ถือเป็นกระแสมาแรงที่กินเวลาต่อเนื่องหลายสัปดาห์ กับเรื่องราวของแดดแรงจัดในกรุงเทพฯ จนทำให้รองหัว หน้าคสช. ต้องยกมือมาป้องแดด ให้นักสืบโซเชียลเฉลียวใจไปสังเกตเห็นนาฬิกาสุดหรู กลายเป็นเรื่องเป็นราวให้ผู้คนฉงนใจ เพราะลำพังการครอบครองของหรูนั้นอาจไม่ทำให้ใครเซอร์ไพรส์เท่าไร แต่กับเรื่องกระบวนการตรวจสอบนี่สิ ที่ดูจะน่าสนุกขึ้นเรื่อยๆ

จากแดดแรง มาสัปดาห์นี้คนกรุงเทพฯ เจอฝนกลางสัปดาห์ ตามด้วยบรรยากาศที่อึมครึม ก่อนจะเข้าใจได้ว่า เป็นภาวะอากาศ ‘นิ่ง’ และมีมลพิษทางอากาศ ที่พบฝุ่นขนาดเล็กเพียง 1/25 ของเส้นผ่านศูนย์กลางของเส้นผม เป็นฝุ่นจิ๋วที่มีจำนวนเกินมาตรฐานทำให้ซึมเข้าร่างกายได้ง่าย แล้วไทยเราจะทำอย่างไรกันดี

อีกประเด็นที่ยังอยู่ในเงามัวๆ คือเรื่องการสืบข้อเท็จจริงของคดีการตายปริศนาของ ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือเมย นักเรียนเตรียมทหาร และเรื่องการเลื่อนเลือกตั้งออกไปเป็นปี 2562

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจยังมีอีกมาก ให้เราติดตามทั้งในประเทศและต่างประเทศ

นาฬิกาบิ๊กป้อม แค่ครอบครองแต่ไม่มีกรรมสิทธิ์ ก็ไม่ต้องยื่น และไทยถอนตัวจากองค์กรความโปร่งใสนานาชาติ

หลังเป็นประเด็นว่า นาฬิกาหรู 25 เรือน ที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ รองหัวหน้า คสช. และ รมว.กลาโหม ครอบครองอยู่นั้น เพื่อนให้ยืมมา ล่าสุด ประธาน ป.ป.ช. ซึ่งกำลังสอบสวนเรื่องนี้ว่าเข้าข่ายแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จหรือไม่ ก็ตัดสินใจลาออก โดยให้เหตุผลว่า เพราะสนิทกัน

พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ ประธานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้ถอนตัวจากการพิจารณาสำนวนคดีดังกล่าว ด้วยเหตุผลว่า ตนเคยเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของ พล.อ.ประวิตรมาก่อน และสนิทสนมกัน จึงไม่เหมาะสมที่จะเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการตรวจสอบในครั้งนี้

ส่วนความคืบหน้าในการตรวจสอบนั้น นายวรวิทย์ สุขบุญ เลขาธิการ ป.ป.ช. กล่าวว่าตอนนี้กำลังสอบพยาน ซึ่งเหลืออีกหนึ่งราย และทำหนังสือไปยังบริษัทตัวแทนจำหน่ายนาฬิกาภายในประเทศที่ปรากฏเป็นข่าวจำนวน 13 แห่ง เพื่อขอทราบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเรื่องนี้แล้ว

นายวรวิทย์ตอบคำถามนักข่าวว่า รายการทรัพย์สินที่ต้องแสดงบัญชีนั้น จะต้องเป็นกรรมสิทธิ์ของตัวเอง หากเพียงครอบครองเฉยๆ ก็ไม่จำเป็นต้องยื่น

ส่วนกรณีนี้ จะเข้าข่ายการให้และรับสิ่งของ ที่จะผิด พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตหรือไม่ นายวรวิทย์ตอบว่า ยังไม่ทราบ เพราะเจ้าตัวยังไม่ได้บอกว่า เป็นการให้ที่ถือเป็นกรรมสิทธิ์ของตน

ขณะที่ประเทศไทยก็ได้ถอนตัวจากการเป็นสมาชิกองค์กรเพื่อความโปร่งใสนานาชาติ (TI) เนื่องจากมีหลายประเด็นที่เห็นว่าการชี้วัดขององค์กรดังกล่าวมีอคติและไม่สอดคล้องกับความจริงในประเทศไทย

โดยนางจุรี วิจิตรวาทการ เลขาธิการมูลนิธิองค์กรเพื่อความโปร่งใสในประเทศไทยบอกว่าการถอนตัวในครั้งนี้เนื่องจากเห็นว่าการชี้วัดขององค์กรดังกล่าวมีอคติและไม่สอดคล้องกับความจริงในประเทศไทย และไม่ใช่การประท้วงที่ประเทศไทยได้ค่า CPI (ดัชนีภาพลักษณ์คอร์รัปชัน) ต่ำลงเมื่อปีที่แล้ว และไม่ได้รับการกดดันใดๆ จากรัฐบาล

ทั้งนี้ ปีที่ผ่านมา ไทยอยู่ที่อันดับ 101 ของดัชนี CPI ตกลงจากอันดับ 76 เมื่อปี 2559 และคะแนนก็ลดลงจาก 38 เหลือ 35 คะแนน

กว่าโลกจะมองเห็น ‘แลร์รี่ นาสซาร์’ ละเมิดทางเพศเด็กหญิง 156 คน

โทษจำคุกสูงสุด 175 ปี อาจต้องใช้สองชีวิตกว่าจะชดใช้หมด แต่นั่นก็เป็นผลมาจากการละเมิดทางเพศหญิงสาวรวม 156 คน ที่ทำให้เธอเหล่านั้นอยู่กับความทรงจำแย่ๆ ไปทั้งชีวิต

แลร์รี่ นาสซาร์ (Larry Nassar) วัย 54 ปี เป็นแพทย์ประจำทีมยิมนาสติกให้แก่ทีมชาติสหรัฐฯ และทีมมหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต ถูกศาลพิพากษาแล้วเมื่อวันพุธที่ผ่านมา (24 ม.ค.) ว่าต้องโทษจำคุกสูงสุด 175 ปี จากการล่วงละเมิดทางเพศเด็กหญิง 156 คน และยังมีโทษจำคุกอีก 60 ปีจากการถ่ายภาพลามกเด็กที่ศาลตัดสินเมื่อธันวาคมปีที่แล้ว

เป็นเวลานานกว่า 20 ปีที่เด็กสาวจำนวนมากถูกหมอนาสซาร์ลวนลามและข่มขืนมาตั้งแต่เด็กๆ และถือเป็นการละเมิดทางเพศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์วงการกีฬาสหรัฐฯ ตัวเลขของเหยื่อที่ถูกกระทำโดยนาสซาร์ ยังมากกว่าเหยื่อของ ฮาร์วีย์ ไวน์สตีน กับ บิล คอสบี รวมกันเสียอีก

แต่สังคมแบบไหนที่เปิดโอกาสให้คนคนหนึ่งถึงทำร้ายคนอื่นต่อเนื่องได้นานขนาดนี้?

มีเด็กหลายคนพยายามบอกเรื่องนี้กับพ่อแม่ กับโค้ช กับเจ้าหน้าที่มหาวิทยาลัย รวมถึงหมอคนอื่นๆ แต่ด้วยความที่เป็นเด็ก ดูเหมือนเสียงเหล่านั้นจะไม่น่าเชื่อถือ ตัวหมอเองก็โน้มน้าวพ่อแม่ว่าเด็กโกหก

จากหนังสือ Little Girls in Pretty Boxes เขียนโดย โจแอน ไรอัน เมื่อปี 1995 เธอบอกว่า ด้วยลักษณะของกีฬายิมนาสติก มันมีความกดดันทั้งทางร่างกายและจิตใจที่มีต่อตัวเด็กสาวนักกีฬา; เจ็บเข่าเหรอ – อย่ามาขี้เกียจ; หิวเหรอ – อ้วนเกินไปแล้ว ฯลฯ นักกีฬายิมนาสติกถูกปลูกฝังความคิดให้กังขาต่อความรู้สึกของตัวเอง นั่นก็น่าจะเป็นเหตุหนึ่งที่ทำให้การละเมิดครั้งมโหฬารนี้เกิดขึ้น

ฟังดูเป็นเรื่องน่าเจ็บใจ เพราะมีคำร้องมากมายที่ไปถึงมหาวิทยาลัยมิชิแกนสเตต แต่เรื่องก็เงียบ สื่ออย่าง อินดีสตาร์ ทำรายงานสืบสวนสอบรวนเรื่องนี้ และพบว่า วงการยิมนาสติกของสหรัฐฯ ไม่ใส่ใจการล่วงละเมิดทางเพศ บ่อยครั้งที่โค้ชและทีมงานจะได้รับการคุ้มครอง เพราะเหรียญรางวัลมักมาก่อนเรื่องจริยธรรม

จนกระทั่งเกิดกระแส #metoo ที่ทำให้เรื่องราวเหล่านี้ได้รับการให้ความสนใจและเป็นคดีความในที่สุด

กอล์ฟ – ขวัญ ความรักที่จบไม่สวย

กอล์ฟ-พิชญะ นิธิไพศาลกุล และขวัญ-อุษามณี ไวทยานนท์ เคยเป็นคู่รักเมื่อสิบกว่าปีที่แล้วสมัยเป็นวัยรุ่น แต่แล้วก็เลิกรา และกลับมาคบกันอีกครั้งเมื่อทั้งคู่โตเป็นผู้ใหญ่ แต่แล้วความรักของทั้งคู่ก็มีอันต้องจบอีกคราในช่วงปลายปี 2560 เมื่ิอหลายปัญหาเข้ามารุมเร้าทั้งเรื่องส่วนตัว และครอบครัวของแต่ละฝ่ายดูจะไม่สนับสนุนให้ทั้งคู่คบหากัน

เริ่มต้นที่ฝ่ายชาย กอล์ฟ-พิชญะ ออกมาบอกว่า ตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับขวัญด้วยปัญหาหลายๆ อย่าง โดยมีการพูดถึง ‘แม่แอ๊ว’ แม่ของขวัญ-อุษามณี ที่เรียกค่าสินสอดถึง 80 ล้านบาท เรือนหอราคา 30 ล้านบาท และยังชวนให้กอล์ฟซื่้อที่ดินในจังหวัดเพชรบุรีในราคานับล้านบาท

ขณะที่แม่แอ๊วก็ออกปฎิเสธข่าวเรื่องสินสอด 80 ล้านบาท บอกว่าไม่มีการคุยเรื่องสินสอดอย่างที่เป็นข่าว และลูกสาวก็ไม่ใช่ตุ๊กตาที่จะมาตั้งราคา ให้เขาคิดและตัดสินใจเองได้

ส่วนขวัญ -อุษามณี ก็ได้เปิดใจต่อเรื่องนี้ผ่านทางช่อง 7 โดยออกมาพูดปกป้องครอบครัวว่า เรื่องที่กอล์ฟพูดนั้นเป็นเรื่องไม่จริง และยังได้พาดพึงถึงแม่ของกอล์ฟ-พิชญะ ว่า “เขาไม่มีสินสอดให้นอกจากว่าต้องรอให้เค้าตายก่อนถึงจะเอามรดกมาเป็นสินสอด คำที่สอง ไม่มีสินสอดอะไรให้ ถ้าแม่เธอไม่ให้แต่ง เธอก็ท้องก่อนแต่ง อย่างที่สาม เรื่องแหวนเพชร เขาบอกว่าถ้าแต่งไม่ได้ก็หมั้น หมั้นก็เอาแหวนปลอมๆ ไปให้แม่เธอก่อนก็ได้ แม่เธอจะรู้เหรอว่าแหวนจริงหรือแหวนปลอม เหมือนกับกระเป๋าที่แม่เธอใช้ก็ของปลอม”

เรียกว่าเป็นการปิดฉากความรักของกอล์ฟ-ขวัญที่ไม่สวยเลยจริงๆ

หมอกหรือฝุ่นมันเข้าตา เมื่อเว็บไซต์รายงานว่า AQI กรุงเทพฯ อยู่ในระดับอันตราย

เมื่อวันพุธที่ 24 ม.ค. 61 เกิดกระแสเผยแพร่ข้อมูลกันในโซเชียลมีเดีย เริ่มจาก เพจ “ความรู้สนุกๆแบบหมอแมว” ออกมาแชร์ข้อมูลจาก http://aqicn.org ว่า ดัชนีคุณภาพอากาศในเขตกรุงเทพฯ อยู่ในระดับอันตรายต่อสุขภาพ (เกิน 100) จากการตรวจวัดฝุ่นละออง PM 2.5 ซึ่งก็คือฝุ่นละอองขนาดเล็กไม่เกิน 2.5 ไมครอน (1/25 ของเส้นผ่าศูนย์กลางเส้นผม) ที่อยู่ในอากาศ ถือว่าเล็กมากๆ จนสามารถเล็ดลอดเข้าไปตามระบบทางเดินหายใจของมนุษย์และเข้าสู่เส้นเลือดฝอย แถมยังใจดีพาสารพิษอื่นๆ เข้ามาร่วมด้วยช่วยกันก่อมะเร็งในร่างกายเราได้

หลังเป็นกระแส กรมอุตุนิยมวิทยา ออกมาแก้ข่าวโดยทันทีช่วงบ่ายวันเดียวกันว่า อย่าเพิ่งไปตื่นตูม เป็นแค่ไอน้ำและความชื้น

ส่วนกรมควบคุมมลพิษออกมาบอกในตอนเย็นว่า วันที่ 24 ม.ค. 61 ผลการตรวจวัด PM 2.5 ในกรุงเทพฯ สูงเกินค่ามาตรฐานจริงๆ โดยระบุว่าค่ามาตรฐานอยู่ที่ 50 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร เพราะว่าส่วนหนึ่ง เกิดจากอากาศนิ่ง ลมสงบในช่วงฤดูหนาวถึงต้นฤดูร้อน ทำให้สะสมมลพิษมากกว่าปกติ

แต่ก็ยังเสริมด้วยว่า ข้อมูลที่แชร์กันจากเว็บ http://aqicn.org ว่า AQI อยู่ในระดับอันตรายต่อสุขภาพนั้น ‘คลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง’ เพราะใช้ค่าเฉลี่ยหนึ่งชั่วโมง ทำให้อยู่ในช่วงสีแดง จริงๆ แล้วต้องใช้ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมงต่างหาก ซึ่งจะให้ผลลัพธ์แค่สีส้ม คือ อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพ และแนะนำว่า ผู้ที่มีโรคประจำตัวเกี่ยวกับระบบทางเดินหายใจหรือโรคหัวใจและหลอดเลือด ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมนอกอาคาร

เว็บไซต์ http://aqicn.org ที่ว่านี้ระบุว่าตัวเองเป็นเว็บไซต์หนึ่งของโครงการดัชนีคุณภาพอากาศโลก (World Air Quaility Index) ซึ่งเป็นโครงการเพื่อสังคมที่เริ่มต้นเมื่อปี 2007 รายงานข้อมูลอากาศของกว่า 70 ประเทศ และมีทีมหลักอยู่ที่ปักกิ่ง ประเทศจีน โดยในเว็บไซต์ระบุแหล่งที่มาของข้อมูลดัชนีอากาศในประเทศไทยว่าดึงมาจากเว็บไซต์ http://www.aqmthai.com/ ของกรมควบคุมมลพิษนั่นเอง อย่างไรก็ตาม ในเว็บฯ มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์กรองอากาศด้วย

สำหรับผู้สนใจ สามารถดูข้อมูลคุณภาพอากาศในประเทศไทยได้ที่ http://air4thai.pcd.go.th ซึ่งเป็นเว็บไซต์ของกรมฯ ที่ใหม่กว่า อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ถกเถียงกันอยู่ก็คือ ตอนนี้ดัชนีดังกล่าวของไทยยังไม่นำ PM 2.5 มาใช้คำนวณด้วย ซึ่งอาจทำให้ข้อมูล AQI คลาดเคลื่อนจากความเป็นจริง และทางด้านกรีนพีซก็กำลังมีแคมเปญเรียกร้องในประเด็นนี้อยู่

สนช. เห็นชอบกฎหมายเลือกตั้ง ส.ส. เลื่อนเลือกตั้งไปปี ’62

หลังจากมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ดังกระหึ่มตั้งแต่เมื่อปลายสัปดาห์ที่แล้ว ต่อเนื่องมาจนกระทั่งสัปดาห์นี้ ในที่สุด สนช. ก็ลงมติเห็นชอบร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในคืนวันที่ 25 ม.ค. ซึ่งไฮไลต์สำคัญคือการเห็นชอบการปรับแก้เนื้อหามาตรา 2 ตามที่คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างกฎหมายมีมติเสียงข้างมากกำหนดให้ร่างกฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ 90 วัน นับแต่วันประกาศลงในราชกิจจานุเบกษา

เมื่อเป็นเช่นนี้ จึงส่งผลให้วันเลือกตั้งที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ประกาศว่าจะเกิดขึ้นในเดือน พ.ย. 2561 ต้องเลื่อนออกไปอีกอย่างน้อยสามเดือน

นอกจากมาตรา 2 สนช. ยังมีมติเห็นชอบมาตรา 35 ซึ่งผู้ไม่ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งจะถูกตัดสิทธิ์เพิ่มเติม โดยไม่สามารถสมัครรับราชการข้าราชการการเมืองและผู้บริหารท้องถิ่นเป็นเวลาสองปี เห็นชอบมาตรา 75 ตัดข้อห้ามเพื่อเปิดทางให้ใช้ ‘มหรสพ’ ในการหาเสียงเลือกตั้งได้ โดยไม่ให้ใช้งบเกิน 20 เปอร์เซ็นต์ของงบประมาณค่าใช้จ่ายในการหาเสียง ทั้งของตัวผู้สมัครและพรรคการเมือง รวมถึงมาตรา 87 ขยายเวลาลงคะแนนเสียงเลือกตั้ง จากเดิม 08.00-16.00 น. เป็น 07.00-17.00 น.

สำหรับกระบวนการต่อไป ประธาน สนช. จะตรวจสอบรายละเอียดความถูกต้องไม่เกินระยะเวลาห้าวัน ก่อนส่งให้ กกต. และคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญพิจารณาความชอบด้วยเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ เป็นเวลา 10 วัน หากฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมีข้อทักท้วงก็จะเสนอให้ประธาน สนช. จัดตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญร่วมสามฝ่าย เพื่อทบทวนร่างกฎหมายอีกเป็นเวลา 15 วัน ก่อนให้ สนช. ลงมติอีกครั้ง

ต่อเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์ระหว่างปฏิบัติภารกิจที่ประเทศอินเดียว่ารัฐบาลและ คสช. ยังคงเดินหน้าตามโรดแมปที่ประกาศไว้ และยืนยันว่าไม่ได้ส่งสัญญาณใดๆ ไปทาง สนช. ส่วนเรื่องเลื่อนการเลือกตั้งนั้นยังไม่ถือว่าเป็นข้อยุติ เพราะเป็นเรื่องของกลไกทางกฎหมาย แต่หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง ตนจะยังคงทำหน้าที่ของตนเองตามแนวทางที่วางไว้

ขณะที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ บอกว่าแม้ สนช. จะเห็นชอบกฎหมายดังกล่าว แต่ก็เป็นเรื่องดีที่จะมีการเลือกตั้งอย่างแน่นอน แม้จะไม่ตรงตามโรดแมป และไม่มีความจำเป็นต้องชี้แจงต่อต่างชาติ

ครอบครัว ‘เมย’ เข้าฟังผลการสอบสวนการเสียชีวิต

ครอบครัวของนายภคพงศ์ ตัญกาญจน์ หรือเมย นักเรียนเตรียมทหารชั้นปีที่ 1 เข้าพบ พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง รองเสนาธิการทหาร ในฐานะประธานกรรมการสอบสวนข้อเท็จจริง กรณีการเสียชีวิตของนายภคพงศ์ เมื่อวันที่ 23 พ.ค. ที่กองบัญชาการกองทัพไทย เพื่อรับฟังผลการสอบสวนของคณะกรรมการ หลังจากได้รับหนังสือเชิญเมื่อปีที่แล้ว

ในวันนั้น ผู้ที่เดินทางไปประกอบด้วยบิดา มารดา พี่สาว ลุง และน้าของเมย แต่หลังจากขึ้นไปที่ชั้น 2 ของอาคาร 6 ภายในกองบัญชาการกองทัพไทยได้ไม่นาน ครอบครัวของเมยก็เดินลงมาจากห้องรับรองด้วยสีหน้าเคร่งเครียดและไม่พอใจ ซึ่งนางสุกัลยา ตัญกาญจน์ มารดาของเมย บอกกับผู้สื่อข่าวว่าที่เดินออกมาเพราะลุงและน้าของเมยไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าห้องประชุม แต่ในเวลาต่อมา เจ้าหน้าที่ก็โทร.แจ้งให้ครอบครัวของเมยกลับเข้าไปในกองบัญชาการกองทัพไทยอีกครั้ง และอนุญาตให้ทั้งหมดให้เข้ารับฟังผลการสอบสวน

พล.อ.อ.ชวรัตน์ มารุ่งเรือง กล่าวภายหลังการชี้แจงผลการสอบสวนว่า “บรรยากาศเป็นไปด้วยดี หลังจากนี้จะมีการนัดหมายถึงการแลกเปลี่ยนข้อมูลแก่กัน เพื่อเปิดช่องทางคุยกันมากขึ้น ส่วนที่ครอบครัวมีสีหน้าเคร่งเครียด อาจเพราะยังไม่ได้ทานข้าว และตอบไม่ได้ว่าจะมีการนัดพูดคุยอีกหรือไม่”

ขณะที่ครอบครัวของเมยก็เดินทางกลับทันที โดยพี่สาวของเมยกล่าวเพียงว่านำข้อมูลใหม่มาให้คณะกรรมการตรวจสอบเพิ่มเติม

ต่อมาในวันที่ 26 ม.ค. ที่บ้านพักของครอบครัวตัญกาญจน์ในจังหวัดชลบุรี มีการจัดพิธีทำบุญครบ 100 วันการเสียชีวิตของนายภัคพงศ์ โดย น.ส.สุพิชา ตัญกาญจน์ พี่สาวของเมย กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่าจนถึงวันที่ 26 ยังไม่มีอะไรคืบหน้า แต่เชื่อว่าผลการสอบสวนข้อเท็จจริงน่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลง เนื่องจากได้นำหลักฐานทางนิติวิทยาศาสตร์ไปยื่นให้กองทัพพิจารณาเพิ่มเติม นอกจากนี้ยังนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาภายในโรงเรียนเตรียมทหาร ซึ่งได้มาจากผู้ปกครองของนักเรียนเตรียมทหารรายอื่น  

จบไปไม่มีงานทำ ก็ไม่ต้องเรียน: จะดีหรือ

ถือเป็นเรื่องหนาวๆ ร้อนๆ สำหรับเหล่าอาจารย์และนักศึกษาสายสังคม เมื่อมีการเผยแพร่รูปถ่าย หนังสือด่วนที่สุด ที่ นร 111/393 โดยเลขาธิการสภาพัฒน์ เรื่องข้อสั่งการของนายกฯ ลงวันที่ 23 ม.ค. 61 (วันอังคารที่ผ่านมา) ซึ่งมีรายละเอียดที่เป็นไฮไลต์กระตุกหัวใจอยู่ในข้อ 2. ว่า “กรณีการสนับสนุนงบประมาณให้อุดมศึกษา ให้ควบคุมสาขาที่ไม่มีงานทำ/ไม่ตรงความต้องการ การลดเงินอุดหนุนหรือไม่ให้” ซึ่งอ่านเร็วๆ ก็คงได้ความประมาณว่า ถ้าสาขาไหนจบมาแล้วไม่มีงานทำก็อย่าไปให้ตังค์ ไม่น่าตีความเป็นอย่างอื่นไปได้อีก ไม่ว่าจะตีลังกาอ่านยังไง

แต่ข้อความที่อ่านต่อแล้วชวนงง ทำให้ต้องเกาหัวสงสัยว่านี่เราอ่านเร็ว หรือเขารีบเขียน ก็คือ “เช่น จีน ทำเหตุผล จบมาไม่มีงานทำ แต่ต้องใช้หนี้ กยศ./ปัญหาต่อเนื่อง” ที่อ่านอย่างไรก็ไม่เห็นจะเป็นประโยค หรือมีการเข้ารหัสลับอย่างไรก็ไม่ทราบได้ หรือไม่ก็คงไม่มีบัณฑิตสายภาษาไปช่วยขัดเกลาประโยค

ทันทีที่มีการแชร์รูปนี้ในเฟซบุ๊กก็มีเสียงก่นมากมาย ว่า การออกคำสั่งแบบนี้เท่ากับมองข้ามความสำคัญของการศึกษาสายสังคม (ซึ่งมักจะพูดกันว่า จบมาแล้วก็ไม่มีงานทำ หรือหางานได้ยาก) ซึ่งแม้ว่าจะดูไม่สำคัญในตลาดแรงงาน แต่ ‘สำคัญ’ อย่างมากในสังคม

ดังที่ ผศ.อรรถพล อนันตวรสกุล คณะคุรุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ได้โพสต์ความเห็นในเฟซบุ๊กว่า “…สาขาวิชาอย่างปรัชญา วรรณคดี นั้นหากพิจารณาผิวเผิน อาจดูไม่มีมูลค่าทันทีเชิงการตลาด แต่เวลาสังคมต้องการการถกเถียงทางความคิด เราก็พบว่าเพราะตรรกะมันบิดเบี้ยว เพราะละเลยไม่ร่ำเรียนปรัชญา ไม่ฝึกตั้งคำถาม ไม่มีการฝึกวิเคราะห์กรอบคิด ไม่มีการฝึกการใช้เหตุผลในการถกเถียง ฯลฯ”

ทางด้าน รมช. ศึกษาธิการ ศ.นพ.อุดม คชินทร ได้ออกมาชี้แจงว่า หลายคนอ่านหนังสือดังกล่าวแล้ว ‘ตีความผิด’ ว่านายกฯ ไม่ให้งบฯ ในสาขาที่ตกงาน และกล่าวต่อว่า นโยบายไทยแลนด์ 4.0 ทำให้ต้องทบทวนหลักสูตร เพราะการใช้งบประมาณของแต่ละหน่วยงานต้องตอบโจทย์ยุทธศาสตร์ชาติ ขณะนี้ประเทศกำลังขาดคนมาพัฒนาด้านเทคโนโลยี หากสถาบันอุดมศึกษาผลิตบัณฑิตด้านนี้มา รัฐจึงจะสนับสนุนงบเพิ่ม เพราะประเทศมีงบประมาณจำกัด การผลิตบัณฑิตออกมาแล้วตกงานก็ถือเป็นความสูญเสีย แม้สายสังคมยังสำคัญอยู่ แต่ต้องอุ้มสายเทคโนโลยีก่อน

อืม… อ่านคำชี้แจงนี้แล้ว กลับไปอ่านคำสั่งฯ นร 111/393 ในบรรทัดที่ขีดเส้นใต้ซ้ำ เทียบกันถึงความเป็นเหตุเป็นผลและความขัดแย้งกันเองของทั้งสองแหล่ง น่าชวนนักศึกษาและบัณฑิตสายมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ (ที่เรียนแล้วจบไปอาจไม่มีงานทำ) มาถกเถียงและวิเคราะห์ตัวบทกันอีกสักรอบ ว่าอ่านแล้วมันทะแม่งๆ หรือเปล่าหนอ

ป่วนสามวัน ‘ชัตดาวน์’ สหรัฐฯ ปมเด็กต่างด้าว ยื้อเวลาจนถึง 8 ก.พ.

เป็นเวลาสามวันที่คนในรัฐบาลสหรัฐฯ ต่างวิ่งวุ่น เพราะประเทศเข้าสู่ภาวะสุญญากาศ เนื่องจากวุฒิสภาไม่สามารถผ่านกฎหมายงบประมาณ ทำให้หน่วยงานหลายแห่งต้องเตรียมตัวตกอยู่ในภาวะ ‘ชัตดาวน์’

สาเหตุที่รัฐมหาอำนาจต้องอยู่ในภาวะชัตดาวน์ เพราะวุฒิสภาหาข้อตกลงร่วมกันในเรื่องการต่ออายุโครงการช่วยเหลือเยาวชนข้ามชาติที่พ่อแม่พาเข้าเมืองมาแบบผิดกฎหมาย หรือที่เรียกว่าโครงการดาก้า (DACA) ไม่ได้ เพราะฝั่งพรรคเดโมแครตต้องการให้ต่ออายุโครงการที่จะหมดลงในวันที่ 5 มี.ค.นี้ แต่รีพับลิกันมองต่าง

ขณะที่ยังตกลงกันไม่ได้ การโหวตร่างงบประมาณฯ เมื่อวันที่ 19 ม.ค. จึงออกมาที่ 50:49 เสียง แปลว่า มีเสียงไม่ถึงเกณฑ์ผ่านร่างกฎหมาย ที่จะต้องได้เสียงอย่างน้อย 60 เสียง

สำหรับโครงการดาก้า เป็นโครงการที่มีนโยบายคุ้มครองเด็กที่ลักลอบเข้าเมือง โดยเรียกเด็กเหล่านี้ว่า “ดรีมเมอร์” ปัจจุบันมีจำนวนราว 800,000 คน

เมื่อสภาสูงหาข้อตกลงกันไม่ได้ ผลคือทำให้ไม่สามารถออกกฎหมายการต่ออายุการจ่ายงบประมาณชั่วคราว ซึ่งจะทำให้หน่วยงานรัฐบาลจำนวนหนึ่งถูกปิด และพนักงานของรัฐบางส่วนไม่ได้รับเงินเดือน โดยก่อนหน้านี้ สหรัฐฯ ก็เคยเกิดภาวะชัตดาวน์ ในยุคสมัยของบารัค โอบามา เมื่อปี 2013 ที่กินเวลานาน 16 วัน

หลังผ่านไปสามวัน เมื่อวันจันทร์ที่ 22 ที่ผ่านมา วุฒิสภายอมผ่านร่างกฎหมายแบบชั่วคราว เพื่อซื้อเวลาให้รัฐบาลมีงบประมาณใช้จ่ายได้จนถึงวันที่ 8 ก.พ. และให้ระหว่างนี้ ทั้งสองพรรคมีการเจรจาก่อนกลับมาลงคะแนนกันอีกครั้ง

เส้นทางไม่ได้โรยกลีบกุหลาบ เดินรณรงค์ ‘We Walk’ โดน คสช. ฟ้องคดีชุมนุมเกินห้าคน

ถือเป็นสัปดาห์ที่มีทั้งปฏิกิริยาแบบตบหัวแล้วตามด้วยลูบหลัง เพราะนับแต่เสาร์ที่แล้ว (20 ม.ค.) ที่กลุ่ม We Walk เดินรณรงค์จากกรุงเทพฯ ถึงขอนแก่น ก็โดนตำรวจนอกเครื่องแบบประกบและแทรกแซงตลอดทาง ตัวแทนกลุ่มทั้งยังโดนฟ้องคดีในข้อหาละเมิดคำสั่ง คสช. เรื่องห้ามชุมนุมเกินห้าคน แต่มาปิดท้ายปลายสัปดาห์ด้วยคำสั่งของศาลปกครอง ที่สั่งคุ้มครองชั่วคราว ให้ตำรวจต้องไม่ขัดขวางการชุมนุมครั้งนี้

เครือข่ายประชาชนและนักวิชาการในนาม People Go Network จัดกิจกรรม ‘We Walk เดินมิตรภาพ’ ออกเดินเท้า ตั้งต้นจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต มุ่งหน้าสู่จังหวัดขอนแก่น โดยใช้เส้นทางพหลโยธินต่อด้วยถนนมิตรภาพเป็นเส้นทางหลัก รวมระยะทาง 450 กม.

กิจกรรมครั้งนี้มาจากการรวมตัวกันของห้าเครือข่าย เพื่อจะรณรงค์ในสี่ประเด็นสำคัญ คือ หลักประกันสุขภาพแบบถ้วนหน้า ความมั่นคงทางอาหาร สิทธิชุมชนในการจัดสรรทรัพยากรและรักษาสิ่งแวดล้อม และสิทธิในการมีส่วนร่วมของประชาชน

เครือข่ายฯ เริ่มออกเดินเมื่อวันเสาร์ที่ 20 ม.ค. แต่ปรากฏว่าต้องเจออุปสรรคตั้งแต่เริ่ม เพราะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจกว่าร้อยนายเข้าปิดกั้นประตูมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ โดยระบุว่า กิจกรรมครั้งนี้เป็นกิจกรรมทางการเมือง และขัดต่อคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 3/2558 ที่ห้ามชุมนุมทางการเมืองเกินห้าคน

นักกฎหมายของเครือข่ายฯ จึงยื่นคำร้องขอให้ศาลปกครองมีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว เพื่อขอให้ตำรวจยุติการปิดกั้นการเดิน และระบุว่านี่เป็นกิจกรรมที่ไม่ขัดต่อพ.ร.บ.การชุมนุม แต่ในการยื่นครั้งแรก ศาลไม่รับเรื่องไว้ด้วยเหตุผลว่าติดวันเสาร์ ระหว่างนี้ ทางเครือข่ายก็เดินหน้าตามกิจกรรมที่วางแผนไว้ ด้านตำรวจทั้งในเครื่องแบบและนอกเครื่องแบบก็ประกบติดตาม และพยายามเจรจากับวัดต่างๆ ที่อยู่ในเส้นทางการเดิน เพื่อไม่ให้เปิดพื้นที่ให้ผู้ชุมนุมไปพักค้างคืน

แต่ต่อมา เมื่อวันอังคารที่ 23 ม.ค. คสช.ก็เข้าแจ้งความดำเนินคดีกับตัวแทนเครือข่ายจำนวนแปดคน ฐานที่รวมกันมั่วสุมชุมนุมทางการเมืองที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปโดยไม่ได้รับอนุญาตจากหัวหน้า คสช. และออกหมายเรียกให้ไปรับทราบข้อกล่าวหา

โดยทั้งแปดคนที่ถูกฟ้องคดี ได้แก่ เลิศศักดิ์ คำคงศักดิ์ (เครือข่ายประชาชนเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน) อนุสรณ์ อุณโณ (คณบดีคณะสังคมวิทยา มธ.) นิมิตร์ เทียนอุดม (มูลนิธิเข้าถึงเอดส์) สมชาย กระจ่างแสง (มูลนิธิเข้าถึงเอดส์) แสงศิริ ตรีมรรคา (เครือข่ายหลักประกันสุขภาพ) นุชนารถ แท่นทอง (เครือข่ายสลัม 4 ภาค) อุบล อยู่หว้า (เครือข่ายเกษตรทางเลือก อีสาน) และ จำนงค์ หนูพันธ์ (เครือข่ายสลัม 4 ภาค)

ล่าสุด ศาลปกครองมีคำสั่งกลางดึกของคืนวันศุกร์ (ราวตีสอง ของวันเสาร์ที่ 27 ม.ค.) ไม่ให้ตำรวจกระทำการใดๆ ที่ไปปิดกั้น ขัดขวาง หรือใช้เสรีภาพในการชุมนุม จนถึงวันที่ 17 ก.พ. 61 อันเป็นวันสุดท้ายตามกำหนดการกิจกรรม

สันติภาพไม่ราบเรียบ ประชาชนเกาหลีใต้ประท้วงระหว่างดาราเกาหลีเหนือมาเยือน

ก่อนโอลิมปิกฤดูหนาวในเกาหลีใต้จะเริ่มขึ้นวันที่ 9-25 กุมภาพันธ์นี้ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีที่เกาหลีเหนือ-ใต้จะได้กระชับความสัมพันธ์ผ่านการเข้าร่วมการแข่งขันกีฬาด้วยกัน ก็กลับเกิดเรื่องป่วนๆ ชวนปวดหัว

เพราะเมื่อวันจันทร์ที่ 22 ม.ค. ที่ผ่านมา นักเคลื่อนไหวสายอนุรักษนิยมในเกาหลีใต้พากันนำรูปขนาดใหญ่ของคิม จ็องอึน มาจุดไฟเผา ขณะที่ ฮยอน ซอง วอล หัวหน้าเกิร์ลแบนด์ยอดนิยมจากเกาหลีเหนือ (ผู้ซึ่งมีข่าวว่าเป็นอดีตแฟนสาวผู้นำเกาหลีเหนือ) เดินผ่านไป ระหว่างการเยี่ยมเยือนเกาหลีใต้ในฐานะตัวแทนศิลปินที่จะมาทำหน้าที่แสดงในโอลิมปิกจากฝ่ายเกาหลีเหนือ ไม่เพียงเท่านั้น พวกเขายังเผาธงของเกาหลีเหนือ และธงรวมเกาหลี (unification flag) ซึ่งทั้งสองประเทศวางแผนว่าจะใช้เป็นธงที่ชูร่วมกันในพิธีเปิดโอลิมปิก

รัฐบาลเกาหลีใต้มองว่า การเข้าร่วมแข่งขันกีฬาของเกาหลีเหนือจะช่วยลดแรงตึงเครียดทางการเมืองจากการทดสอบขีปนาวุธ แต่ฝ่ายอนุรักษนิยมในประเทศเอง กระแนะกระแหนรัฐบาลมุน แจ อินว่า การต้อนรับขับสู้นักร้องหญิงคนนี้โดยมีการรักษาความปลอดภัยแน่นหนา เป็นการประคบประหงม “ราวกับเธอเป็นราชินี … ลืมไปแล้วหรือว่าเกาหลีเหนือเคยข่มขู่คุกคามว่าจะใช้ขีปนาวุธเปลี่ยนเกาหลีใต้ให้อยู่ท่ามกลางทะเลเพลิงมาตลอด”

ดูท่า กีฬา กีฬา… อาจไม่ใช่ยาวิเศษ ที่จะสมานแผลใจได้ในทันทีทันใด

Tags: , , , , , , , , , , , ,