Fire and Fury: Inside the Trump White House กลายเป็นหนังสือติดอันดับขายดี และกลายเป็นประเด็นร้อนสำหรับประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ขึ้นมาในชั่วพริบตา ร้านเครเมอร์บุ๊กส์ในกรุงวอชิงตันขายหนังสือเล่มนี้หมดเกลี้ยงภายในเวลา 20 นาที ส่วนร้านหนังสือเครือ บาร์นส์ แอนด์ โนเบิล ในนครนิวยอร์กต้องแจ้งเลื่อนกำหนดวาง หรือแม้กระทั่งแอมะซอน ก็ต้องยืดเวลาส่งหนังสือเล่มนี้ให้ลูกค้าออกไปถึงสองสัปดาห์

ความจริงไม่ใช่เรื่องแปลกใหม่อะไรสำหรับโดนัลด์ ทรัมป์ เพราะตั้งแต่เริ่มเดือนแรกของศักราชใหม่ เขาก็ป้อนข่าวพาดหัวให้กับสื่อมาตลอด ตั้งแต่ข้อความในทวิตเตอร์ที่กล่าวถึงว่า ทรัมป์ไม่เคยคิดอยากเป็นประธานาธิบดี ให้ทีมรัฐบาลของเขาเองนินทาว่าเขาโง่ ทรัมป์อวดอ้างความเป็นอัจฉริยะของตนเอง ไหนจะมีการหักหลังกรณี ‘ความสัมพันธ์รัสเซีย’ นั่นอีก สำนักพิมพ์คล้ายจะจับทิศทางถูก จึงเลื่อนกำหนดการวางหนังสือให้เร็วขึ้น 4 วัน

คำกล่าวอ้างต่างๆ ในหนังสือส่วนใหญ่มาจาก สตีฟ แบนนอน (Steve Bannon) อดีตหัวหน้าทีมยุทธศาสตร์ของทรัมป์เอง โดย ไมเคิล วอล์ฟฟ์ (Michael Wolff) นักเขียนและผู้สื่อข่าว นำมาร้อยเรียงเป็นหนังสือแฉทรัมป์ความยาว 220 หน้า ให้สังคมโลกโดยเฉพาะชาวอเมริกัน-ระทึกและติดตาม

ไมเคิล วอล์ฟฟ์ (Michael Wolff)

Fire and Fury เป็นอะไรที่มากกว่าเรื่องซุบซิบ สาดโคลน แต่เปรียบเสมือนภาพสะท้อนของผู้นำรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ในแง่มุมความบ้า ความฟั่นเฟือน ถึงขนาดมีคนกล่าวเปรียบเทียบว่า ถ้าหากโดนัลด์ ทรัมป์เป็นตาเฒ่าข้างบ้านที่ไม่เอาไหน เราอาจจะพูดดีกับเขา แล้วยึดใบขับขี่มาเสีย แต่โดนัลด์ ทรัมป์ คนนี้เป็นถึงประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา แถมยังมีอำนาจที่จะกดปุ่มปล่อยอาวุธนิวเคลียร์เมื่อไรก็ได้

วอล์ฟฟ์ใช้ลีลาแบบการเขียนรายงานข่าวน้อย แต่กลับเล่าเรื่องส่วนใหญ่จากวงในราวกับเขาอยู่ร่วมในแต่ละเหตุการณ์ มีการอ้างอิงคำพูดราวกับบันทึกเสียงเหล่านั้นไว้ เขาบรรยายความรู้สึกได้ราวกับสามารถอ่านความคิดของใครๆ ได้ อีกทั้งไม่สนใจด้วยว่าแหล่งข่าวของเขาจะได้รับความเสียหายอย่างไรหรือไม่ ตัวอย่างเห็นได้ชัดจากผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นกับ สตีฟ แบนนอน

และนี่คือบางประเด็นที่ระอุและชวนให้ติดตามจากหนังสือ Fire and Fury

ความโง่เขลาของทรัมป์

วอล์ฟฟ์ ผู้ซึ่งมักคุ้นสังคมชาวนิวยอร์กเป็นอย่างดี เรียกขานทรัมป์ว่าเป็น ‘ตัวตลก’ ที่มักถูกบรรดามหาเศรษฐีคนอื่นๆ หัวเราะเยาะในความเขลา และไม่เคยอยู่ในสายตาของพวกเขา แต่ทรัมป์ไม่เคยรู้ สิ่งที่เขารู้ดูเหมือนเป็นสิ่งที่เขาเพิ่งเรียนรู้เมื่อไม่กี่ชั่วโมงก่อนหน้า ในฐานะนักธุรกิจ เขาไม่เข้าใจเรื่องสถิติหรือสมดุล และมักจะโอนเอนตามความคิดของคนอื่น เขาไม่เคยอ่านอะไรเลยนอกจากข่าวพาดหัวหรือบทความที่เขียนเกี่ยวกับตัวเอง หรืออย่างน้อย ก็ประโยคพาดหัวบทความที่เขียนเกี่ยวกับตัวเอง เป็นคนเอาแน่เอานอนไม่ได้ถึงขั้นเป็นภัย

ความไร้ความสามารถของทรัมป์

นับตั้งแต่สรุปการประชุมครั้งแรกในออฟฟิศรูปไข่ ทรัมป์ก็แสดงตนเป็นคนไร้ความสามารถ ไร้ความกระตือรือร้น เขามักปฏิเสธเอกสารที่เป็นลายลักษณ์อักษร จนบางคนเรียกขานเขาเป็น ‘dyslexic’ หรือบุคคลที่พร่องความสามารถในการอ่านเขียนเป็นคำๆ อีกทั้งยังมักจะหลงลืมสิ่งที่เขาเคยพูด อย่างเช่น คำสัญญาที่เคยให้ไว้ระหว่างการหาเสียง เขาไม่สามารถเชื่อมโยง ‘เหตุ’ และ ‘ผล’ เข้าด้วยกันได้ ช่วงเริ่มแรก ทำเนียบขาวทำให้ทรัมป์มึนงง ถึงขั้นหลอน ไม่นานนักเขาก็พยายามจัดระเบียบการทำงานใหม่ โดยลดชั่วโมงทำงานลง แต่ยังเก็บเวลาเล่นกอล์ฟของเขาไว้ หลังเหตุการณ์โจมตีด้วยอาวุธเคมีในซีเรียเมื่อเดือนเมษายน 2017 คนรอบข้างต้องส่งภาพเด็กตายให้ดู เขาถึงแสดงปฏิกิริยาตอบรับ

ความสัมพันธ์ฉาวกับรัสเซีย

วอล์ฟฟ์เปิดเผยให้รับรู้ว่า ทุกคนในทำเนียบขาวต่างสงสัยกันเองว่ามีส่วนพัวพันกับกรณีรัสเซีย ตอนนี้พวกเขาส่วนใหญ่ต่างจ้างทนายเก่งๆ ค่าตัวแพงไว้เพื่อปกป้องตนเองกันแล้ว และแทบไม่มีใครปริปากคุยกับใครอีก เพราะกลัวว่าตัวเองจะติดบ่วง

ทฤษฎีที่กล่าวถึงส่วนใหญ่ระบุว่า ทรัมป์ติดกับเพราะความโอหัง (เขาอยากเป็นเพื่อนกับวลาดิเมียร์ ปูติน) และเพราะเคียดแค้นที่ต้องตกเป็นจำเลยทางกฎหมาย มีการสั่งปลด เจมส์ โคมีย์ (James Comey) ผู้อำนวยการหน่วยงานสืบสวนกลางสหรัฐฯ หรือเอฟบีไอ และเป็นโอกาสให้ โรเบิร์ต มึลเลอร์ (Robert Mueller) ได้รับการแต่งตั้งเข้ามาเป็นที่ปรึกษาพิเศษ ทำหน้าที่ควบคุมการสอบสวนกรณีรัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งยามนี้ เป็นคนที่ขุดคุ้ยทั้งทรัมป์และ จาเรด คุชเนอร์ (Jared Kushner) ลูกเขย เพื่อโยงไปถึงการฟอกเงินข้ามชาติ

ทว่า เรื่องที่ว่ารัสเซียแทรกแซงในศึกเลือกตั้งจริงหรือไม่นั้น บรรดาที่ปรึกษาของทรัมป์ไม่เคยสนใจ เพราะไม่มีใครคาดหวังว่าทรัมป์จะชนะการเลือกตั้งอยู่แล้ว

มีคนกล่าวเปรียบเทียบว่า ถ้าหากโดนัลด์ ทรัมป์เป็นตาเฒ่าข้างบ้านที่ไม่เอาไหน เราอาจจะพูดดีกับเขา แล้วยึดใบขับขี่มาเสีย แต่โดนัลด์ ทรัมป์ คนนี้เป็นถึงประธานาธิบดีแห่งสหรัฐอเมริกา

ความแหลกเหลวในทำเนียบขาว

วอล์ฟฟ์อ้างถึงอีเมล์ฉบับหนึ่งซึ่งส่งจาก แกรี โคห์น (Gary Cohn) อดีตผู้บริหารใหญ่ของ โกลด์แมน แซคส์ และที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจของทรัมป์ ที่ทรัมป์เคยคิดจะเสนอชื่อเป็นประธานคนต่อไปของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) แต่ต่อมากลับเปลี่ยนใจ ถึงขั้นเปรยกับคนใกล้ชิดด้วยซ้ำว่า โคห์นน่าจะถูกส่งไปนั่งเก้าอี้ไฟฟ้ามากกว่าเก้าอี้ประธานเฟด เนื่องจากโคห์นแสดงจุดยืนตำหนิทรัมป์ที่แสดงความเห็นเข้าข้างกลุ่มเหยียดผิวจากเหตุการณ์ความไม่สงบที่ชาร์ลอตส์วิลล์ รัฐเวอร์จิเนีย

วอล์ฟฟ์นำประโยคของโคห์นมาขยายว่า ทรัมป์เป็น ‘คนปัญญาอ่อนที่ห้อมล้อมด้วยตัวตลก’ จาเรด คุชเนอร์ ลูกเขยและที่ปรึกษานั้นไม่ต่างอะไรกับ ‘ขี้ข้าหรือบัตเลอร์’ ส่วน อิวานกา ลูกสาวของทรัมป์ ก็แค่แม่ค้าธรรมดาๆ ที่มีความทะเยอทะยานอยากเป็นประธานาธิบดี

ความจอมปลอมในสื่อ

วอล์ฟฟ์ฉายภาพความรักความเกลียดชังของทรัมป์ที่มีต่อสื่อ ที่ทรัมป์แปะฉลากให้เป็น ‘Fake News’ แต่ตัวเองก็ต้องการเป็นที่สนใจในทุกเมื่อเชื่อวัน ทรัมป์กระสันอยากให้บรรดาสื่อ ‘สนใจเขา พูดถึงเขา และถามความเห็นของเขา’ ความไม่รอบคอบ-ไม่ระมัดระวังประจำวันที่ออกจากทำเนียบขาวไปถึง นิวยอร์ก ไทม์ส และ วอชิงตัน โพสต์ ที่ทรัมป์จงเกลียดจงชังนั้น ส่วนใหญ่หลุดออกมาจากทรัมป์เสียเอง

หลังจากมึนไปชั่วขณะ ล่าสุดประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แจ้งผ่านทวิตเตอร์ ขอเลื่อนกำหนดการประกาศรางวัลสำหรับ ‘สื่อคิดคดและทุจริตแห่งปี’ หรือ ‘Fake News Awards’ จากวันจันทร์ (8 มกราคม) เป็นวันพุธที่ 17 มกราคมนี้แทน เนื่องจาก “ความสนใจและความหมายของรางวัลดังกล่าวขยายวงกว้างมากเกินกว่าที่คิด”

แต่ก่อนจะถึงวันสำคัญของทรัมป์และสื่ออเมริกัน วันศุกร์ที่ 12 มกราคมนี้จะเป็นวันตรวจสุขภาพประจำปีของประธานาธิบดี ที่โรงพยาบาลทหารวอลเตอร์ รีด งานนี้นักวิจารณ์รวมถึงนักจิตวิทยาพากันส่งเสียงว่า แพทย์ไม่ควรตรวจแค่ชีพจรและร่างกายของเขาเท่านั้น แต่ควรตรวจเช็กสมองและระดับสติปัญญาของเขาด้วย เพราะหลายคนเชื่อว่า ทรัมป์กำลังเข้าสู่ภาวะโรคจิตเสื่อม (Dementia) อันจะนำไปสู่โรคอัลไซเมอร์ เหมือนที่พ่อของเขาเคยป่วย

 

Fact Box:

ไมเคิล วอล์ฟฟ์ นักข่าวและนักเขียนวัย 64 ปี สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย มีผลงานตีพิมพ์ครั้งแรกนิตยสาร New York Times เป็นเรื่องเกี่ยวกับแองเจลา แอตวูด (Angela Atwood) อาชญากรหญิงที่ลักพาตัวแพ็ตตี เฮียร์สต์ (Patty Hearst) ซึ่งเคยพักอาศัยเป็นเพื่อนบ้านของเขา ปี 1979 วอล์ฟฟ์มีผลงานรวมความเรียงชื่อเล่ม White Kids ให้เขาเกิดไอเดียจะเขียนเป็นนวนิยาย แต่ไม่สำเร็จ เขากลายเป็นเจ้าของกิจการสื่อเสียก่อน ปี 1988 วอล์ฟฟ์ถือครองนิตยสาร Campaigns & Elections และยังเป็นที่ปรึกษาให้กับนิตยสารอีกหลายเล่ม ในจำนวนนั้นรวมถึง Wired ด้วย

อ้างอิง:

Spiegel Online

Kurier.at

The Washington Post