การเสียชีวิตของ จามาล คาชอกกิ ทำให้นานาชาติประณามและกล่าวหาว่า มกุฏราชกุมารซาอุดีอาระเบียมีส่วนรู้เห็นกับการฆาตกรรม ทางการซาอุฯ จับกุมตัวชาวซาอุดีฯ 11 คน พร้อมทั้งปฏิเสธว่าไม่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ หลังจากที่อ้างว่าคาชอกกิออกจากสถานกงศุลขณะที่มีชีวิตอยู่ ภายหลังจึงยอมรับว่าเขาถูกฆ่าและหั่นร่างภายในอาคาร โดยประธานาธิบดีแอร์โดอันของตุรกีกล่าวว่า คำสั่งฆ่าคาชอกกิต้องมาจากบุคคลระดับสูงที่สุดของรัฐบาลซาอุดิอาระเบีย

วันพฤหัสบดีที่ 22 พฤศจิกายน 2018 มกุฏราชกุมารซาอุดีอาระเบียออกเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรก หลังเกิดเหตุฆาตกรรมคาชอกกิในสถานกงสุลซาอุดีอาระเบียที่กรุงอิสตันบูล ประเทศตุรกีเมื่อ 2 ตุลาคม โดยมีเป้าหมายว่าจะพัฒนาความสัมพันธ์กับประเทศอื่นๆ กำหนดการเริ่มต้นจากประเทศกลุ่มอาหรับที่เป็นพันธมิตร จุดหมายแรกคือ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิด จากนั้นจะเดินทางไปยังตูนีเซียในวันอังคาร มกุฏราชกุมารฯ ก็จะเดินทางไปยังอาร์เจนตินา เพื่อเข้าร่วมประชุม G20 ด้วย ซึ่งจะต้องพบกับผู้นำจากตุรกี สหรัฐอเมริกา และประเทศยุโรปอื่นๆ อีกหลายประเทศ

ในวันเดียวกัน ฝรั่งเศสก็ประกาศว่า ห้ามชาวซาอุดีอาระเบีย 18 คนที่เกี่ยวข้องกับการฆาตกรรมคาชอกกิเข้าประเทศ เช่นเดียวกับประเทศยุโรปอื่นๆ  อย่าง เยอรมนีที่ยังยับยั้งการขายอาวุธให้กับซาอุดีอาระเบีย

“การฆาตกรรมคาชอกกิเป็นอาชญากรรมที่ร้ายแรงที่สุด อีกทั้งยังต่อต้านเสรีภาพสื่อและสิทธิขั้นพื้นฐาน” รัฐมนตรีของฝรั่งเศสกล่าวในแถลงการณ์และเพิ่มเติมว่า หวังว่าจะมีการสืบสวนอย่างโปร่งใสจากทางการซาอุดีอาระเบีย

ขณะที่ประธานาธิบดีทรัมป์ยังยืนยันความสัมพันธ์ที่ดีต่อซาอุดีอาระเบีย แม้ไม่กี่วันก่อนหน้านี้ สื่อสหรัฐฯ ได้เปิดเผยการประเมินของซีไอเอว่า มกุฏราชกุมารฯ อยู่เบื้องหลังเหตุการณ์นี้ แต่ทรัมป์กล่าวว่าซีไอเอไม่ได้สรุปว่ามกุฏราชกุมารฯ สั่งให้สังหารคาชอกกิ

สหรัฐอเมริกาได้ประกาศห้ามชาวซาอุดีอาระเบีย 17 คนเข้าประเทศ แต่ทรัมป์ก็กล่าวว่า สหรัฐอเมริกายังเป็น “พันธมิตรที่แน่นแฟ้น” (steadfast partner) ที่ได้ลงทุนด้วยเงินมหาศาลให้กับประเทศ

หลังจากออกแถลงการณ์ที่ขึ้นต้นว่า “อเมริกาต้องมาก่อน! (America First!) โลกนี้เป็นสถานที่อันตรายมากๆ!” (The world is a very dangerous place!) เรื่องจุดยืนของเขาต่อซาอุดีอาระเบีย เขาให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนเมื่อวันอังคารที่ 20 พ.ย. อ้างถึงอิทธิพลของซาอุดีอาระเบียต่อราคาน้ำมันและกล่าวว่า “หากว่าเราทิ้งซาอุดีฯ มันจะเป็นความผิดพลาดร้ายแรง” เขายังบอกด้วยว่า “เขาจะไม่ทำลายเศรษฐกิจของประเทศจากเรื่องของคาชอกกิ ด้วยการยกเลิกการซื้อขายอาวุธกับซาอุดีอาระเบีย”

สหรัฐอเมริกาได้ประกาศห้ามชาวซาอุดีอาระเบีย 17 คนเข้าประเทศ แต่ทรัมป์ก็ได้กล่าวว่า สหรัฐอเมริกายังเป็น “พันธมิตรที่แน่นแฟ้น” (steadfast partner) ที่ลงทุนด้วยเงินมหาศาลให้กับประเทศ

รัฐบาลทรัมป์ต้องพึ่งพาซาอุดีอาระเบียเพื่อช่วยให้บรรลุเป้าหมายในตะวันออกกลาง ในข้อตกลงเกี่ยวกับอิสราเอล-ปาเลสไตน์ เพื่อต่อสู้กับกลุ่มต่างๆ ฟื้นฟูซีเรียและต่อสู้กับอิหร่าน นอกจากนี้ซาอุดีอาระเบียยังช่วยสหรัฐฯ คว่ำบาตรน้ำมันของอิหร่าน

 

ที่มา:

Tags: