ยนแปลงการเมืองไทย

เสียงปรามาสในตอนแรกก็คือพรรคนี้ไม่มีทางได้ ส.ส. เกิน 10 คน ทว่าผลลัพธ์กลับเกินคาด พรรคอนาคตใหม่ได้ ส.ส. มากถึง 80 คน ไม่ว่าจะด้วยอานิสงส์จากระบบเลือกตั้ง หรือจากการยุบพรรคไทยรักษาชาติ แต่พรรคอนาคตใหม่และปิยบุตรก็สร้างปรากฏการณ์ครั้งใหม่ให้กับรัฐสภาไทย

4 ปีให้หลัง วันนี้ไม่มีพรรคอนาคตใหม่อยู่ในสารบบการเมืองไทยแล้ว การเมืองไทยกำลังเดินหน้าเข้าสู่โหมดของการเลือกตั้งอีกครั้ง คู่ต่อสู้ยังคงเป็นสองขั้วเหมือนเดิม แต่การเมืองไทยดูจะซับซ้อนมากขึ้น แม้ความแตกแยกระหว่าง ‘ชนชั้นนำ’ จะเป็นโอกาสให้ฝ่ายตรงข้ามเอาชนะการเลือกตั้งได้ง่ายขึ้น แต่กลไกหลายอย่างก็ยังดำรงอยู่ โดยเฉพาะรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560 ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อทำลายความเข้มแข็งของประชาชน และหนุนเสริมอำนาจของชนชั้นนำให้แข็งแรงขึ้น ขณะเดียวกัน บรรดา ‘อำมาตย์ใหม่’ ที่มาจากประชาชน ก็ดูจะมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

“การเลือกตั้งไม่ใช่ทุกสิ่งทุกอย่าง ไม่ใช่ดีดนิ้วปุ๊บบ้านเมืองจะเปลี่ยนได้ทันที

“เมื่ออำนาจรัฐไปอยู่ในมือของตัวผู้แทน ตัวรัฐบาลแล้ว พอถืออำนาจรัฐเต็มไปทั้งหมดแล้วไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย คนที่อยู่ในสภาฯ อยู่ในสถาบันการเมือง อยู่ในรัฐบาล นานวันเข้า เขาก็จะทิ้งห่างจากประชาชนไปเรื่อยๆ แล้วเขาจะหันเหไปกลายเป็นอำมาตย์ใหม่ในที่สุด”

The Momentum ชวน ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า วิเคราะห์ความสำคัญของการเลือกตั้งครั้งหน้าว่าเพราะเหตุใดจึงต้อง ‘เปลี่ยนขั้ว’ ให้ได้ แล้วทำไมถึงต้องระวังว่า ‘ผู้แทนราษฎร’ ที่เลือกกันมา วันหนึ่งอาจกลายเป็น ‘อำมาตย์ใหม่’ ในอนาคต

Tags: ,