ความจริงแล้ว กระแสเรื่องนาฬิกาหรูที่เป็นประเด็นมาจากการยกมือขึ้นป้องแดดของ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ยังไม่จบดี จากเริ่มแรกที่นักสืบโซเชียลเอะใจไปค้นหารายการนาฬิกาในบัญชีรายการแสดงทรัพย์สินแต่ไม่พบรายละเอียด มาล่าสุด มีการแกะรอยภาพถ่ายเก่าๆ ไล่ทำดัชนีนาฬิกาหรูต่างรุ่นต่างยี่ห้อได้ราว 20 เรือนรวมมูลค่าปาเข้าไปเลขแปดหลักแล้ว แต่แม้กระแสสังคมจะคึกคักติดตามข้อมูลเพียงใด แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่เป็นหน่วยงานรับผิดชอบโดยตรง

มาสัปดาห์นี้ เข้าสู่สัปดาห์ที่สองของเดือนมกราคม แน่นอนว่า มันคือวันเด็กที่ทุกคนรอคอย ปีนี้นายกฯ เตรียมอะไรไว้ให้เด็กๆ บ้าง ของเล่นที่จัดไว้ยังเอามาสร้างกระแสไปได้ไกลถึงระดับโลก The Momentum จัดอันดับเรื่องฮิตติดเทรนด์สิบอันดับในรอบสัปดาห์มาฝากกัน

1. “รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี”

ขอต้อนรับวันเด็กด้วยคำขวัญวันเด็กปีนี้ จาก พล.อ.ประยุทธ์ หัวหน้าคสช.และนายกรัฐมนตรี ที่ว่า “รู้คิด รู้เท่าทัน สร้างสรรค์เทคโนโลยี”

ดูเหมือนเป็นธรรมเนียมไปแล้วที่ในวันนี้เด็กๆ จะได้ใกล้ชิดกับอุปกรณ์สงครามต่างๆ เช่นรถถัง หรือการดูโชว์เครื่องบินรบ ให้รู้สึกนึกฝันอยากโตไปเป็นทหาร หรือทำให้รู้สึกประทับใจบทบาท ‘รั้วของชาติ’ มาทุกยุคสมัย

แต่สำหรับปีนี้ ข่าวน่าผิดหวังก็คือ เครื่องบินฝึกไอพ่น T-50TH ใหม่เอี่ยมที่สั่งจากผู้ผลิตในเกาหลีใต้มาส่งมอบไม่ทันวันเด็ก ซึ่งเป็นกำหนดการเดิมในการส่งมอบ

อย่างไรก็ตาม ก่อนที่เราจะตั้งตารอการบินโชว์ในวันเด็กนี้ ย้อนกลับไปดูเหตุการณ์เครื่องบินขับไล่กริพเพนตกเมื่อวันเด็กปีที่แล้ว ที่จังหวัดสงขลา โดยกองทัพอากาศ สรุปผลเหตุการณ์ว่า สาเหตุไม่ได้มาจากสภาพของเครื่องบิน แต่มาจากการหลงสภาพการบินชั่วขณะ (Spatial Disorientation) ซึ่งเป็นอาการที่บุคคลนั้นรับรู้ถึงตำแหน่งที่อยู่ ท่าทางการทรงตัวในการบิน และการเคลื่อนที่ของอากาศยานที่ตนบังคับอยู่ ในลักษณะที่สัมพันธ์กับแนวขอบฟ้า (Horizontal Line) ผิดพลาดไปจากที่เป็นอยู่จริง และสภาวะนี้เกิดจากหลายปัจจัยประกอบกัน เช่น สภาพอากาศ ความเร็ว อัตราเร่ง การเปลี่ยนท่าทางการบินโดยฉับพลัน ซึ่งส่งผลต่ออวัยวะการรับรู้ของมนุษย์

ส่วนสิ่งที่รอต้อนรับเด็กๆ อยู่ที่ตึกไทยคู่ฟ้าในปีนี้ ก็คือสแตนดีนายกฯ สุดคิวต์ (?) ในอิริยาบถ 14 แบบ ให้มาถ่ายรูปเล่นกัน พร้อมกิจกรรมประเทืองปัญญาอื่นๆ อีกมากมาย เช่น กิจกรรมเล่นเกมผ่านระบบออนไลน์ เช่น เกมจับคู่ภาพ ต่อจิ๊กซอว์ จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจ ชมหุ่นยนต์ขนของและหุ่นยนต์ฮิวแมนนอย จาก อพวช. ซึ่งยังรวมไปถึงหุ่นยนต์เชิญกรรไกรให้หัวหน้าคสช.ฯ ตัดริบบิ้น อู้หูว.. เทคโนโลยีมาเต็มสมกับคำขวัญปีนี้จริงๆ

2. นายกฯ ไทยดังไปทั่วโลก เพราะบอกนักข่าวให้คุยกับสแตนดีแทน

วันที่ 8 ม.ค. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี พูดถึงเรื่องการพัฒนาเด็ก เนื่องในโอกาสวันเด็กที่จะมาถึงวันเสาร์นี้ ที่ทำเนียบรัฐบาล

แต่ระหว่างให้สัมภาษณ์ นายกฯ ก็ปล่อยมุก โดยให้เจ้าหน้าที่เอาสแตนดีรูปตัวเองมาตั้ง แล้วบอกนักข่าวว่า ถ้าจะถ่ายรูปหรือถามเรื่องการเมือง ให้มาถาม ‘ไอ้คนนี้’ แทน แล้วทำมือชูขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์ I love you พร้อมเดินออกจากฉากไปในมาดหน้าตาย เรียกเสียงหัวเราะจากบรรดานักข่าว ตามมาด้วยการถ่ายเซลฟีกับสแตนดีของ พล.อ.ประยุทธ์กันอย่างสนุกนาน ซึ่งสแตนดีหรือคัตเอาต์ที่ว่านี้ผลิตขึ้นเพื่อใช้ในงานวันเด็ก

สื่อต่างประเทศนำเรื่องนี้ไปเผยแพร่ต่อ ว่านี่เป็นแนวทางใหม่ของนายกฯ ไทยในการรับมือกับนักข่าว ด้วยน้ำเสียงทั้งประหลาดใจและแสดงความกังวล เพราะแนวโน้มเช่นนี้ดูเหมือนจะเกิดขึ้นในหลายประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา อย่างเช่น การที่ทรัมป์เรียกบรรดาข่าวจากสำนักข่าวต่างๆ ว่าเป็นข่าวปลอม หรือ fake news และว่าจะให้รางวัล Fake News Award ให้กับสื่อเหล่านี้ หรือท่าทีของประธานาธิบดีเชก ที่ส่ายไรเฟิลปลอมไปทางนักข่าวระหว่างแถลงข่าว

ในขณะเดียวกัน ฮิวแมนไรต์วอตช์ วิพากษ์ว่ามุกฮาๆ ของนายกฯ ว่านี่เป็นเพียงหนึ่งใน “บรรดาพฤติกรรมตอบโต้นักข่าวอันแสนประหลาดและมีท่าทีข่มขู่คุกคาม” ของ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ผ่านๆ มาเท่านั้น

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พล.อ.ประยุทธ์ แสดงพฤติกรรมที่ทำสื่อมวลชนฉงนฉงาย ทั้งเคยโยนเปลือกกล้วยใส่ช่างภาพ เอามือลูบคลึงใบหูนักข่าว และขู่ทำร้ายผู้สื่อข่าวที่วิพากษ์วิจารณ์รัฐบาล เรื่องนี้ The Guardian รายงานตบท้ายว่า ยิ่งนานวัน เมื่อ คสช. ออกกฎบังคับสิ่งต่างๆ กินความไปไกลเท่าไร ก็ดูเหมือนว่าจะยิ่งมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงเรื่องความไม่โปร่งใสมากขึ้นเรื่อยๆ

 

3. สายป่านงานเข้า โดนฟ้องพรบ. คอม

จากกรณีสายป่าน-อภิญญา สกุลเจริญสุข นักแสดงสาวโพสต์ภาพลงไอจีสตอรีของตัวเอง ปรากฎ ‘ของลับ’ ของแฟนหนุ่ม วุฒิ-นันทวุฒิ บุญรับทรัพย์ โดยไม่ได้ตั้งใจ แม้ภายหลังเจ้าตัวจะรีบลบภาพดังกล่าวพร้อมออกมาขอโทษแล้วก็ตาม

ดูเหมือนว่าเรื่องนี้ยังไม่จบง่ายๆ เพราะเมื่อวันที่ 9 ม.ค. 61 ที่ผ่านมา ทางตำรวจกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (ปอท.) ได้ออกหมายเรียกตัวสายป่านและแฟนหนุ่มมาสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเมื่อเช้าวันศุกร์ที่ 12 ม.ค. โดยทางปอท.ระบุว่า ถ้ารวบรวมพยานหลักฐาน และข้อเท็จจริง ที่ครบองค์ประกอบของการกระทำความผิดตาม พรบ. คอมพิวเตอร์นั้น ก็จะแจ้งข้อกล่าวหากันต่อไป

ซึ่งหากพบว่ามีการกระทำที่ครบองค์ความผิดก็จะเเจ้งข้อหา พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ มาตรา 14(4) นำเข้าภาพลามกอนาจาร เข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีหรือปรับไม่เกิน 6 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ และให้เป็นความผิดอันยอมความไม่ได้

ในโซเชียลมีเดียก็คอมเมนต์กันด้วยความงงว่า เรื่องแบบนี้ขาดเจตนา เห็นได้จากที่เจ้าตัวก็ลบโพสต์ทันที แล้วจะมาเอาผิดกันได้ด้วยหรือ

 

4. ‘ยิ่งลักษณ์’ อยู่อังกฤษ ต้องส่งตัวกลับหรือไม่

การปรากฏ ‘ภาพ’ ในอังกฤษ ของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งผู้สันทัดกรณีระบุว่าเป็นการ ‘จงใจ’ ปล่อยออกมาในห้วงเวลาเดียวกับที่ พล.อ.ประยุทธ์ประกาศตัวว่าเป็นนักการเมือง นอกจากเป็นการประกาศว่า ‘ฉันยังอยู่’ เพื่อให้กองเชียร์ในเมืองไทยหายคิดถึง ในอีกด้านหนึ่ง ยังอาจเป็นการบอกกลายๆ ว่า ขั้นตอนการขอพำนักในอังกฤษนั้นคืบหน้าไปไม่น้อยแล้ว

วันที่ 9 ม.ค. หลังจากภาพของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดีย นายดอน ปรมัตถ์วินัย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ก่อนเข้าร่วมประชุมคณะรัฐมนตรีว่ายังไม่มีข้อมูลว่านางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางเข้าประเทศอังกฤษด้วยสถานะอะไร อย่างไรก็ตาม ตนรับรู้เรื่องนี้มาตั้งแต่เดือนกันยายน 2560 โดยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของอังกฤษให้ข้อมูลว่า นางสาวยิ่งลักษณ์ใช้ชีวิตอยู่ที่กรุงลอนดอน

ทางด้านสถานเอกอัครราชทูตอังกฤษ ประจำกรุงเทพมหานคร ก็เปิดเผยกับบีบีซีไทยว่า ไม่สามารถเปิดเผยข้อมูลเกี่ยวกับบุคคลใดก็ตามที่พำนักอยู่ในสหราชอาณาจักรเป็นการเฉพาะได้ ไม่ว่าจะเป็นกรณีใดๆ

คำถามที่เกิดขึ้นในตอนนี้ก็คือ หากฝ่ายไทยร้องขอให้อังกฤษส่งตัวนางสาวยิ่งลักษณ์กลับสู่ประเทศไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน มีความเป็นไปได้หรือไม่ที่อังกฤษจะตอบสนองคำขอของไทย นอกจากนี้ ตอนนี้ เรายังไม่รู้ว่านางสาวยิ่งลักษณ์ใช้ชีวิตอยู่ในอังกฤษในฐานะใด ในเมื่อหนังสือเดินทางถูกยกเลิกไปแล้ว แต่ก็มีความเป็นไปได้ว่าอดีตนายกรัฐมนตรีกำลังอยู่ในระหว่างยื่นคำขอพำนักในฐานะผู้ลี้ภัย ซึ่งทางการไทยคงไม่สบายใจนัก หากนางสาวยิ่งลักษณ์เข้าสู่กระบวนการขอลี้ภัยในอังกฤษ และอาจสะดวกใจมากกว่า หากอดีตนายกรัฐมนตรีใช้ชีวิตในอังกฤษต่อไปในฐานะผู้พำนักอาศัย

ซึ่งไม่ว่าจะเรื่องการขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน หรือเรื่องการขอสถานะผู้ลี้ภัย ประเด็นสำคัญที่ต้องพิจารณาก็คือ การเดินทางออกนอกประเทศไทยเข้าไปอยู่อาศัยในอังกฤษ เกิดจากมูลเหตุทางการเมืองใช่หรือไม่ เช่น เกรงกลัวการถูกข่มเหงรังแกหรือถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรม โดยผู้ขอลี้ภัยต้องชี้แจงพร้อมแสดงหลักฐานให้เห็นว่า ถ้ากลับประเทศแล้ว จะถูกข่มเหงรังแกหรือถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรมอย่างไร ซี่งแน่นอนว่าการขอพำนักในอังกฤษ ไม่ว่าในสถานะใด อดีตนายกรัฐมนตรีคงต้องหยิบยกเหตุผลด้านการเมืองเป็นข้ออ้างหลัก

และถ้ารัฐบาลอังกฤษอนุญาตตามคำขอ นั่นก็ย่อมนำมาสู่ข้อกังขาต่อกระบวนการยุติธรรมของไทยในที่สุด

 

5. สาวถูกขโมยบัตร ปชช. ไปสวมรอยเปิดบัญชี แถมติดคุกข้อหาฉ้อโกง

จากกรณี น.ส.ณิชา เกียรติธนะไพบูลย์ อายุ 24 ปี พนักงานบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง ถูกมิจฉาชีพขโมยกระเป๋าสตางค์ตั้งแต่วันที่ 6 ต.ค. 2560 ที่ผ่านมา แม้เจ้าตัวจะอายัดบัตรเครดิตเรียบร้อยแล้ว พร้อมกับทำบัตรประชาชนใหม่

แต่ที่ไหนได้ มิจฉาชีพนำบัตรประชาชนใบเดิมของเธอไปเปิดบัญชีธนาคารเจ็ดแห่ง ถึงเก้าบัญชี มียอดเงินหมุนเวียน 10 ล้านบาท ภายหลังเจ้าตัวถูกศาลจังหวัดตากออกหมายจับข้อหาฉ้อโกง ต้องนอนเรือนจำอยู่สองวัน ก่อนที่ญาติยื่นคำร้องขอประกันตัว เมื่อวันที่ 8 ม.ค. 2561 ที่ผ่านมา

หลังจากศาลอนุญาติให้ประกันตัวได้ น.ส.ณิชา เดินทางไปที่กองปราบฯ เพื่อร้องเรียนขอความเป็นธรรมให้เอาผิดคนร้ายที่นำบัตรประชาชนของตนไปใช้ พร้อมขอให้ธนาคารรัดกุมในการรับเปิดบัญชีมากกว่านี้

ขณะที่ในโลกโซเชียลก็พูดถึงกรณีที่สถานีโทรทัศน์ NEW18 ทดลองให้ผู้สื่อข่าวนำบัตรประชาชนของน้องฝึกงานไปเปิดบัญชีธนาคาร ก็พบว่าสามารถเปิดบัญชีได้อย่างสบายๆ ภายในสิบนาที โดยเจ้าหน้าที่ธนาคารทักเพียงว่า ‘หน้าดูเด็กลง’ ด้วยนะเออ

 

6. หนังสือ Fire and Fury แฉทรัมป์จนขายดี

กำลังจะครบรอบหนึ่งปีพอดีที่ โดนัลด์ ทรัมป์ ดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ก็ได้ฤกษ์ที่ ไมเคิล วอล์ฟฟ์ นักข่าวและนักเขียน ตีพิมพ์หนังสือ Fire and Fury: Inside the Trump White House ที่ว่าด้วยขวบปีแรกของการเป็นประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาพอดี

หนังสือเล่มนี้ออกมาแฉเรื่องราวที่ได้มาจากการสัมภาษณ์แหล่งข้อมูลมากกว่า 200 ครั้ง ตัววอล์ฟฟ์ ผู้เขียนเองเป็นคนที่มีโอกาสได้ใกล้ชิดทรัมป์ เพราะเป็นนักข่าวที่ได้รับอนุญาตเป็นพิเศษให้เดินเข้าทำเนียบขาว มันจึงกลายเป็นหนังสือการเมืองที่ใครๆ ต่างรอคอย

นักวิจารณ์เขียนถึงหนังสือเล่มนี้ว่า ใช้ลีลาการเล่าเรื่องนี้ออกแนวแสบสัน (ผู้เขียนยังไม่ได้อ่านเพราะหนังสือหมดเกลี้ยงท้องตลาดตั้งแต่ 20 นาทีแรกที่วางขาย) เต็มไปด้วยเกร็ดเรื่องเล่ามุมกอสสิป เช่นที่ว่า ทรัมป์ไม่คิดว่าเขาจะชนะเลือกตั้ง แต่ปรากฏว่าเมื่อชนะแล้วทรัมป์ทำหน้าตาเหมือนผี ส่วนเมลานี ภรรยาของเขาก็ร้องไห้แต่ไม่ใช่ด้วยความดีใจ พูดง่ายๆ คือเขาไม่พร้อมจะนำเป็นผู้นำ และเป็นคนที่ขาดความสามารถทางสติปัญญา จนเป็นประเด็นทำให้ทรัมป์หัวร้อน ต้องออกมาบอกย้ำกลัวคนจะไปเชื่อข่าวลวงว่า “I’m very stable genious” ฉันเป็นอัจฉริยะที่ไม่สั่นคลอน

แหล่งข่าวคนสำคัญที่สุดของหนังสือเล่มนี้ ก็คือ อดีตหัวหน้าทีมยุทธศาสตร์ของทรัมป์ อย่าง สตีฟ แบนนอน เขาเคยทำหน้าที่เป็นหัวหน้าทีมแคมเปญให้แก่ทรัมป์ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของการหาเสียง แถมยังได้เป็นหัวหน้าทีมยุทธศาสตร์ในทำเนียบขาวนานถึง 7 เดือน ก่อนที่เขาจะย้ายไปทำงานที่ไบรท์บาร์ตนิวส์ เว็บไซต์ฝ่ายขวาที่กระพือเรื่องดรามาด้วยลีลาอันแสบสัน

ข้อมูลเด่นที่ทำให้สังคมการเมืองอเมริกันแทบจะระเบิด ก็คือข้อกล่าวหาว่าทรัมป์มีความเกี่ยวพันกับรัสเซีย โดยเขาบอกว่า ลูกชายคนโตของทรัมป์ – โดนัลด์ ทรัมป์ จูเนียร์ และลูกเขย – แจเร็ด คุชเชอร์ และผู้จัดการทีมหาเสียงของทรัมป์ – พอล แมนาฟอร์ต เคยไปเจอกับเจ้าหน้าที่ของรัสเซียที่ทรัมป์ทาวเวอร์ในนิวยอร์ก เขายังพูดด้วยว่า นี่เป็นการขายชาติและทรยศประเทศ

เพียงแค่สัปดาห์แรกที่หนังสือวางแผง การเมืองอเมริกันก็พูดเรื่องนี้ทุกวัน นอกจากทรัมป์อาจจะเจอเรื่องเดือดร้อนจากข้อกล่าวหาที่ว่าเกี่ยวพันกับรัสเซีย จนไม่แน่ว่าเขาจะอยู่ในตำแหน่งนี้ไปได้ครบเทอมหรือไม่ ด้านแหล่งข่าวคนสำคัญอย่าง สตีฟ แบนนอน เอง ก็ถูกขับออกจากตำแหน่งประธานบริหารของแบรท์บาร์ตนิวส์ไปเมื่ออังคารที่ผ่านมา (9 ม.ค.) จากการออกมาให้ข้อมูลในหนังสือเล่มนี้

อ่านสกู๊ปเกี่ยวกับเบื้องลึกของหนังสือเล่มนี้ที่ เปลือย ‘โดนัลด์ ทรัมป์’ ผ่านหนังสือเปิดศักราชใหม่ของอเมริกา Fire and Fury

 

7. จากราคาน้ำดื่มในสนามบิน สู่ดราม่าคำพูดของ รมว.ท่องเที่ยวและกีฬา  

เป็นเรื่องขึ้นมาทันที หลังจากมีผู้ใช้เฟซบุ๊กชื่อ ‘Akihiro Koki Tomikawa’ โพสต์ข้อความเมื่อ 8 ม.ค. ว่า “สื่อญี่ปุ่นตำหนิสนามบินดอนเมืองว่า ค่าอาหารและเครื่องดื่มแพง” พร้อมกับลิงก์ของรายงานข่าวภาษาอังกฤษหัวข้อ ‘The selling price of drinking water bottles at Don Muang Airport is 4 times normal!’ ในเว็บไซต์ thaich.net

ต่อมาเรื่องนี้ก็ถึงหูหัวหน้าคสช.และนายกรัฐมนตรี ที่สั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบค่าอาหารในสนามบินดอนเมืองและสุวรรณภูมิ และทำให้บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) (ทอท.) ก็ชี้แจงผ่านเฟซบุ๊ก ‘AOT Official’ เมื่อ 10 ม.ค. ว่า ทอท. กำหนดเงื่อนไขให้ผู้ประกอบการขายสินค้าในราคาสูงกว่าราคาในท้องตลาดได้ไม่เกิน 20-25 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งก็ได้รับความร่วมมือจากผู้ประกอบการเป็นอย่างดี ส่วนข่าวที่ว่าน้ำดื่มราคาขวดละ 40 บาทนั้น มีความคลาดเคลื่อน เพราะร้านค้าภายในท่าอากาศยานจำหน่ายน้ำเปล่าที่บรรจุขวดขนาด 500 มิลลิลิตรในราคาขวดละไม่เกิน 10 บาท ส่วนน้ำแร่อยู่ที่ขวดละ 25-50 บาท และยังมีตู้น้ำดื่มกดฟรีและร้านอาหารสวัสดิการราคาประหยัดเป็นทางเลือกให้กับผู้โดยสารด้วย

ทางด้าน พล.อ.วิทวัส รชตนันท์ รักษาการประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินได้รับเรื่องร้องเรียนแบบนี้มาตั้งแต่ปี 2559 และจากการตรวจสอบสัญญาที่ ทอท. ทำกับร้านค้า ระบุว่ายอมให้ขายแพงกว่าราคาในห้างสรรพสินค้า 10-20 เปอร์เซ็นต์ และที่สนามบินสุวรรณภูมิ ยอมให้ขายแพงกว่าราคาในห้างฯ ไม่เกิน 25 เปอร์เซ็นต์ แต่ปรากฏว่าสนามบินทั้งสองแห่งมีการขายเกินราคา โดยสูงกว่าราคาที่กำหนด 40-50 เปอร์เซ็นต์ ซึ่งต่อจากนี้ จะเชิญทอท. มาให้ถ้อยคำ และหากหน่วยงานไม่แก้ไขตามที่ผู้ตรวจฯ เสนอแนะ ก็จะส่งเรื่องไปยังองค์กรอิสระอื่นให้ดำเนินการต่อ

แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้เข้มข้นมากขึ้น คือการนำเสนอคำพูดของนายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ รมว.การท่องเที่ยวและกีฬา โดยสำนักข่าวแห่งหนึ่งรายงานว่า นายวีระศักดิ์แนะนำทางออกของปัญหานี้ไว้ว่า “คนจำนวนมาก รวมทั้งตัวผม หากต้องเดินทางไปสนามบิน จะเลี่ยงรับประทานในสนามบิน ด้วยการหารับประทานไปก่อนที่จะเข้าไปในพื้นที่สนามบิน หรือไม่งั้นก็รับประทานบนเครื่องไปเลย หรือไม่เช่นนั้นก็ทนไปรับประทานที่ปลายทางไปเลย” ซึ่งแน่นอนว่าหลังจากคำพูดนี้ถูกนำเสนอ นายวีระศักดิ์ก็ได้รับก้อนอิฐจากโลกออนไลน์ไปไม่น้อยเลยทีเดียว

อย่างไรก็ตาม เย็นวันที่ 11 ม.ค. นายวีระศักดิ์ให้สัมภาษณ์ในรายการ ‘101 ซึ่งๆ หน้า’ (FM 101) ว่าไม่เคยให้คำแนะนำตามที่เป็นข่าว เล่าว่านักข่าวคำถามผ่านทางไลน์ ตนพิมพ์ตอบไปว่า คนจำนวนมากรวมทั้งตน เห็นว่าอาหารที่สนามบินมีราคาแพง จึงหลีกเลี่ยงการซื้ออาหารที่สนามบิน และแนะนำว่าผู้สื่อควรควรจะถามเรื่องนี้กับผู้ประกอบการภายในสนามบิน แต่ย้ำว่า ไม่เคยให้คำแนะนำว่า ‘แพงก็อย่ากิน’

เรื่องอาหารและน้ำดื่มราคาแพงยังไม่ทันจบดี ก็เกิดข้อสังเกตจากนักข่าวหลายสำนักว่าโครงการจัดหารถเข็นกระเป๋าผู้โดยสารเพิ่มเติมภายในสนามบินสุวรรณภูมิ จำนวน 1,000 คัน มีราคาแพงกว่าความเป็นจริง โดย ทอท. ทำสัญญาว่าจ้างกิจการร่วมลงทุนแห่งหนึ่งเป็นผู้ให้บริการรถเข็นกระเป๋าสนามบินสุวรรณภูมิในลักษณะเช่า พร้อมกับเหมาค่าบำรุงรักษา ระยะเวลา 7 ปี ตั้งแต่วันที่ 24 มกราคม 2561 ถึง 24 มกราคม 2568 มูลค่า 879 ล้านบาท โดยตั้งข้อสังเกตว่า โครงการนี้น่าจะเป็นการจัดซื้อจัดจ้างที่แพงกว่าความเป็นจริง เพราะเมื่อเฉลี่ยราคาค่าเช่ารถเข็นกระเป๋าจำนวน 1,000 คัน ราคาค่าเช่าจะอยู่ที่คันละ 87,900 บาทต่อ 7 ปี หรือคันละ 12,557 บาทต่อปี ขณะที่หาก ทอท. จัดซื้อของใหม่เอง ราคาตามท้องตลาดอยู่ที่เพียงคันละ 5,250-10,500 บาท ซึ่งรวมทั้งโครงการจำนวน 1,000 คัน งบประมาณทั้งหมดจะอยู่ที่ 5,250,000-10,500,000 บาท

เรื่องนี้ นายศิโรตม์ ดวงรัตน์ ผู้อำนวยการท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ชี้แจงว่า จำนวนรถเข็นกระเป๋าที่ ทอท. จัดหามีจำนวน 10,817 คัน และรถลากจูงไฟฟ้าอีก 16 คัน ซึ่งเป็นการคำนวณตามหลักวิชาการเพื่อให้เหมาะสมกับจำนวนผู้โดยสารและกายภาพของพื้นที่ ไม่ใช่ 1,000 คันตามที่ปรากฏในข่าว และการคำนวณราคาตามที่ปรากฏในข่าวก็ไม่ครบถ้วนตามข้อเท็จจริง กล่าวคือ มูลค่างานจ้างให้บริการรถเข็นกระเป๋าซึ่งเป็นลักษณะการจ้างเหมาบริการแบบเบ็ดเสร็จโดยวิธีประมูลตามกระบวนการขั้นตอนทางด้านพัสดุ เป็นเงินค่าจ้างรวมทั้งสิ้น 821,520,000 บาท ไม่รวมภาษีมูลค่าเพิ่มร้อยละ 7 ประกอบด้วยค่าใช้จ่ายหลายด้าน เช่น ค่ารถเข็นกระเป๋าและรถลากจูงไฟฟ้า ค่าจ้างแรงงาน ค่าระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ ค่าซ่อมบำรุง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ซึ่งไม่ใช่มูลค่าการซื้อหรือเช่ารถเข็นกระเป๋าแต่เพียงอย่างเดียวตามที่ปรากฏในข่าว อีกทั้งเมื่อสิ้นสุดสัญญา รถเข็นกระเป๋าและรถลากจูงไฟฟ้า พร้อมด้วยระบบเทคโนโลยีสารสนเทศ จะตกเป็นทรัพย์สินของ ทอท.

 

8. #MeToo เวอร์ชันฮ่องกง

วันที่ 11 ม.ค. เว็บไซต์ผู้จัดการรายงานว่า สื่อฮ่องกงเผยแพร่คลิปที่หลันเจี๋ยอิง อดีตนางเอกชื่อดัง กล่าวหาว่าผู้ที่ข่มขืนจนทำให้เธอมีปัญหาทางจิตมาถึงปัจจุบัน คือเติ้งกวงหยงผู้ล่วงลับ และเจิ้งจื่อเหว่ย พี่ใหญ่ของแวดวงดาราฮ่องกง

คลิปดังกล่าวมาจากการสัมภาษณ์ของ Next Magazine เมื่อปี 2556 โดยในตอนนั้น Next Magazine ได้เปิดเผยเรื่องราวอันน่าเศร้าของหลันเจี๋ยอิงว่าเธอเคยถูกนักแสดงชื่อดังสองคนข่มขืน แต่ไม่ได้เปิดเผยชื่อของทั้งสองคน โดยในคลิปดังกล่าว หลันเจี๋ยอิงบอกกับผู้สื่อข่าวว่าเหตุการณ์นี้เกิดขึ้นที่ประเทศสิงคโปร์

เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่ในฮ่องกงตั้งแต่เมื่อห้าปีก่อน และเมื่อมีการระบุชื่อดาราทั้งสองคน ก็ทำให้เรื่องนี้เป็นข่าวใหญ่อีกครั้ง แต่ในช่วงบ่ายของวันที่ 10 ม.ค. เจิ้งจื่อเหว่ยก็ออกแถลงการณ์ปฏิเสธข้อกล่าวหา และบอกว่าจะดำเนินคดีกับคนที่ปล่อยข่าวดังกล่าว

หนังสือพิมพ์ The Straits Times ของสิงคโปร์รายงานว่า เอริก ซาง หรือ เจิ้งจื้อเหว่ย นักแสดงและพิธีกรคนดังของฮ่องกงวัย 64 ปี ได้แถลงชี้แจงกรณีมีคลิปเผยแพร่ในโลกออนไลน์ โดยระบุว่า ตนเป็นหนึ่งในสองนักแสดงที่ข่มขืนหลันเจี๋ยอิง แต่เจิ้งจื้อเหว่ยออกมาแถลงว่า คลิปการสัมภาษณ์หลันเจี๋ยอิงที่เผยแพร่ในโซเชียลมีเดียของจีนเป็นการตัดต่อ ซึ่งเขาเตรียมฟ้องร้องผู้เผยแพร่คลิปดังกล่าวแล้ว

สำหรับหลันเจี๋ยอิง อดีตนักแสดงของสถานีโทรทัศน์ทีวีบี เธอประสบเคราะห์กรรมในชีวิตมากมายจนทำให้มีปัญหาทางจิต โดยในปี 2559 เธอต้องยื่นขอเป็นบุคคลล้มละลาย ต้องประทังชีวิตด้วยเงินช่วยเหลือเดือนละ 3,700 ดอลลาร์ฮ่องกง (ราว 15,000 บาท) หลายปีที่ผ่านมามักจะมีภาพของเธอในสภาพที่เปลี่ยนแปลงไปจากในอดีตจนแทบจำไม่ได้เดินเตร็ดเตร่อยู่ตามท้องถนนในฮ่องกง

 

9. แคมเปญ Time’s Up นัดแต่งดำร่วมงานลูกโลกทองคำ

งานลูกโลกทองคำครั้งที่ 75 ซึ่งจัดโดยสมาคมผู้สื่อข่าวบันเทิงนานาชาติของสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 7 ม.ค. 2561 ที่ผ่านมา ไฮไลต์สำคัญอาจไม่ได้อยู่ที่การประกาศรางวัลว่าหนังหรือรายการทีวีจะได้รับรางวัลสำคัญมากน้อยแค่ไหน แต่อยู่ที่การแต่งชุดดำของคนดังที่มาร่วมงานภายใต้กลุ่ม Time’s Up แสดงพลังถึงการต่อต้านการล่วงละเมิดทางเพศ และการเอาจริงเอาจังในการช่วยเหลือผู้ที่ถูกล่วงละเมิดทางเพศในอุตสาหกรรมบันเทิงของสหรัฐฯ

คนดังที่แต่งดำมาร่วมงาน เช่น แองเจลิน่า โจลี นิโคล คิดแมน ดาโกต้า จอห์นสัน เคนดัลล์ เจนเนอร์ กัล กาด็อท มารายห์ แครี เอ็มมา สโตน และรีส วิทเธอร์สปูน เป็นต้น

ขณะที่อีกหนึ่งไฮไลท์ของงานคือ การขึ้นรับรางวัลเกียรติยศ ‘เซซิล บี. เดอมิลล์’ (Cecil B. Demille) ของโอปราห์ วินฟรีย์ พร้อมกับกล่าวสุนทรพจน์ความยาว 9 นาทีที่จับใจคนฟัง จนทำให้เกิดกระแสในโลกโซเชียลสนับสนุนให้เธอลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในการเลือกตั้งครั้งหน้าที่จะเกิดขึ้นในปี 2020 ภายใต้แฮชแท็ก #Oprahforpresident และ #Oprah2020

 

10. จับหัวหน้า?ยากูซา ได้ที่ลพบุรี

ตอนแรกก็ดูเหมือนมีอะไรให้กรี๊ดกร๊าด เมื่อตำรวจไทยโชว์ผลงาน จับ ‘หัวหน้าแก๊งยากูซ่า’ ของญี่ปุ่นได้ แถมเป็นชาวญี่ปุ่นที่มีลายสักพร้อยไปทั้งตัว ยืนยันว่าตำรวจไทยไม่ได้จับได้แค่คนเล่นป๊อกเด้งหรือโพสต์ภาพโป๊ (ว้าย)

เรื่องเริ่มจาก เมื่อช่วงสายของวันพฤหสบดีที่ 11 ม.ค. 61 ตำรวจภูธรเมืองลพบุรีได้สอบปากคำนายชิเกฮารุ ชิราอิ อายุ 72 ปี เจ้าหน้าที่ระบุว่าเป็น ‘หัวหน้าแก๊งยามากูจิ กูมิ’ แก๊งยากูซ่าในประเทศญี่ปุ่น ที่หลบหนีคดีฆ่ารองหัวหน้าแก๊งคู่อริ แล้วหลบหนีมายังประเทศไทย

เพจอีจันก็นำเรื่องนี้ไปเผยแพร่ต่อ สืบเสาะประวัติว่าเป็นใครมาจากไหน มีภรรยาเป็นคนไทยชื่ออะไร ใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนก่อนถูกจับ แถมยังบอกว่าต้นเรื่องมาจากมีการแชร์รูปนายชิเกฮารุลงเน็ตเมื่อเดือน ส.ค. ปีที่แล้ว ขณะกำลังโขกหมากรุกกับเพื่อนๆ คนไทย ด้วยความที่ลายสักเตะตา ภาพจึงว่อนไปทั่วโลกออนไลน์ ตามด้วยการที่ตำรวจญี่ปุ่นได้ติดต่อมาให้ตำรวจไทยตรวจสอบข้อมูลชายคนนี้ในเดือน ต.ค. จนจับกุมตัวได้เมื่อวันที่ 10 ม.ค. นี่เอง

เอ๊า! แต่หลายคนสงสัย เป็นถึงหัวหน้าแก๊ง โดนตำรวจไทยจับได้อย่างไร แถมลุคแกยังดูหุ่นบางร่างน้อย ไม่สมเป็นหัวหน้าแก๊งยากูซ่าที่น่าเกรงขามเลย

แล้วก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อนายธนากร ใจสุขสกุลดี ล่ามภาษาญี่ปุ่นได้สืบข้อมูลกับทางญี่ปุ่น แล้วจึงได้ทราบว่าชายชราคนนี้เป็นเพียงอดีตสมาชิกที่หนีคดีมาอยู่ไทย (อีกหนึ่งปลายทางหนีคดียอดฮิต) และถูกส่งตัวมาตามแผนหลังจากทำงานให้แก๊ง อยู่มานานถึง 12 ปีแล้ว

นอกจากจะไม่ใช่หัวหน้าแล้ว เขายังระบุว่าเป็นเพียง ‘ระดับปลายแถว’ เสียด้วย และก่อนถูกจับ ยังทำงานในโกดังเก็บข้าวและอาศัยอยู่ในศาลเจ้าลูกศร ที่จังหวัดลพบุรี

นายชิเกฮารุปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา แต่ก่อนอื่นตำรวจไทยบอกว่า ได้แจ้งข้อหา “เข้ามาในราชอาณาจักรโดยไม่ได้รับอนุญาต, อยู่ในราชอาณาจักรเกินกำหนด เป็นคนต่างด้าว ไม่แจ้งที่พักอาศัยตาม พ.ร.บ.คนเข้าเมือง และดำเนินคดีตามกฎหมาย และประสานงานให้ทางการญี่ปุ่นดำเนินการในส่วนที่เกี่ยวข้อง”

Tags: , , , , , , ,