ช่วงเดือนกันยายนที่ผ่านมา U2 วงร็อกรุ่นป๋าระดับตำนานจากไอร์แลนด์ ประกาศจัดทัวร์คอนเสิร์ต The Joshua Tree Tour เป็นครั้งที่สอง โดยตระเวนแสดงสดทั่วแผ่นดินเอเชีย ระหว่างเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม ซึ่งมีประเทศอย่าง นิวซีแลนด์, ออสเตรเลีย, สิงคโปร์, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้, ฟิลิปปินส์ และอินเดีย เป็นผู้โชคดีที่ได้เห็นตำนานร็อกที่ยังผู้มีลมหายใจ บินมาเปิดคอนเสิร์ตในบ้านตัวเอง

The Joshua Tree Tour คือทัวร์ที่จัดขึ้นเพื่อฉลองครบรอบ 30 ปีของอัลบั้ม The Joshua Tree ผลงานอัลบั้มชุดที่ 5 ของ U2 ที่ประสบความสำเร็จแบบถล่มทลายและทำให้วงร็อกจากดับลิน กลายเป็นที่รู้จักของผู้คนทั่วโลก ด้วยบทเพลงฮิตสะท้อนสังคมและเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นบนโลกนี้ ที่รังสรรค์จากปลายปากกาของ โบโน่ นักร้องนำอย่าง Where the Streets Have No Name, One Tree Hill, I Still Haven’t Found What I’m Looking For, In God’s Country, Bullet the Blue Sky และเพลงรักคลาสสิก With or Without You ซึ่งตลอดการทัวร์ในปี 2017 ทั้งในยุโรป, อเมริกาเหนือ, ละตินอเมริกา กวาดเงินเป็นกระบุงกว่า 316 ล้านดอลลาร์สหรัฐ

ไม่แปลกใจที่ U2 จะขุดทัวร์นี้กลับมาอีกรอบ และเลือกทวีปเอเชียเป็นสถานที่แสดงสด แถมเป็นการกลับมาทัวร์เอเชียแบบจริงจังครั้งแรกในรอบ 13 ปี (ครั้งสุดท้ายคือ Vertigo Tour ที่ญี่ปุ่น ปี 2006 โน่นเลย) และแน่นอนว่าได้กระแสตอบรับดีมาก ตั๋วขายดิบขายดี โดยเฉพาะตั๋วสิงคโปร์ที่ขายหมดจนต้องประกาศเพิ่มรอบแสดงอีกวัน (มีการเปิดเผยว่าแฟนเพลงชาวไทยบินไปดูที่แดนลอดช่องเป็นจำนวนมากเพราะใกล้สุดแล้ว) แม้จะมีเสียงค่อนขอดบ้างว่า U2 หมดมุก เอาของเก่ามาหากินซ้ำสอง กระนั้นกลับเป็นเรื่องดีสำหรับแฟนเพลงชาวเอเชียที่จะได้ดูการแสดงของวงร็อกระดับตำนานนี้แบบใกล้บ้าน ไม่ต้องบินไปดูที่ยุโรปให้สิ้นเปลืองเงินหมื่นเพราะวงนี้ชอบทัวร์แต่ยุโรปกับอเมริกา

ผู้เขียนมีโอกาสได้ชมคอนเสิร์ต U2 โดยบังเอิญที่ฟิลิปปินส์ วันที่ 11 ธันวาคม ซึ่งเดิมทีวางแผนว่าจะไปดูที่สิงคโปร์ช่วงสิ้นเดือนพฤศจิกายน แต่ดันติดภารกิจต้องไปทำงานที่ฟิลิปปินส์ในช่วงเวลาเดียวกันพอดี ตอนแรกก็ทำใจไว้แล้วว่าคงอดดูแน่ แต่อยู่ๆวงก็ประกาศว่าจะมาเล่นที่แดนตากาล็อกเสริมเข้าไปอีกแห่งซึ่งเป็นตอนที่ผู้เขียนทำงานอยู่ที่นั่นพอดี เลยตัดสินใจซื้อตั๋วแบบไม่ลังเล เพราะถ้าพลาดหนนี้ไปก็ไม่รู้ว่าวงจะกลับมาทัวร์เอเชียกันอีกเมื่อไร สมาชิกทั้ง 4 คนก็แก่หง่อมอายุจะแตะเลข 6 กันหมดแล้ว

แม้ส่วนตัวจะไม่ใช่แฟนเพลงของ U2 แบบแฟนพันธุ์แท้มาก แต่ก็มีหลายเพลงที่ชื่นชอบเป็นการส่วนตัว ประกอบกับเคยมีโอกาสดูบันทึกการแสดงสดของวง ในทัวร์ 360 ที่วงสร้างเวทีแบบขาแมงมุมสุดอลังการ พร้อมแสงสีเสียงเทคนิคที่ดูแล้วตื่นตาตื่นใจมาก จนทำให้คิดว่าถ้ามีโอกาสก็อยากดูคอนเสิร์ตของวงสักครั้งให้เป็นเกียรติประวัติแก่ชีวิต

จะว่าไปแล้วก็แอบนับถือ U2 อยู่เหมือนกันที่พวกเขายังคงเล่นดนตรี ออกอัลบั้ม ทัวร์คอนเสิร์ตกันแบบไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย อยู่ในวงการนี้มานานถึง 43 ปีแล้ว และยังทำทุกสิ่งเพื่อให้วงยังเป็นที่พูดถึงในวงการเพลงเรื่อยๆ ทั้งเรื่องการแสดงความเห็นวิพากษ์วิจารณ์สังคมของ โบโน่ นักร้องนำ รวมถึงการทำการตลาดร่วมกับ แอปเปิล ผลิต iPod เวอร์ชั่น RED เพื่อช่วยเหลือผู้ป่วยที่ติดเชื้อ HIV และอื่นๆ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่พวกเขาทำมีทั้งเสียงชื่นชมและหมั่นไส้ในคราเดียวกัน 

ตัดมาที่วันคอนเสิร์ต ค่ำคืนวันที่ 11 พฤศจิกายน แฟนเพลงของ U2 กว่า 30,000 ชีวิตทั้งชาวตากาล็อกและชาวต่างชาติ (และชาวไทยอย่างผู้เขียน) มารวมตัวกันอยู่ที่ Philippine Arena โดยมิได้นัดหมายเพื่อรอชมคอนเสิร์ตครั้งแรกของวงบนแผ่นดินนี้ ซึ่งด้วยการจราจรที่แสนติดขัดจนมีหลายคนติดอยู่บนท้องถนน ทำให้ U2 ตัดสินใจเลื่อนการแสดงออกไป 1 ชั่วโมง จากเดิมที่ต้องเล่นเวลา 20.00 น. เพื่อรอให้แฟนเพลงเดินทางมาถึงเสียก่อน จนกระทั่งเวลา 21.00น. ไฟใน Arena ก็ดับลง ก่อนที่ U2 จะบรรเลงเพลงแรกของโชว์ Sunday Bloody Sunday เสียงกลองแต๊กอันเป็นเอกลักษณ์ และเสียงร้องของ โบโน่ ในท่อนฮุค “Sunday Bloody Sunday, Sunday Bloody Sunday” เรียกเสียงกู่ร้องจากแฟนเพลงได้เป็นอย่างดี

ทัวร์นี้มีจุดเด่นที่การใช้จอภาพ LED ขนาดยักษ์ความสูง 45 ฟุต X ความกว้าง 200 ฟุต ตั้งโดดเด่นเป็นสง่าอยู่ด้านหลังของสมาชิกวง โดยฉายภาพความละเอียดสูงสุด 7,200 พิกเซล คมชัดชนิดที่ว่ามองไกลๆ ภาพก็ยังคมกริบ ซึ่งจอภาพด้านหลังก็จะเปลี่ยนภาพไปเรื่อยๆ ตามแต่บทเพลงที่วงเล่นอยู่ นอกนั้นก็ไม่มีเทคนิคพิเศษอะไรใดๆ แบบที่แฟน U2 เคยเห็นในทัวร์คอนเสิร์ตยุคหลังอย่าง 360 ที่เป็นเวทีขาแมงมุมใหญ่โตมโหฬาร หรือทัวร์ Innocence+Experience ที่เล่นวางจอ LED ขวางกลางฮอลล์คอนเสิร์ต และมีลูกเล่นเทคนิคมากมาย (ที่ตลกร้ายคือแม้โปรดักชั่นจะมีแค่จอ LED อย่างเดียว แต่ก็ไม่มีผู้จัดคอนเสิร์ตเมืองไทยเจ้าไหนพา U2 มาเล่นที่เมืองไทยได้ ซึ่งน่าเสียดาย)

U2 ทยอยนำเพลงฮิตออกมาเล่นไปเรื่อยๆ จนเมื่อถึงเวลาสมควร จอภาพด้านหลังก็ฉายภาพต้นไม้โจชัวสีแดง เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าวงกำลังจะเอาเพลงจากอัลบั้ม The Joshua Tree มาเล่นกันแบบยกอัลบั้ม แม้ความจริงแล้วตัวผู้เขียนจะไม่ได้อินกับอัลบั้มนี้มากเท่าผลงานชุดก่อนอย่าง Boy หรือ War ซึ่งมีซาวด์ดนตรีแบบพังค์ผสมความดิบ ไม่เหมือนชุด The Joshua Tree ที่มีความละมุน สุขุม แต่วงก็นำเพลงชุดนี้มาเล่นได้อย่างทรงพลังและน่าฟังไปจนจบอัลบั้ม

เซ็ตสุดท้าย U2 กำนัลแฟนเพลงด้วยเพลงฮิตยุคมิลเลนเนียมอย่าง Elevation, Vertigo, Even Better Than The Real Thing, Every Breaking Wave, Beautiful Day ขณะที่จอภาพ LED ข้างหลังก็แสดงพลังทางภาพได้อย่างฉูดฉาดเร้าใจ ผสมผสานไปกับลีลาของ โบโน่, ดิ เอดจ์, อดัม และ ลาร์รี ที่เล่นดนตรีได้อย่างร้อนแรงไม่แพ้สมัยหนุ่ม (ยกเว้น โบโน่ ที่เสียงร้องดูแผ่วไปบ้างและร้องแบบคร่อมจังหวะบ่อยๆ แม้ดูออกว่าเป็นการจงใจทำ) และสุดท้ายก็ปิดโชว์ด้วย ONE อีกหนึ่งเพลงคลาสสิกจากอัลบั้ม Achtung Baby อย่างไรก็ตาม ระหว่างเล่นเพลงเซ็ตสุดท้าย ผู้เขียนก็สังเกตเห็นว่าแฟนเพลงชาวฟิลิปปินส์หลายคนลุกจากเก้าอี้ หนีกลับบ้านไปก่อนพอสมควรเพราะเวลานั้นใกล้จะเที่ยงคืนแล้ว ทุกคนจึงปลีกตัวหนีไปก่อนเพราะเดี๋ยวรถติด กลับบ้านดึกอีก (นิสัยคล้ายคนไทยจริงๆ ฮา)

อย่างที่บอกไป แม้ตัวคอนเสิร์ต The Joshua Tree จะไม่ได้มีความอลังการงานสร้างใดๆ นอกเหนือจากจอภาพ LED ขนาดยักษ์ด้านหลัง แต่ก็ถือเป็นข้อดีที่ทำให้คนดูมีสมาธิกับการแสดง Performance ของ U2 มากขึ้นกว่าหลายทัวร์ที่ผ่านมา ซึ่งเห็นได้ชัดว่า U2 ถ่ายทอดบทเพลงระดับตำนานของพวกเขาได้ทรงพลังมาก ซาวด์ในอารีน่าก็ชัดเจนเคลียร์ทุกเม็ด ยิ่งได้จอภาพด้านหลังมาช่วยเสริมก็ทำให้เนื้อหาของแต่ละเพลงดูเข้าถึงอารมณ์ยิ่งกว่าเดิม เช่น Where the Streets Have No Name ที่เป็นภาพทิวทัศน์ท้องถนนที่ว่างเปล่า ตอบรับกับเรื่องราวในบทเพลงที่ว่าหากถนนทุกสายบนโลกนี้ไม่มีการตั้งชื่อแบ่งแยกฝั่งคนรวย-คนจน จะเป็นอย่างไร, Ultra Violet ที่นำรูปภาพของเหล่าผู้หญิงที่มีบทบาทสำคัญในสังคมโลกมาขึ้นจอเพื่อสดุดีความกล้าหาญและความยิ่งใหญ่ของพวกเธอ (มีรูปน้อง เกรต้า ธันเบิร์ก เด็กสาวเจ้าของแคมเปญลดการใช้พลาสติกทั่วโลกด้วย) รวมถึงเพลงอื่น ๆอีกหลายหลาก 

ถึงจะไม่ได้ฟังเพลงโปรด Walk On อย่างที่ตั้งใจเพราะวงไม่นำมาเล่นในโชว์นี้ แต่ The Joshua Tree Tour ก็คืออีกหนึ่งคอนเสิร์ตที่เป็นเครื่องยืนยันว่า ตำแหน่งวงดนตรีที่เล่นสดได้ดีที่สุดในโลก จากการยกย่องของสื่อดนตรีทุกสำนักที่มอบให้กับ U2 นั้นไม่ใช่เรื่องเกินจริงแต่อย่างใด พวกเขาทั้ง 4 ยังคงเล่นดนตรีด้วยความรักและสื่อสารกับแฟนเพลงด้วยความจริงใจไม่มีเปลี่ยนแปลง แก่ แต่ก็ยังเก๋าไม่เสื่อมคลาย 

และสำหรับใครก็ตามที่สถาปนาตัวเองว่าเป็น Rock Music Lover คุณควรดูคอนเสิร์ต U2 สักครั้งก่อนสิ้นลมหายใจ

ภาพบางส่วนจาก: เฟซบุ๊ก U2 และเว็บไซต์ www.u2.com

Tags: