การเจรจาการค้า จีน-สหรัฐฯ เมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา ปรากฏผลลัพธ์แค่ความเห็นพ้องในหลักการ และยังไม่ครอบคลุมทุกประเด็นพิพาท หากการต่อรองในรายละเอียดไม่บรรลุความพึงพอใจของทั้งสองฝ่าย ยักษ์เศรษฐกิจโลกทั้งสองอาจหวนกลับมาดวลกันด้วยภาษีนำเข้าอีก

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผู้แทนการค้าของจีนกับสหรัฐฯ พบปะพูดคุยที่กรุงวอชิงตัน ผลการเจรจาทำให้ฝ่ายวอชิงตันระงับแผนขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีน ซึ่งเดิมกำหนดจะเก็บเพิ่มในวันอังคาร (15 ต.ค.) นักสังเกตการณ์เรียกการตัดสินใจนี้ว่าเป็นการ ‘พักรบ’ หลังจากทั้งสองฝ่ายทำสงครามการค้ากันมาเป็นเวลาปีครึ่ง

คำว่า พักรบ บอกความหมายในทีว่า สงครามยังไม่เลิก บรรดามาตรการที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันยังคงอยู่ เพียงแต่ว่าระหว่างนี้คู่ขัดแย้งเห็นพ้องที่จะหาลู่ทางรอมชอมกัน ผลเจรจาซึ่งเปิดเผยที่ทำเนียบขาวเมื่อวันศุกร์ บ่งชี้ว่า จีนกับสหรัฐฯ พอมองเห็นลู่ทางแล้ว

อย่างไรก็ตาม ‘ลู่ทาง’ แค่หมายถึงความเป็นไปได้ แต่ไม่ใช่เครื่องประกันถึงความสำเร็จ การรอมชอมจะเป็นจริงหรือไม่ นั่นขึ้นกับการเจรจาต่อรอง ซึ่งต้องใช้เวลาอีกนานนับเดือน ดังนั้น โลกยังจะต้องอยู่กับความไม่แน่นอนต่อไป

ผลการเจรจา

หลังจากคณะผู้แทนการค้าฝ่ายจีน นำโดยรองนายกรัฐมนตรี หลิวเหอ กับทีมเจรจาฝ่ายอเมริกัน นำโดยรัฐมนตรีคลัง สตีเฟน มนูชิน กับผู้แทนการค้าสหรัฐฯ โรเบิร์ต ไลท์ไฮเซอร์ เปิดการเจรจารอบใหม่โดยใช้เวลา 2 วัน (10-11 ต.ค.) เมื่อวันศุกร์ คณะเจรจาได้เข้าพบประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ จากนั้น ทั้งสองฝ่ายเปิดเผยผลการเจรจากับสื่อมวลชน

ประเด็นที่ทั้งสองฝ่ายหยิบยกขึ้นเจรจากันในรอบนี้ มี 4 เรื่องหลักๆ คือ ผลิตผลทางการเกษตร ค่าเงิน บริการทางการเงิน และการคุ้มครองทรัพย์สินทางปัญญา

ประเด็นแรกดูจะเป็นรูปธรรมที่สุด จีนรับปากที่จะซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นเป็นปีละ 40,000-50,000 ล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งนับว่าเพิ่มขึ้นจากระดับเมื่อปี 2017 กว่าเท่าตัว ซึ่งเมื่อปี 2017 ก่อนหน้าสงครามการค้า จีนนำเข้าผลผลิตจากสหรัฐฯ คิดเป็นมูลค่า 19,500 ล้านดอลลาร์ฯ ก่อนที่จะลดฮวบเหลือ 9,000 ล้านดอลลาร์ฯ เศษเมื่อปี 2018

ปีที่แล้ว สินค้าเกษตรส่งออกของสหรัฐฯ มีมูลค่า 140,000 ล้านดอลลาร์ฯ ดังนั้น ถ้าจีนทำอย่างที่รับปากไว้ เท่ากับว่าสินค้าเกษตรราวหนึ่งในสามจะได้ส่งไปขายในจีน

ข้อเสนอของจีนในเรื่องนี้จึงสร้างความพอใจแก่ทรัมป์อย่างมาก เพราะจะเป็นประเด็นที่ผู้นำสหรัฐฯ เอาไปใช้หาเสียงในการเลือกตั้งประธานาธิบดี โดยเฉพาะในมลรัฐนับสิบที่ไม่ใช่ฐานเสียงตายตัวของพรรครีพับลิกัน เจ้าตัวถึงกับพูดติดตลกกับนักข่าวว่า “ขอแนะนำให้เกษตรกรซื้อที่ดินเพิ่มขึ้น ซื้อรถแทร็กเตอร์คันใหญ่ๆ”

ในเรื่องค่าเงิน ฝ่ายจีนให้คำมั่นว่า ตลาดอัตราแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศของจีนจะมีความโปร่งใสมากขึ้น หลังจากกระทรวงคลังของสหรัฐฯ ได้ขึ้นบัญชีจีนเป็นประเทศที่บิดเบือนค่าเงิน ทำให้เงินหยวนอ่อนค่า เพื่อช่วยให้ผู้ส่งออกของจีนมีความได้เปรียบในการแข่งขันในตลาดต่างประเทศ

ในเรื่องบริการทางการเงิน ฝ่ายจีนให้สัญญาว่า ตลาดหลักทรัพย์ของจีนจะยกเลิกกฎเกณฑ์ต่างๆ ที่จำกัดสิทธิถือครองของต่างชาติเกี่ยวกับสินค้าซื้อขายล่วงหน้า หลักทรัพย์ และกองทุนรวม โดยเปิดให้ต่างชาติสามารถเข้าถึงภาคการเงินของจีนมากขึ้น

ในเรื่องทรัพย์สินทางปัญญา ฝ่ายจีนยอมรับที่จะเพิ่มความคุ้มครองในเรื่องลิขสิทธิ์ เครื่องหมายการค้า และปราบปรามสินค้าปลอมแปลงเลียนแบบ อย่างไรก็ดี ระหว่างการเจรจาเที่ยวนี้ ยังไม่ได้แตะประเด็นการถ่ายทอดเทคโนโลยีในส่วนที่เกี่ยวกับการไหลของข้อมูล ความมั่นคงทางไซเบอร์ การทบทวนมาตรฐานผลิตภัณฑ์ ระบบโซเชียลเครดิตที่ประเมินพฤติกรรมของบริษัท ซึ่งต้องถกกันอีกมากในเชิงเทคนิค

หย่าศึกเพื่อทำข้อตกลง 

ทรัมป์แสดงความพึงพอใจกับผลการเจรจาดังกล่าว ถึงกับออกปากว่าเป็น “ข้อตกลงสำคัญระยะที่หนึ่ง” ทั้งๆ ที่ข้อสรุปจากการเจรจายังเป็นเพียงการตกลงกันแบบปากเปล่า ยังไม่ใช่บทสรุปสุดท้าย และยังไม่มีการลงนามเป็นข้อตกลงลายลักษณ์อักษร

ความพอใจที่ว่านี้ส่งผลให้รัฐบาลของทรัมป์ตัดสินใจระงับการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนมูลค่า 250,000 ล้านดอลลาร์ฯ ซึ่งเดิมกำหนดจะขึ้นจากอัตราจัดเก็บ 25 เปอร์เซ็นต์เป็น 30 เปอร์เซ็นต์ในวันอังคารนี้

นอกจากนี้ ยังมีความเป็นไปได้ด้วยว่า แผนขึ้นภาษีอีกรอบ ซึ่งมีกำหนดในวันที่ 15 ธันวาคม อาจยกเลิกด้วยเช่นกัน แล้วแต่ว่าทั้งสองฝ่ายจะเจรจาคืบหน้าไปได้แค่ไหน

สำหรับผลเจรจาในรอบนี้ ทรัมป์บอกว่า คงต้องใช้เวลาเจรจาในขั้นรายละเอียดอีกระยะหนึ่ง ซึ่งอาจใช้เวลา 5 สัปดาห์ จึงจะสามารถสรุปเป็นข้อตกลงเพื่อการลงนามได้

ถ้าการเจรจาประสบผลสำเร็จ ข้อตกลงในรอบแรกนี้อาจมีการลงนามระหว่างทรัมป์กับประธานาธิบดีสีจิ้นผิงระหว่างการประชุมกลุ่มเอเปคที่ประเทศชิลีในวันที่ 16 พฤศจิกายน

‘ทรัมป์’ เปลี่ยนกลยุทธ์

ฝ่ายสหรัฐฯ ดูจะผ่อนปรนท่าที ทั้งในเชิงกระบวนการและในเชิงเนื้อหา ในการเจรจารอบนี้

ในแง่กระบวนการ ทรัมป์ดูจะเปลี่ยนจุดยืนในการเจรจา ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมา เขายืนกรานที่จะไม่ยอมรับข้อตกลงแบบรายประเด็น แต่ต้องการข้อตกลงแบบสมบูรณ์ ทว่าเมื่อวันศุกร์ เขากลับยอมรับการทำข้อตกลงแบบเป็นขั้นเป็นตอน

ในแง่เนื้อหา หนึ่งในประเด็นสำคัญที่สหรัฐฯ เคยเรียกร้อง ก็คือ กลไกบังคับ และกลไกระงับข้อพิพาท ข้อตกลงที่จะมีประสิทธิผลในการทำให้คู่สัญญาปฏิบัติตาม และสืบสานความร่วมมือนั้น ย่อมขาดกลไกทั้งสองอย่างไม่ได้ แต่การเจรจารอบนี้ดูจะยังไม่ลงลึกในเรื่องนี้

ถึงแม้ยอมเปลี่ยนกลยุทธ์ การเจรจาจะต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหน ไม่อาจคาดเดาได้

ว่าไปแล้ว สหรัฐฯ เคยสงบศึกการค้ากับจีนมาแล้วรอบหนึ่ง คงยังจำกันได้ ทรัมป์กับสีได้ตกลงระงับแผนการขึ้นภาษีตอบโต้กันเมื่อคราวการประชุมกลุ่มจี-20 ที่ประเทศอาร์เจนตินา เมื่อ 1 ธันวาคมปีที่แล้ว โดยให้เวลา 3 เดือนที่จะเจรจากัน แต่เมื่อถึงเส้นตาย ปรากฏว่าตกลงกันไม่ได้ สงครามการค้าจึงดำเนินต่อมา

ดังนั้น การพักรบสลับกับการสาดกระสุนภาษีเข้าใส่กัน อาจวนลูปกลับมาให้เห็นอีกก็เป็นได้.

 

อ้างอิง:

Reuters, 11 October 2019

AFP via Channel News Asia, 12 October 2019

AFP via Yahoo! News, 12 October 2019

AFP via The Economic Times, 13 October 2019

ภาพ: Nicholas Kamm / AFP

Tags: , , ,