ใครตามข่าวไม่ทัน สัปดาห์นี้มีเรื่องให้มุ่นคิ้วหนักๆ กันหลายเรื่อง ตั้งแต่เรื่องที่ว่าโรงเรียนชื่อดังประกาศจัดเสวนาในหัวข้อที่สังคม LGBTQ ต้องร้อง ‘ฮะ!! ยังไงนะ’ แล้วหัวร้อนไปตามๆ กัน หรือข่าวนักกีฬาหนุ่มตะโกนใส่แฟนคลับด้วยถ้อยคำไม่สุภาพ คงจะไม่เป็นไร ถ้าเจ้าตัวไม่ได้อัดลง IG story ที่คนมากมายเข้าไปเห็น (และวิจารณ์ในทันที)
อีกสองเรื่องเป็นข่าวงงๆ อย่างการที่สามกระทรวงจะย้ายออกจากพื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์กันครึกโครม หรือข่าวที่ว่ารัฐทุ่มงบประมาณ 4,000 ล้านบาทเพื่อขยายฐานการผลิตบุหรี่ จนทำให้เราตีเบลออยู่หน้าภาพปอดดำรณรงค์ไม่สูบบุหรี่ที่หน้าซอง
เรื่องสุดท้ายที่ไม่รู้จะทำหน้ายังไงกับข่าวนี้ คือ จู่ๆ เฌอปราง BNK48 ก็จะแวบจากการเต้น ‘คุกกี้เสี่ยงทาย’ ใสๆ มาออกรายการ ‘เดินหน้าประเทศไทยวัยทีน’ ที่มีอาร์ตเวิร์กรายการที่แสนคาวาอี๊ งานนี้โอตะจะว่าอย่างไรไม่รู้ แต่โอตู่น่าจะยิ้มแป้น
ไปด้วยกัน ไปได้ไกล ‘เดินหน้าประเทศไทย’ ไปกับดาราดัง
หรือนี่จะเป็น achievement ใหม่ ให้ดาราไทย unlock? เพราะสิ่งหนึ่งที่จะยืนยันว่าคุณดังจริง คือการได้เข้าพบนายกฯ หรือร่วมจัดรายการเดินหน้าประเทศไทย และเดินหน้าประเทศไทยวัยทีน ที่มีรายงานว่าเรตติ้งสูงขึ้น หลังจากใช้วิธีดึงคนดังมาร่วมปลุกกระแสในช่วงพิเศษเย็นวันเสาร์ โดยเฉพาะเทปล่าสุดที่ได้ มิว นิษฐา จิรยั่งยืน พาไปสัมผัสวิถีชีวิตชาวเขาเผ่าอาข่า มีผู้รับชมไปกว่า 6 ล้านคน
คนดังรายล่าสุดที่จะต้องเดินทางเข้าพบ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพื่อรับมอบประกาศนียบัตรและเตรียมร่วมรายการ ก็เช่น เฌอปราง อารีย์กุล แห่ง BNK 48 ฟิล์ม-ธนภัทร กาวิละ หรือบอสวศิน แห่ง เมีย 2018 และพระเอกยอดนิยม เวียร์ ศุกลวัฒน์ ฯลฯ ที่เราน่าจะได้เห็นพวกเขาและเธอส่งต่อ ‘เรื่องราวดีๆ’ ของรัฐบาลให้ประชาชนได้รับชมรับฟังกันถ้วนหน้า
ก่อนหน้านี้ ณเดชน์ คูกิมิยะ ก็เพิ่งรับบทพระเอกกลางผืนนาเขียวขจีไปพูดคุยกับชาวบ้านอย่างเป็นกันเอง ในเอพิโสดที่ว่าด้วยการแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรม ในการกู้หนี้นอกระบบอันสุดแสนจะดราม่า หรือ โป๊ป-ธนวรรษน์ วรรธนะภูติ ที่พาไปดูหมู่บ้านในจังหวัดเพชรบุรี ที่ทำธนาคารปูม้า จนมีปูแสนอร่อยไว้กินในทุกฤดูกาล ชวนให้สำนึกว่าประเทศไทยภายใต้รัฐบาลทหารนั้นดีงามแค่ไหน
อดคิดไม่ได้ถึงจุดยืนทางการเมืองของดาราคนนั้นๆ ที่หากเห็นต่างจากรัฐบาล คสช. ก็คงต้องน้ำตาตกในและเก็บมันไว้ในใจก่อน หรือไม่ก็โยนให้กลายเป็นมุกขำๆ เหมือนคราวของ ปั่นจั่น ปรมะ นักแสดงแห่งบุพเพสันนิวาส ที่แอบแย้มๆ ต่อหน้านายกฯ ว่าอยากเลือกตั้ง ก่อนจะโดนนายกฯ เล่นมุกกลับจนเกือบไปไม่ถูก
และสำหรับรายการที่ใช้ดาราตัวท็อปอย่างไม่อั้นขนาดนี้ คงไม่แปลกที่รัฐบาลจะกลัวคำครหาเรื่องการผลาญงบฯ โฆษกรัฐบาลจึงต้องออกมาแจงว่า ไม่มีการใช้งบประมาณของรัฐในการจ่ายค่าตัวให้เหล่าคนดังแต่อย่างใด เพราะ “ทุกคนเต็มใจทำงานให้ประเทศ”
แต่เมื่อย้อนไปดูข่าวเมื่อเดือนเมษายน 2561 ที่พิธีกรเดินหน้าประเทศไทยวัยทีนรุ่นแรกๆ ประกาศลาออก เนื่องจากทัศนคติไม่ตรงกับทีมผู้ผลิต มีข้อมูลออกมาว่าเธอได้รับค่าตอบแทนเทปละ 2,910 บาท …หากดาราดังแต่ละรายไม่รับค่าตัวกันจริงๆ ก็นับว่ารายการเดินหน้าประเทศไทยที่มีผู้จัดสรรงบประมาณเป็นกองทัพบก ได้รับประโยชน์ทั้งขึ้นทั้งล่อง ใช้งบน้อยลง แถมเรตติ้งก็สูงขึ้นอีก เป็นที่น่าดีใจ
อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์ใหม่ในการใช้คนดังมาดึงเรตติ้ง ทำให้เราเห็นแนวคิดของ คสช. ชัดเจนขึ้นอีก จากที่เดิมก็ชัดอยู่แล้ว ว่าให้ความสำคัญกับ ‘ความสุข’ และ ‘ความบันเทิง’ ของประชาชนมากแค่ไหน โดยเฉพาะเมื่อการเลือกตั้งกำลังจะใกล้เข้ามา (หรือเปล่า) แต่การจะมัวมาเคลือบน้ำตาลให้กันอยู่ได้ โดยที่หวังจะให้ปัญหาหรือความล้มเหลวอื่นๆ ถูกลืมๆ ไปนั้น คงไม่มีใครแน่ใจ ว่ามันจะได้ผลจริงหรือเปล่า
นักแบตหนุ่ม กับวลี “กรี๊ดกูหน่อย”
ดราม่านักแบดมินตันไทย กันตภณ หวังเจริญ เจ้าของวลี “กรี๊ดกูหน่อย กรี๊ดกูหน่อย เร็ว กรี๊ดกูอีก”
กลายเป็นเรื่องดราม่าในโลกออนไลน์หลังนักกีฬาแบดมินตันทีมชาติไทย กันตภณ หวังเจริญ ชุดเอเชียนเกมส์ 2018 ที่อินโดนีเซีย ถ่ายไอจีสตอรี่ หลังมีแฟนๆ ชาวอินโดนีเซียมารอต้อนรับ พร้อมกับพูดว่า “กรี๊ดกูหน่อย กรี๊ดกูหน่อย เร็ว กรี๊ดกูอีก” จนกลายเป็นประเด็นร้อนถึงพฤติกรรมไม่เหมาะสม เป็นการไม่ให้เกียรติแฟนๆ ที่มารอต้อนรับ
เหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้นหลังจากนักแบดมินตันดาวรุ่งวัย 19 ปี ตกรอบ 16 คนสุดท้าย พ่ายให้กับนักแบดมินตันจากไต้หวัน ซึ่งเจ้าตัวนั่งรถบัสออกจากสนาม โดยมีแฟนๆ ชาวอินโดนีเซียรอต้อนรับอยู่ด้านนอก มีเสียงกรี๊ดกร๊าดจากแฟนๆ ทว่าเจ้าตัวถ่ายไอจีสตอรี่และพูดว่า “กรี๊ดกูหน่อย กรี๊ดกูหน่อย เร็ว กรี๊ดกูอีก” จนข้อความนี้ขยายต่อออกไปในโซเชียลมีเดียหลายเพจ จนชาวเน็ตรุมถล่มยับถึงพฤติกรรมอันไม่เหมาะสม ไม่ให้เกียรติคนอื่น ทำตัวไม่สมกับเป็นนักกีฬา และก่นด่าถึงขั้นว่าไม่ควรติดทีมชาติ
โดยเฉพาะในอินสตาแกรมของเจ้าตัว gun_kantaphon ที่ชาวเน็ตต่างเข้าไปคอมเมนต์ต่อว่า ซึ่งในตอนแรกเจ้าตัวจะยังไม่รู้สึกผิดกับเหตุการณ์ มีการคอมเมนต์ตอนกลับแบบกวนๆ แต่ในเวลาต่อมาเจ้าตัวได้ออกมาขอโทษผ่านอินสตาแกรม โดยระบุว่า “ผมขอโทษกับสิ่งที่เกิดขึ้นครับ รวมถึงคนที่ผมคอมเมนต์ตอบกลับอย่างไม่สุภาพ ผมขอรับผิดเองแต่เพียงผู้เดียวครับ เรื่องมันเกิดขึ้นไปแล้วคงจะแก้ไขอะไรไม่ได้ครับ ผมขอโทษคนไทยทุกคนจริง ๆ ครับ”
สำหรับ กันตภณ หวังเจริญ เป็นนักแบดมินตันดาวรุ่งทีมชาติไทย เคยคว้าเหรียญทองแดงในการแข่งขันแบดมินตันเยาวชนชิงแชมป์โลก 2016 ปัจจุบันเป็นนักแบดมินตันมือวางอันดับที่ 20 ของโลก
สามกระทรวงเตรียมตัวย้าย และแผนเนรมิตราชดำเนินเทียบช็องเซลิเซ่
ย้ายบ้านว่าเป็นเรื่องใหญ่ ย้ายกระทรวงนั้นเป็นเรื่องใหญ่กว่ามาก และไม่ใช่แค่กระทรวงเดียว แต่จะไปถึงสามกระทรวง
เริ่มจาก มีข่าวออกมาเมื่อวันพุธที่แล้วว่า ฉัตรชัย พรหมเลิศ ปลัดกระทรวงมหาดไทย มีหนังสือถึงปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เมื่อวันที่ 9 สิงหาคม 2561 ขอใช้ที่ดินราชพัสดุในอำเภอปากเกร็ด จังหวัดนนทบุรี ซึ่งปัจจุบันเป็นสนามกอล์ฟอยู่ในความครอบครองของกรมชลประทาน เพื่อสร้างกระทรวงมหาดไทยแห่งใหม่
นั่นคือสัญญาณแรกของการเคลื่อนตัวของกระทรวงออกจากเกาะรัตนโกสินทร์ หลังจากเมื่อปี 2415 หรือ 146 ปีที่แล้ว รัชกาลที่ 5 ได้พระราชทานวัง 3 แห่ง ได้แก่ วังริมสะพานข้างโรงสี วังใต้ วังถนนเฟื่องนคร วังเหนือ และวังถนนเฟื่องนคร วังใต้ เป็นที่ทำการของกระทรวงมหาดไทย
หลังจากนั้นก็มีข่าวมาว่ากระทรวงคมนาคมและกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็จะย้ายออกไปเช่นกัน รวมทั้งการทยอยย้ายหน่วยงานต่างๆ ในศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ไปอยู่ที่ศาลาว่าการ กทม. 2 ที่ดินแดง และทำให้ศาลาว่าการฯ เดิมเป็นพิพิธภัณฑ์
เหตุผลของแต่ละกระทรวงที่คิดจะย้ายนั้นระบุมาคล้ายๆ กัน ว่าเป็นเพราะความแออัดและต้องการขยับขยายพื้นที่ เช่น จะทำให้ที่จอดรถเพิ่มขึ้น ขยายหน่วยงานเพื่อให้บริการได้เต็มที่ ส่วนของกระทรวงมหาดไทย มีอีกเหตุผลระบุในหนังสือปลัดกระทรวงฯ ว่า “อาคารสิ่งก่อสร้างบางหลังในกระทรวงมหาดไทย บดบังทัศนียภาพอันงดงามของวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม ซึ่งเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก”
ด้านนายศักดิ์ชัย บุญมา ผู้อำนวยการสำนักผังเมืองกรุงเทพมหานคร (กทม.) กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า “เป็นการจัดระเบียบพื้นที่ชั้นในใหม่ อาจจะมีหน่วยงานราชการบางส่วนที่ต้องย้ายออกไปอยู่บริเวณอื่น เพื่อลดความแออัด” และเพื่อให้สอดคล้องกับแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ใหม่ฉบับปี 2560 ที่สำนักงานนโยบายและแผนสิ่งแวดล้อมและทรัพยากรธรรมชาติ (สผ.) ได้ว่าจ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยให้ปรับปรุงแผนฯ ขึ้นมา เบื้องต้น จะปรับภูมิทัศน์พื้นที่เกาะรัตนโกสินทร์ชั้นในและชั้นนอกให้เป็นรูปแบบเดียวกัน เช่น ทาสีเหลืองอ่อนและสีเทาอ่อนเป็นโทนเดียวกัน ส่วนสีหลังคาให้เป็นสีน้ำตาลแดงเหมือนกันทั้งหมด ส่วนถนนราชดำเนินและบริเวณใกล้เคียง จะทำให้เป็นแลนด์มาร์กการท่องเที่ยวทางศิลปวัฒนธรรมและโบราณสถานของไทย ‘เหมือนกับถนนช็องเซลีเซของประเทศฝรั่งเศส’
แผนดังกล่าวอยู่ระหว่างเสนอให้สำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) พิจารณา ก่อนเสนอขอความเห็นชอบจาก ครม.
แผนฯ ยังอยู่ในขั้นตอนพิจารณา แต่กระทรวงนั้นทำท่าจะไปแล้วจริงๆ ประชาชาติธุรกิจ เผยว่า กระทรวงคมนาคมเล็งไว้อยู่สามทำเล ได้แก่ 1. ที่ดินของ รฟม. ย่านพระราม 9 ที่อนาคตจะมีรถไฟฟ้าสายสีส้มพาดผ่าน 2. ที่ดินของกรมท่าอากาศยาน บริเวณทุ่งมหาเมฆ และ 3.ที่ดินของ ร.ฟ.ท. บนถนนกำแพงเพชร 2 ซึ่งอยู่ใกล้สถานีกลางบางซื่อ ขณะที่กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา วางแผนขอใช้พื้นที่โซนซี ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ เป็นที่ทำการ โดยรวมเอาส่วนของกรมการท่องเที่ยว รวมถึงกรมพลศึกษาที่ปัจจุบันอยู่บริเวณสนามกีฬาแห่งชาติ มารวมอยู่ด้วยกันทั้งหมด
ไปให้สุดทางกับยาสูบ ทุ่ม 4,000 ล้านเปิดโรงงานใหม่ + ชะลอการขึ้นภาษี
ช่วงปีนี้มีความเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับโรงงานยาสูบอยู่ไม่น้อย ทั้งข่าวว่าจะปรับขึ้นภาษี (แต่มีแววชะลอไว้ก่อน) การยกระดับโรงงานยาสูบให้มีสถานะเป็นนิติบุคคล และล่าสุด เพิ่งทุ่มทุนขยายฐานการผลิตให้มีศักยภาพการแข่งขันกับต่างประเทศ
มาตรการเหล่านี้อาจทำให้เรางงๆ กันนิดหน่อย ว่าจะเอายังไงดีกับเรื่องบุหรี่ เพราะแม้จะมีวี่แววว่ารัฐบาลจะใช้มาตรการขึ้นภาษีมากดดันให้ราคาบุหรี่แพงขึ้นคนจะได้สูบน้อยลง แต่สัปดาห์นี้ กลับมีข่าวความคืบหน้าเรื่องการขยายฐานการผลิต ย้ายโรงงานไปซึ่งอยู่ที่ใหม่ใหญ่กว่าเดิม ส่วนเรื่องจะขึ้นภาษีนั้น ก็มีข่าวแว่วมาอย่างไม่เป็นทางการว่า กระทรวงการคลังอาจขยายการเวลาการขึ้นภาษีบุหรี่จาก 20% เป็น 40% ออกไปสองปี จากเดิมที่จะเริ่มวันที่ 1 ตุลาคม 2562 เป็น 1 ตุลาคม 2564
พูดถึงเรื่องภาษีบุหรี่ ดาวน้อย สุทธินิภาพันธ์ ผู้ว่าการการยาสูบแห่งประเทศไทย (ยสท.) เคยกล่าวถึงผลกระทบจากการขึ้นภาษีบุหรี่ตามพ.ร.บ.สรรพสามิตใหม่ที่เริ่มใช้เมื่อ 16 กันยายน 2560 ทำให้ราคาบุหรี่ไทยแพงขึ้นกว่าเดิม 3-20 บาทต่อซอง ซึ่งทำให้บุหรี่ไทยสูญเสียส่วนแบ่งทางการตลาดไปมาก เพราะขณะที่บุหรี่ไทยต้องปรับราคาแพงขึ้นมาก แต่บุหรี่ต่างประเทศซึ่งมีต้นทุนต่ำกว่าปรับราคาขึ้นเพียงเล็กน้อย ทำให้เมื่อเทียบราคากันแล้ว บุหรี่นอกบางยี่ห้อกับบุหรี่ไทยจึงราคาไม่ต่างกันมาก ยิ่งคนนิยมสูบของนอกมากกว่า บุหรี่ไทยจึงแพ้ในเกมราคากันเห็นๆ
ดาวน้อยกล่าวด้วยว่า ในปีที่ผ่านมา กำลังการผลิตบุหรี่ของโรงงานยาสูบอยู่ที่ 18,000 ล้านมวนต่อปี ทั้งที่กำลังการผลิตสูงสุดอยู่ที่ 65,000 ล้านมวน อีกทั้งในช่วงที่ย้ายโรงงานยาสูบจากถนนพระรามสี่ไปอยู่ที่อยุธยา ก็เป็นปีที่มีภาระค่าใช้จ่ายมากมาย เช่นค่าเครื่องจักรที่มูลค่าสูงถึง 16,000 ล้านบาท ทำให้โดยรวมแล้ว ประมาณการณ์ได้ว่าปีนี้ โรงงานยาสูบจะมีผลการดำเนินงานขาดทุนประมาณ 5,000 ล้านบาท ซึ่งขาดทุนสูงสูงเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของโรงงานยาสูบ
อย่างไรก็ดี ในยุคของสนช.นี้เอง ที่โรงงานยาสูบได้เปลี่ยนสถานะจากรัฐวิสาหกิจสังกัดกระทรวงการคลัง มาเป็น ‘การยาสูบแห่งประเทศไทย’ (ยสท.) มาเป็นนิติบุคคลภายใต้พ.ร.บ.ยาสูบแห่งประเทศไทย เมื่อพฤษภาคม 2561 เปิดโอกาสให้โรงงานยาสูบสามารถทำธุรกิจอื่นที่นอกเหนือจากการผลิตบุหรี่ เช่น รับจ้างผลิตบุหรี่เพื่อจำหน่ายในต่างประเทศได้ ผลิตและจำหน่ายสินค้าอื่นได้ เช่น กัญชง
สำหรับความเคลื่อนไหวล่าสุดที่มีการขยายฐานการผลิตบุหรี่ ด้วยการสร้างโรงงานผลิตยาสูบแห่งใหม่ เกิดเป็นโรงงานผลิตยาสูบ 6 แห่งบนพื้นที่ 220 ไร่ในเขตนิคมอุตสาหกรรมโรจนะ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา จากงบประมาณ 4,000 ล้านบาท งานนี้มีกิมมิคเกาะกระแสกรีน สร้างโรงงานด้วยแนวคิด Smart Green Factory คือเป็นอาคารยุคใหม่ที่คำนึงถึงการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อผลิตบุหรี่คุณภาพ ตามมาตรฐานเครื่องจักรที่ทันสมัย รองรับความต้องการของผู้บริโภคและแข่งขันได้ในระดับสากล
แล้วประสิทธิภาพของโรงงานนี้มีแค่ไหน? ก็ต้องบอกว่า อยู่ที่ระดับ ผลิตใบยาและยาเส้นได้ 12,000 กิโลกรัมต่อชั่วโมง และผลิตยาเส้นพอง 2,280 กิโลกรัมต่อชั่วโมง กำลังการผลิตด้านกระบวนการมวนและบรรจุ 30,000 ล้านมวนต่อปี
เป็นทั้งนิติบุคคลแล้ว ได้โรงงานใหม่แล้ว จากนี้ไป การยาสูบแห่งประเทศไทยยังเล็งจะประสานความร่วมมือกับประเทศในอาเซียนและประเทศจีน เพื่อสร้างความร่วมมือทางการค้า ดูจะเป็นอีกหนึ่งธุรกิจใหญ่ที่ภาครัฐคาดหวังการเติบโต ขณะที่ป้ายเตือนเรื่องสุขภาพบนซองบุหรี่ ที่หวังจะเตือนให้ประชาชนสูบกันน้อยลง ก็ยังคงถูกแปะหราเอาไว้อย่างนั้น
แมนๆ ฟังบรรยายกัน กรุงเทพคริสเตียนจัดงาน ‘เลี้ยงลูกอย่างไร ไม่ให้เบี่ยงเบน’
โพสต์แค่ไม่กี่ชั่วโมง ก็เป็นกระแสไปทั่ว เมื่อเพจเฟซบุ๊ก Bangkok Christian College ::: Official Club Site โพสต์ประชาสัมพันธ์การบรรยายพิเศษป้องกันการ ‘เบี่ยงเบน’ ทางเพศ ในหัวข้อ ‘เลี้ยงลูกอย่างไรไม่ให้เบี่ยงเบน’ เอกสิทธิ์เฉพาะผู้ปกครองนักเรียนโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย
เนื้อหาบางส่วนในโพสต์นั้นระบุไว้ว่า “การเบี่ยงเบนทางเพศมักจะมีสาเหตุมาจากสภาพแวดล้อมในวัยเด็ก โดยเฉพาะสภาพแวดล้อมบางอย่างในครอบครัว ความเบี่ยงเบนทางเพศจะส่งผลอย่างไรบ้างต่อชีวิตของเยาวชน? เราจะป้องกันสิ่งนี้ได้อย่างไร?
“ร่วมกันหาคำตอบจากการบรรยายของศาสนาจารย์ สุรเชษฐ์ วรพันธนายุต หัวหน้าแผนกศาสนกิจโรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนวิทยาลัย ท่านมีทั้งหลักวิชาการและประสบการณ์ในการให้คำปรึกษานักเรียนโรงเรียนชายล้วนมาเป็นเวลากว่า 20 ปี”
ย้อนกลับไปเมื่อปี 2014 โรงเรียนกรุงเทพคริสเตียนฯ จัดบรรยายพิเศษที่อาจจะมีจุดประสงค์คล้ายคลึงกัน หัวข้อในครั้งนั้นคือ “เลี้ยงลูกอย่างไรให้เป็นชาย” เพื่อให้ผู้ปกครองได้เรียนรู้วิธีปฏิบัติต่อลูกของตน และสังเกตพฤติกรรมที่ผิดปกติของลูกที่อาจนำไปสู่ความ ‘เบี่ยงเบน’ ทางเพศและวิธีแก้ไข
ความเชื่อต่อเรื่องกรอบเพศสภาพแบบเดิมๆ ที่พอบวกเข้ากับความเชื่อทางศาสนาแล้ว ก็อาจจะทำให้คนกลุ่มหนึ่งยังคงเชื่อว่า การเป็นตุ๊ดเป็นเกย์เป็นเรื่องผิดปกติจนไม่อยากให้เกิดขึ้นกับลูกหลานของตนเอง จึงไม่แปลกนัก หากการบรรยายพิเศษนี้จะเกิดขึ้นเพื่อบรรยายให้กลุ่มคนที่มีความเชื่อแบบเดียวกันฟัง แต่เมื่อแนวคิดนี้ประกาศผ่านโลกออนไลน์ที่มีผู้คนที่มีความเชื่อหลากหลาย ผลตอบรับจึงกลับกลายเป็นด้านลบ และทำให้ตัวองค์กรถูกมองว่าหัวโบราณ ล้าสมัย
อย่างไรก็ดี อัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายไม่ได้เป็นเรื่องผิดปกติ สิ่งที่ผู้ปกครองควรทำจึงไม่ใช่การพยายามป้องกันหรือห้ามไม่ให้ลูก ‘เบี่ยงเบน’ เพราะจะเป็นตุ๊ด เป็นเกย์ นั่นคือตัวตนของเขา และอัตลักษณ์ทางเพศที่หลากหลายไม่ได้ส่งผลอะไรต่อชีวิตของเยาวชน แต่สิ่งที่ส่งผลคือความไม่เข้าใจของสังคมและ ผู้ปกครอง จนนำไปสู่การเลือกปฏิบัติ เหมารวม และถูกตราหน้าว่าผิดปกติ มากกว่า
สิ่งที่ควรทำจึงไม่ใช่การบรรยายเพื่อหาทางไม่ให้ลูกเบี่ยงเบน แต่ควรบรรยายเพื่อปลูกฝังพ่อแม่ ผู้ปกครอง ให้เลิกมองว่าเรื่องเหล่านี้ผิดปกติ และยอมรับในสิ่งที่ลูกเป็น เมื่อใดก็ตามที่การสนทนาในครอบครัวเกิดขึ้นได้โดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่ต้องรู้สึกเหมือนต้องกลั้นหายใจคุยกัน เมื่อนั้น พ่อ แม่ ลูกจะสามารถคุยอย่างสนิทใจกันได้ทุกเรื่อง
เรื่องของความแตกต่างสามารถทำความเข้าใจได้โดยการเปิดใจ เรียนรู้ ยอมรับ และพยายามเข้าใจมันอย่างไร้อคติ เพราะความแตกต่างไม่ได้มีไว้ให้กำจัดหรือทำลาย แต่มีไว้เพื่อให้เรียนรู้และยอมรับมันต่างหาก
Tags: เดินหน้าประเทศไทย, กันตภณ หวังเจริญ, เฌอปราง อารีย์กุล, ย้ายกระทรวง, กรุงเทพคริสเตียน