สัปดาห์นี้มีทั้งเรื่องเศร้า อย่างการจากไปของสตีเฟน ฮอว์กิง นักฟิสิกส์ชื่อดังแห่งยุค ที่ใครหลายคนเทียบความยิ่งใหญ่ของเขากับไอน์สไตน์ แต่การพูดไว้อาลัยก็ไม่วายจุดประเด็น ‘ความพิการ’ ของเขาขึ้นมาให้สังคมได้ถกเถียง หรือข่าวเบาๆ ที่ทำให้ใจหาย เนื่องจาก LINE ประกาศยุติการให้บริการเกม Cookie Run เกมยอดฮิตที่เคยทำให้เพชรกระจายว่อนแอปฯ แชต (จนบางคนต้องบล็อกเพื่อน)
แต่ถ้าเป็นเรื่องที่พูดถึงกันมากในเมืองไทยสัปดาห์นี้ คงเป็นการเปิดตัวพรรคการเมืองใหม่ที่ติดชาร์ตเทรนด์ดิ้ง (อีกแล้ว) ที่มีทั้งเสียงกองเชียร์และเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังสลับกันไป แต่ในขณะที่พรรคบอกว่าจะเดินไปข้างหน้า การเลือกตั้งก็อาจมีเหตุให้เลื่อนหนีไปข้างหน้าเช่นกัน มาดูกันว่าเพราะอะไร
Stephen Hawking เจ้าของทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง สู่คำว่าตลอดกาล
1942-2018 คือช่วงเวลาของศาสตราจารย์สตีเฟน ฮอว์กิง (Stephen Hawking) นักฟิสิกส์ผู้เป็นตำนานของโลกสมัยใหม่ ซึ่งอย่างที่ทุกคนทราบดี เขาเพิ่งเสียชีวิตลงอย่างสงบเมื่อวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา ด้วยอายุ 76 ปี ที่บ้านในเมืองเคมบริดจ์ประเทศอังกฤษ
ศ.ฮอว์กิงให้แนวความคิดที่เป็นประโยชน์กับวงการวิทยาศาสตร์เป็นอย่างมาก เช่นงานเขียน ประวัติย่อของกาลเวลา หรือ A Brief History of Time: From the Big Bang to Black Holes ที่กลายเป็นหนังสือขายดีระดับโลก (แม้จะถูกมองว่ามีคนอ่านจบหรือเข้าใจมันน้อยเหลือเกินก็ตาม) รวมถึง ‘ทฤษฎีแห่งสรรพสิ่ง’ หรือ Theory of Everything ที่เขาเสนอว่าจักรวาลมีวิวัฒนาการมาจากกฎเกณฑ์ที่แน่นอนชุดหนึ่ง และแม้จะจากไปแล้ว แนวคิดของ ศ.ฮอว์กิง ก็ยังทิ้งร่องรอยที่เกี่ยวพันกับโลกอนาคตด้วย
ในปี 2014 ศ.ฮอว์กิงเคยให้สัมภาษณ์กับบีบีซีว่า ถ้าเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) พัฒนาไปถึงขีดสุด โลกอาจจะเป็นได้ทั้งสิ่งที่ดีที่สุดหรือร้ายที่สุดถึงขั้นเป็นจุดจบของเผ่าพันธุ์มนุษย์
ก่อนจะเสียชีวิต เขาปรากฏตัวออกสื่อครั้งสุดท้ายผ่านสารคดีเรื่อง ‘Leaving Earth: Or How to Colonize a Planet’ ที่จะถูกเผยแพร่ครั้งแรกทาง Smithsonian Channel ในวันที่ 25 มีนาคมนี้ โดยเขาพูดเปิดสารคดีไว้ว่า “ผมเชื่อว่ามนุษย์จำเป็นต้องจากโลกใบนี้ และสร้างถิ่นที่อยู่ใหม่บนดาวดวงอื่น เราต้องเริ่มทำตั้งแต่ตอนนี้ ก่อนที่มนุษยชาติจะถูกทำลายลงด้วยมหันตภัยที่เราไม่สามารถจัดการหรือควบคุมได้เลย”
นอกจากอัจฉริยภาพทางวิทยาศาสตร์และอารมณ์ขันแล้ว ความพิการของเขาก็ถูกจดจำไปพร้อมๆ กัน โดยก่อนหน้านั้นเขาเป็นวัยรุ่นที่รักการกีฬา จนเมื่ออายุ 22 ปี ก็เริ่มเจ็บป่วยจากโรคเซลล์ประสาทนำคำสั่งเสื่อม (Motor Neurone Disease-MND) หรือที่รู้จักกันในนามโรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง ซึ่งต่อมาเมื่อขยับตัวไม่ได้โดยสมบูรณ์ เขาจึงใช้วิธีการทำงานโดยพูดผ่านอุปกรณ์สังเคราะห์เสียงแทน และนั่นยิ่งทำให้โลกตระหนักว่าเขาอุทิศตนเพื่อการศึกษาและหาองค์ความรู้ใหม่ๆ มากแค่ไหน
การเสียชีวิตของ ศ.ฮอว์กิงทำให้ผู้คนจำนวนมากออกมาแสดงความเสียใจ บางเสียงในจำนวนนั้นมุ่งเน้นไปที่ความพิการว่าเป็นความทุกข์ซึ่งเขาหลุดพ้นแล้ว หรือไม่ก็ เขาไม่ควรพิการมาตั้งแต่ต้น ทำให้คนเหล่านั้นถูกโจมตีกลับมาจากโลกออนไลน์ เช่น แกล กาโดต์ สาววันเดอร์วูแมน หรือเนย์มาร์ นักฟุตบอลดาวรุ่งชาวบราซิล โดยหลายสื่อเช่น Los Angeles Times ก็ออกมาย้ำว่า เราจะตัดเรื่องความพิการออกไปจาก ศ.ฮอว์กิงไม่ได้เลย เพราะนั่นคือส่วนหนึ่งที่สำคัญของเขา
ศ.ฮอว์กิงเองยังเคยเขียนเกี่ยวกับความพิการของเขาเอาไว้ในหนังสือ Science Digest เมื่อปี 1984 ว่า “ความพิการของผมไม่ได้ทำให้สมรรถภาพในการทำงานของผมลดลง ในความเป็นจริงมันยังช่วยให้ผมไม่ต้องใช้เวลาไปกับการสอนหรือการจัดการเรื่องต่างๆ ด้วยซ้ำ” นั่นยิ่งทำให้เราทึ่งกับวิธีใช้ชีวิตของเขาเหลือเกิน
RIP Stephen Hawking.
โกงเงินคนจนเหมือนโรคระบาด เพราะยิ่งสอบยิ่งเจอ
กลายเป็นการทุจริตระดับชาติ จากกรณีน้องแบม น.ส.ปณิดา ยศปัญญา นักศึกษาปี 4 สาขาพัฒนาชุมชน คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ร้องเรียนเรื่องการทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้และผู้ป่วยโรคเอดส์ ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดขอนแก่น ระหว่างไปฝึกงานที่ศูนย์ดังกล่าว
จนทางสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ (ป.ป.ท.) ได้เข้ามาตรวจสอบพบว่า มีการทุจริตเงินสงเคราะห์ผู้ยากไร้ของศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งตามจังหวัดต่างๆ ถึง 44 จังหวัด มูลค่าความเสียหายเป็นจำนวนเงิน 97,842,000 บาท
โดยมีการทุจริตหลักๆ อยู่สามแบบ ได้แก่ ผู้ไร้ที่พึ่งไม่ได้รับเงินตามจำนวนที่ควรได้ มีการเบิกจ่ายเงินไม่ตรบตามจริง และการให้คนอื่นมาสวมสิทธิ์คนไร้ที่พึ่ง
ทางด้านนภา เศรษฐกร อธิบดีกรมพัฒนาสังคมและสวัสดิการ (พส.) ก็เปิดเผยถึงการลงพื้นที่ตรวจสอบขบวนการทุจริตเงินคนจนกับหน่วยงานในสังกัดทั้งสิ้น 56 แห่ง โดยแบ่งผลการตรวจสอบเป็นสามกลุ่มคือ กลุ่มที่ไม่พบการทุจริต ซึ่งมีสี่แห่ง คือศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดสมุทรสงคราม สิงห์บุรี ภูเก็ต และนครศรีธรรมราช กลุ่มที่อยู่ระหว่างดำเนินการตรวจสอบ 31 แห่ง และกลุ่มที่ตรวจสอบพบมูลความผิด 21 แห่ง
ทั้งขอนแก่นและเชียงใหม่พบการทุจริตที่ชัดเจน และมีการตั้งคณะกรรมการสอบวินัยร้ายแรง โดยให้ผู้ที่ถูกกล่าวหานำข้อมูลมาหักล้างภายในสิ้นเดือนมีนาคม ส่วนที่เหลือ มีการย้ายหัวหน้าหน่วยงานออกจากพื้นที่มายังส่วนกลางแล้ว 16 แห่ง เช่น ศูนย์คุ้มครองคนไร้ที่พึ่งจังหวัดบึงกาฬ สุราษฎร์ธานี พัทลุง และยะลา เป็นต้น
ทางด้านน้องแบม นักศึกษาฝึกงานผู้ออกมาเปิดโปงการทุจริต อยู่ในระหว่างการทำวิจัยเรื่องการดูแลผู้สูงอายุเพื่อให้จบการศึกษาปริญญาตรี โดยมีเจ้าหน้าที่มาทำหน้าที่คุ้มกันพยาน และมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งมอบทุนให้เรียนปริญญาโท ท่ามกลางข่าวว่าเธอโดนอาจารย์ท่านหนึ่งเรียกไปให้พบผู้ทำการทุจริตพร้อมกับให้กราบขอโทษ และมีการทุบหลังเธอด้วย จนทางมหาวิทยาลัยมหาสารคามต้องมีการตรวจสอบเรื่องดังกล่าว
ล่าสุดวันที่ 16 มีนาคม 2561 ทาง ป.ป.ท. พบการทุจริตในเจ็ดจังหวัดภาคอีสาน เป็นจำนวนเงิน 13,255,000 บาท ประกอบไปด้วย จ.อุบลราชธานี จำนวน 1,530,000 บาท จ.อำนาจเจริญ จำนวน 1,215,000 บาท จ.ยโสธร 4,000,000 บาท จ.นครราชสีมา จำนวน 1,260,000 บาท จ.ชัยภูมิ จำนวน 1,900,000 บาท จ.บุรีรัมย์ จำนวน 800,000 บาท และ จ.สุรินทร์ จำนวน 2,550,000 บาท
เรียกว่ายิ่งสอบยิ่งเจอการทุจริต ส่วนจะไปจบลงที่ตรงไหน คงต้องติดตามกันต่อไป
อำลา ‘คุกกี้รัน’ เวอร์ชัน LINE
มาที่ข่าวเบาๆ ที่สะเทือนใจคอเกมหลายคน เมื่อเกมคุกกี้รัน หรือ LINE Cookie Run กำลังจะปิดให้บริการ ในวันที่ 5 มิ.ย. 2561 เวลาบ่ายโมงเป็นต้นไป สำหรับสาเหตุนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด
คงจำบรรยากาศได้ สมัยที่คนก้มหน้าก้มตาเอานิ้วจิ้มจอ กระโดดบ้าง สไลด์ตัวบ้าง เพื่อพาเจ้าตัว ‘คุกกี้’ หนีไปจากเตาอบของแม่มด ที่วิ่งยังไงก็ไม่จบไม่สิ้น แต่ก็ต้องพามันไปให้ไกลจากจุดเริ่มต้นมากที่สุด กระโดดข้ามสิ่งกีดขวาง และเก็บเหรียญและเยลลี่ให้ได้มากๆ ระหว่างทาง
และสิ่งที่ตามมาก็คือการเชิญเพื่อนใน LINE มาเล่นเกมเพื่อแลกกับเพชร (จนทำให้แม้แต่คนที่ไม่เล่น ก็ต้องเคยได้ยินชื่อเกมนี้กันมาบ้าง)
จุดเริ่มต้นของเกม ต้องย้อนไปเมื่อปี 2013 บริษัทผู้พัฒนาเกมสัญชาติเกาหลีใต้ชื่อ Devsisters ปล่อยเกม Cookie Run ซึ่งพัฒนาต่อมาจากเกมเดิมของบริษัทที่ชื่อ OvenBreak ในเดือน เม.ย. ผ่านแอปฯ แชตที่ชื่อ Kakao Talk ปรากฏว่าประสบความสำเร็จอย่างสูง ขึ้นอันดับ 1 เกมทำรายได้สูงสุดบนแอปฯ Google Play และอันดับ 6 บน App Store ในเดือน พ.ค. ปีนั้นเอง
Devsisters ก็เลยรับเละ จากความสำเร็จของเกมเกมเดียว มีรายได้เพิ่มขึ้นจาก 800 ล้านวอนในปี 2011 กลายเป็น 61.7 พันล้านวอนในปี 2013
ความฮอตฮิตในบ้านเกิดทำให้ในเวลาต่อมา บริษัท LINE Corporation นำเอาเกม Cookie Run ปล่อยออกมาสู่เวอร์ชันสากล ตั้งแต่ต้นปี 2014 (เว้นแต่ในเกาหลีใต้และจีน) โดยแปลเป็นภาษาจีน อังกฤษ ญี่ปุ่น สเปน และไทย ซึ่งก็ฮิตติดชาร์ต ได้อันดับ 1 ประเภทแอปฯ ฟรี ในหลายๆ ประเทศ โดยเฉพาะในไต้หวันและไทย ซึ่งอยู่ค้างฟ้าติดต่อกันถึง 13 วันบนชาร์ต แต่เมื่อเวลาผ่าน หลายคนอาจเลิกติดเกมนี้ไปนานแล้ว เหมือนๆ กับหลายเกมที่ผ่านเข้ามาเป็นเทรนด์ อย่างอดีตเกมยอดฮิต Angry Bird
อย่างไรก็ตาม อันดับของเกมนี้ยังอยู่อันดับที่ 18 ของหมวด Game ใน App Store (นับเฉพาะที่ดาวน์โหลดผ่าน iPhone เมื่อวันที่ 16 มี.ค. 61) ซึ่งจะมีให้ดาวน์โหลดไปถึงแค่วันที่ 18 เม.ย. นี้เท่านั้น
แต่ถ้าใครยังอยากเล่นอยู่ อาจเข้าไปโหลดเกมเวอร์ชันของ Devsisters บริษัทผู้พัฒนาเกม ที่ชื่อ CookieRun OvenBreak Season 2 ได้เช่นกัน แถมตอนนี้ เกมนี้อยู่อันดับ 11 แซงหน้าเวอร์ชันที่เราคุ้นเคยกันของ LINE อีกด้วย
พรรคการเมืองใหม่ และการเลือกตั้งที่อาจกระเถิบออกไป
หลังจากแฮชแท็ก ‘ช่วยธนาธรตั้งชื่อพรรค’ กลายเป็นกระแสฮอตฮิตในโลกออนไลน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว มาสัปดาห์นี้ หลังจากเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงาน ‘กินกาแฟกับธนาธร’ เมื่อเช้าวันที่ 15 มี.ค. ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ และผู้ร่วมก่อตั้งอีก 25 รายชื่อ ก็ทำให้แฮชแท็ก ‘พรรคอนาคตใหม่’ พุ่งขึ้นเป็นอันดับหนึ่งของ @TopTrendThai ประจำวันนั้น
เช้าวันที่ 15 มี.ค. ที่ Warehouse 30 ซอยเจริญกรุง พรรคอนาคตใหม่ (Future Forward Party) เปิดตัวด้วยสีส้มสดใส ซึ่งเป็น ‘สีแห่งรุ่งอรุณของวันใหม่’ พร้อมกับโลโก้ปุ่มฟอร์เวิร์ดหัวลูกศรรูปสามเหลี่ยม ซึ่งหมายถึงความหวังที่จะเคลื่อนไปข้างหน้า โดยมีวัตถุประสงค์ในการก่อตั้งพรรคสามประการคือ หนึ่ง ช่วยกระตุกความคิดของคนในสังคมให้กลับสู่การเมืองแบบประชาธิปไตย สอง เปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ และสร้างสรรค์สิ่งใหม่ให้แก่ประเทศ และสาม เปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองไทย
ข้อความตอนหนึ่งในเอกสารที่แจกให้กับสื่อมวลชนในวันนั้นระบุว่า “ ‘พรรคอนาคตใหม่’ เกิดจากการรวมตัวกันของคนหลากหลายวงการ เพื่อลงมือสร้างการเมืองแบบใหม่ ไม่ให้ประเทศไทยต้องจมปลักอยู่กับ ‘ทศวรรษที่สูญหาย’ อีกต่อไป
สำหรับผู้ร่วมก่อตั้งจากหลากหลายวงการก็มีตั้งแต่นักวิชาการ นักปรุงเบียร์ เกษตรกร ประธานสหภาพแรงงาน ไล่เรียงไปจนถึงนักศึกษา
สำหรับคนจำนวนหนึ่ง นี่คือพรรคการเมืองที่ทำให้การเลือกตั้งครั้งต่อไปน่าตื่นตาตื่นใจยิ่งกว่าครั้งใดๆ แต่สำหรับคนอีกจำนวนหนึ่ง คำถามและคำวิจารณ์คงถูกเตรียมไว้โยนเข้าใส่พรรคการเมืองใหม่สีส้มเรียบร้อยแล้ว
ในห้วงสัปดาห์เดียวกัน อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวที่ต้องจับตาอยู่ในฟากฝั่งคนเก่าคนแก่ใน สนช. หลังจากนายมีชัย ฤชุพันธุ์ ประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ส่งเอกสารท้วงติงถึง สนช. ว่าร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. อาจมีบทบัญญัติที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ และเสนอให้ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย
สำหรับร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. นายมีชัยกังวลว่าการตัดสิทธิบุคคลที่ไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไม่ให้เป็นข้าราชการการเมือง เป็นการตัดสิทธิหรือเสรีภาพ และการให้เจ้าหน้าที่ช่วยผู้พิการลงคะแนน โดยให้ถือว่าเป็นการลงคะแนนโดยตรงและลับ อาจขัดกับรัฐธรรมนูญ ส่วนร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว. นายมีชัยเห็นว่าการแยกผู้สมัครเป็นสองประเภท คือแบบอิสระและแบบเสนอชื่อโดยองค์กร อาจมีปัญหาในทางปฏิบัติและความสุจริต
สำหรับความชัดเจนในเรื่องนี้ เมื่อวันที่ 16 มี.ค. นายพรเพชร วิชิตชลชัย ประธาน สนช. แถลงข่าวว่า หลังจากการหารือ สนช.ได้ข้อยุติว่าจะส่ง ร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ว.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยในข้อความที่อาจขัดกับรัฐธรรมนูญในวันที่ 19 มี.ค. เพื่อให้ทุกอย่างชัดเจน โดยมี สนช.เข้าชื่อเพื่อส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย 30 คน
ส่วนร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. สนช.มั่นใจว่าไม่มีข้อความที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ และจะส่งให้นายกฯ นำขึ้นทูลเกล้าฯ ในวันที่ 19 มี.ค. เช่นกัน โดยนายพรเพชรกล่าวว่า เรื่องการตัดสิทธิการดำรงตำแหน่งข้าราชการการเมืองหากไม่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง สนช.มั่นใจว่าไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญ
สำหรับเรื่องการให้มีผู้ช่วยเหลือผู้พิการในการกาบัตรเลือกตั้ง ซึ่งไม่เป็นความลับตามที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ นายพรเพชรกล่าวว่าผู้พิการและผู้ช่วยเหลือเป็นเพียงสองคนที่รับรู้ ไม่ได้เปิดเผยต่อคนทั่วไป ดังนั้น พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.จึงเขียนไว้ว่าการทำอย่างนี้ถือว่าเป็นความลับ
นอกจากนี้ นายพรเพชรกล่าวด้วยว่าหากส่งร่าง พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส.ให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยจะกระทบกับการเลือกตั้ง เพราะต้องชะลอกฎหมายไว้จนกว่าศาลจะมีคำวินิจฉัย ไม่สามารถส่งให้นายกรัฐมนตรีนำขึ้นทูลเกล้าฯ ได้
ยังไม่คลี่คลาย ปริศนาวางยาพิษ ‘โนวีชอก’ ในอังกฤษ
เรื่องราวการวางยาพิษใส่ศัตรูคู่อาฆาตไม่ได้มีแต่ในหนังพีเรียดหรือละครน้ำเน่า แต่เป็นเรื่องราวที่ยังเกิดขึ้นในยุคนี้ แถมยังเกี่ยวข้องกับการเมืองระดับโลก
นายเซอร์เก สกริปาล อดีตสายลับรัสเซีย วัย 66 ปี และ ยูเลีย สกริปาล ลูกสาววัย 33 ปี นอนหมดสติอยู่บนม้านั่งหน้าห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่งในเมืองซอลส์บรี เมื่อวันที่ 4 มี.ค. ที่ผ่านมา ภายหลังทราบว่า ทั้งคู่โดนยาพิษในกลุ่มโนวีชอก (Novichok) อาการสาหัสอยู่ที่โรงพยาบาล
ล่าสุด หนังสือพิมพ์เทเลกราฟรายงาน อ้างแหล่งข่าวไม่ประสงค์ออกนามว่า ยาพิษนี้น่าจะติดมากับกระเป๋าเดินทางของ ยูเลีย ลูกสาว ที่เพิ่งเดินทางกลับมาจากมอสโก รัสเซีย เมื่อวันที่ 3 มี.ค. 61
นักสืบของทางการสหราชอาณาจักรคาดว่า ยูเลียอาจถูกวางยาพิษผ่านทางเสื้อผ้า เครื่องสำอาง หรือของขวัญที่เปิดออกมาในบ้าน ซึ่งนอกจากนายเซอร์เกและยูเลียแล้ว ยังมีเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เข้าไปในบริเวณที่เกิดเหตุได้รับอันตรายด้วยเช่นกัน
เหตุการณ์นี้ก็ทำให้ชาวเมืองชอลส์บรีหวาดกลัว ด้านทางการสหราชอาณาจักรแนะนำให้ชาวเมืองที่เดินทางไปที่ผับและร้านอาหารซึ่งสองพ่อลูกแวะไปก่อนหน้า ทำความสะอาดสิ่งของและทรัพย์สินต่างๆ
โนวีชอก เป็นสารพิษทำลายประสาทที่พัฒนาขึ้นโดยสหภาพโซเวียต และเป็นสารพิษตัวเดียวกับที่ใช้สังหาร คิม จอง นัม พี่ชายต่างแม่ของ คิม จอง อึน ผู้นำสูงสุดของเกาหลีเหนือ โนวีชอก อาจมาในรูปของเหลว ของแข็ง หรือผงละเอียดที่อาจใช้โปรยเป็นอาวุธเคมีที่แพร่กระจายทางอากาศได้ บีบีซีรายงานว่า โนวีชอกอาจมาในรูปของสารตั้งต้นสองชนิดที่พิษไม่แรง แต่ถ้าผสมกันก็จะทำปฏิกิริยาเป็นสารทำลายประสาทที่อันตรายถึงชีวิต ซึ่งทำให้การลักลอบพกพาและซุกซ่อนสารพิษนี้ทำได้โดยสะดวก
เมื่อเข้าสู่ร่างกาย สารนี้จะไปปิดกั้นการสื่อสารระหว่างระบบประสาทและกล้ามเนื้อ ทำให้ระบบการทำงานของร่างกายล้มเหลว บางกรณีอาจเกิดขึ้นภายใน 30 วินาที – 2 นาที บางกรณีอาจมีอาการหลังสัมผัสสารพิษ 18 ชม.
สิ่งที่ผู้คนสงสัยคือ สารพิษตัวนี้ ถูกนำมาใช้กับอดีตสายลับรัสเซียในเมืองซอลส์บรี ในอังกฤษได้อย่างไร ทางการสหราชอาณาจักรชี้นิ้วไปที่รัสเซียโดยทันที โดยเทเรซา เมย์ นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร เรียกร้องให้รัสเซียชี้แจงถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และเมื่อ 14 มี.ค. ก็มีคำสั่งขับไล่นักการทูตรัสเซียจำนวน 23 คนให้ออกจากประเทศภายในหนึ่งสัปดาห์ โดยถือว่าทูตรัสเซียคือเจ้าหน้าที่ข่าวกรองที่เปิดเผยตัว และประกาศยกเลิกแผนที่ผู้นำของทั้งสองประเทศจะเดินทางไปพบปะกันด้วย
สำหรับนายเซอร์เก เคยเป็นนายทหารยศพันเอกของหน่วยข่าวกรองรัสเซีย แต่หันมาทำงานให้กับ MI6 หน่วยข่าวกรองอังกฤษ จนถูกจับที่กรุงมอสโกเมื่อปี 2004 ศาลสั่งให้ต้องโทษจำคุก 13 ปีเมื่อปี 2006 ต่อมาก็ลี้ภัยไปอยู่ที่อังกฤษเมื่อมีการแลกเปลี่ยนสายลับระหว่างสองประเทศในปี 2010
เรื่องราวลักษณะนี้ไม่ได้เพิ่งเกิดขึ้นครั้งแรก แต่ซ้ำรอยกับกรณีที่เกิดขึ้นกับ อเล็กซานเดอร์ ลิตวิเนนโก อดีตสายลับรัสเซียที่ถูกวางยาด้วยสารพิษโพโลเนียม-210 ไอโซเทปของสารกัมมันตภาพรังสี เหตุเกิดขึ้นในลอนดอน
ทั้งสหราชอาณาจักร สหรัฐอเมริกา เยอรมนี และฝรั่งเศส ต่างเรียกร้องให้รัสเซียอธิบาย ว่าสารพิษที่คิดค้นโดยกองทัพรัสเซียเดินทางไปถึงแผ่นดินสหราชอาณาจักรได้อย่างไร ขณะที่ วลาดิเมียร์ ปูติน ประธานาธิบดีรัสเซีย กล่าวปฏิเสธความเกี่ยวข้อง และโต้ตอบว่า การไล่ทูตออกจากประเทศเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ และไม่มีวิสัยทัศน์ อีกทั้งความเชื่อที่ว่ารัสเซียอยู่เบื้องหลัง มาจากอาการต้านรัสเซียเท่านั้น
Tags: คอร์รัปชัน, รัสเซีย, Trending This Week, Stephen Hawking, อนาคตใหม่, ป.ป.ท., Cookie Run, LINE