เอเชียนเกมส์ปีนี้ดูหงอยๆ และหงอยหนักลงไปอีกเมื่อฟุตบอลทีมชาติไทยแพ้เขาตั้งแต่รอบแรก ถ้ากีฬาไม่ช่วยให้กระชุ่มกระชวย เปลี่ยนมาเกาะขอบจอละครอาจจะซู่ซ่ากว่า ละครสุดฮิต ‘เมีย 2018’ ใกล้ลาจอแล้ว แต่สิ่งที่จะตราตรึงใจไปอีกนานคือคาแรกเตอร์สุดเพอร์เฟกต์ของ ‘บอสวศิน’ ที่ช่วยเติมฝันแฟนตาซีให้แฟนละครจำนวนไม่น้อย

เรื่องพ่อแง่แม่งอนยังโผล่ให้เห็นในข่าวการเมือง เมื่อสองผู้นำออกมาปะทะคารมกันแบบพอหอมปากหอมคอ ทั้งหมดนี้คือเรื่องไร้สาระที่เราเสพไปพร้อมๆ ฉากหลังของสังคมไทย ที่มีพลทหารอีกรายที่ถูกทำร้ายจนอาจถึงแก่ชีวิต

The Momentum ประมวลเรื่องเด่นติดเทรนด์ในรอบสัปดาห์มาฝากกัน

1. ระหว่างที่รอเขา ให้ฉันนั่งข้างเธอจะได้ไหม? ทำไมใครๆ ก็ #ทีมบอสวศิน

นาทีนี้จะมีใครฮ็อตและกรุบกรอบไปกว่า ‘บอสวศิน’ แห่ง เมีย 2018 ที่รับบทโดย ฟิล์ม—ธนภัทร กาวิละ ความนิยมที่พุ่งสูงทำให้เขามียอดฟอลโล่วในอินสตาแกรมเพิ่มขึ้น 758k จากที่แต่เดิมยังอยู่เพียงหลักหมื่น นับเป็นความดังชั่วข้ามคืน ที่อีกแง่หนึ่งก็น่าหวั่นใจ ซึ่งนักแสดงเองก็เพิ่งให้สัมภาษณ์ว่า “อย่าจดจำผมแค่บทบอสวศิน”

เสียงกรี๊ดจากสาวๆ หลากเจเนอเรชั่นนั้น ไม่ใช่แค่เพราะความหล่อเหลาของเขา แต่ยังเป็นเพราะตัวบทที่ส่งเสริมให้บอสวศินได้เกิดอย่างเจิดจ้า ดูเหมือนว่าตัวละครนี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อสนองความต้องการของผู้หญิงส่วนใหญ่โดยเฉพาะ

ทางหนึ่ง นี่คือของขวัญสำหรับผู้หญิงแสนดีอย่างอรุณา และอีกทางหนึ่ง นี่คือทางเลือกที่ดีกว่า เป็นทางลงโทษที่ตอกย้ำสามีแย่ๆ ผู้ทิ้งลูกทิ้งเมียไปหาเมียน้อย ให้เขาได้เห็นว่าผู้หญิงสมัยนี้ล้วนมีสิทธิเลือก และทางเลือกนั้นก็ไม่ได้ด้อยไปกว่าเขา

ด้วยความตั้งใจนั้นของผู้สร้าง ตัวละครนี้จึงบรรจุเอาสุดยอดความปรารถนาไว้ในตัวคนเดียวจนครอบคลุมเกือบทุกด้าน และความสำเร็จล้นหลามของตัวละครก็สะท้อนภาพว่า นี่คือภาพในอุดมคติที่ผู้หญิงหลายคนใฝ่ฝันกันจริงๆ —เด็กกว่า หล่อ รวยมาก ฉลาด จบนอก มีเหตุผล ปกป้องเราได้ เข้ากับลูกเราได้ มีความชัดเจน ไม่ออกลายเจ้าชู้ มีความเนิร์ดแต่ก็ไม่ใช่ good guy ที่น่าเบื่อ มีกินเหล้าเข้าผับพอกระชุ่มกระชวย แถมมีแม่ที่เข้าอกเข้าใจ สุขภาพจิตดีแถมมาด้วย ช่างเป็นแพ็กเกจที่ครบครันจริงๆ

เขายังมีลักษณะพระเอกตามสูตรละลายใจสาว นั่นคือความปากร้าย ใจดี แบบที่เรามักจะเห็นในตัวละครแบบ ชายกลาง หรือ เจ้าชายเย็นชา ที่หลายคนเคยกรี๊ดกันเมื่อยังเป็นวัยรุ่นตอนต้น (รู้อายุ) ยังรวมถึงการเป็นสายเปย์อย่างหนักข้อ เช่นการเนียนให้เบอร์พร้อมโทรศัพท์เครื่องใหม่ ให้ยืมรถหรูไปขับเพื่อเสริมสร้างความมั่นใจ ฯลฯ

ส่วนหนึ่งนั้นสมเหตุสมผล เป็นที่เข้าใจได้ไม่ยาก ที่ตัวละครนี้จะถูกเทความรักให้ แต่อีกด้านหนึ่ง บอสวศินก็คือภาพของแฟนตาซีในโลกทุนนิยมสุดขั้ว อย่างที่ยากจะปฏิเสธ

และแม้ละครจะเสนอภาพวศินให้เป็นผู้คอยช่วยเหลืออยู่ข้างหลัง ผู้เฝ้ารอ ผู้อยู่เป็นตัวเลือก แต่มันก็ยังฉายภาพโลกที่ผู้หญิงยังคงต้องพึ่งพาผู้ชายอยู่หลายข้อ แฟนละครลองนึกภาพอรุณาที่ต้องผ่านเรื่องร้ายเหล่านั้นมาโดยไม่มีบอสวศิน เธออาจไม่ได้ยืนอยู่อย่างงามสง่าขนาดนี้ อย่างน้อยก็ไม่ได้เป็นซูเปอร์เซลล์ผู้ขายซูเปอร์คาร์ หรือลุกขึ้นมาเปลี่ยนลุคเป็นสาวเก๋ หรือกระทั่งเรื่องความช่วยเหลืออื่นๆ อย่างเรื่องลูก และที่สำคัญซึ่งอาจจะเป็นทางลงในตอนจบคือการลืมอดีต และเยียวยาตัวเองด้วยการ move on ไปหาผู้ชายคนใหม่

แน่นอนว่าเราเอ็นดูบอสวศิน (มาก) แต่นั่นก็อาจกลายเป็นหลุมพรางของภาพฝัน ที่ชวนให้สาวๆ ทยอยกันตกลงไป แม้ทุกคนจะรู้ตัวว่าการมีแฟนเด็กที่ครบเครื่องขนาดนี้มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ภาพความต้องการที่ถูกเติมเต็มได้ด้วยตัวละครนี้ ก็เป็นที่น่าสะท้อนใจอยู่ไม่น้อยทีเดียว

2. ปูน่ะ ปล่อยไปแล้ว.. แต่ ‘ทั่น’ ยังไม่ปล่อย

เวลาที่เราเหน็บหรือประชดใคร มันอาจแปลว่าเราแคร์คนนั้นอยู่มาก ยิ่งเมื่อไม่ได้รับการตอบรับหรือสนใจ ก็อาจยิ่งทำตัวไม่ดีใส่เขา เพื่อให้เขาโต้ตอบกลับมาบ้าง ไม่รู้ว่าทฤษฎีนี้จะใช้กับการเหน็บกันไปมาไม่จบสิ้นของผู้ใหญ่สองคน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้หรือเปล่า

งานนี้ เล่นกันที่เรื่อง ‘ชื่อ’ ทั้งชื่อจริงและชื่อเล่นของฝ่ายอดีตนายกฯ หญิง เริ่มจากเมื่อวันจันทร์ที่ 20 สิงหาคม ที่พล.อ.ประยุทธ์ ลงพื้นที่พบประชาชนที่จังหวัดระนอง และไปเจอกับเจ้าหน้าที่หญิงจากการท่าเรือแห่งประเทศไทย ซึ่งบังเอิญชื่อ ‘ยิ่งลักษณ์’ พ้องกับอดีตนายกรัฐมนตรี หัวหน้าคสช.จึงแซวออกมาว่า “ชื่อเพราะดี เพราะชื่อนี้เป็นนายกฯ ด้วยไง” และกล่าวว่า “ยิ่งลักษณ์ ไอ้เราก็ตาไวเสียด้วย แต่ไม่ได้ว่าอะไรใคร ทำให้ถูกก็แล้วกัน” แล้วหัวเราะออกมา

คำพูดแค่นี้ แม้ไม่เป็นประเด็นสลักสำคัญอะไร แต่เมื่อออกจากปากนักการเมืองผู้นำประเทศ แถมยังพูดถึงคู่กรณี จะไม่ให้เป็นข่าวก็คงจะไม่ได้ พอพูดเช่นนั้น ยิ่งลักษณ์คนที่เป็นอดีตนายกฯ จึงโพสต์ข้อความในทวิตเตอร์ @PouYingluck ว่า “ทราบว่าท่านนายกไปพื้นที่ที่จังหวัดระนอง พบคนชื่อยิ่งลักษณ์ และบอกว่าให้คนที่ชื่อยิ่งลักษณ์ทำให้ถูกก็แล้วกัน เลยขอถามท่านอดีตผบ.ทบ. ว่ายังจำชื่อนี้ได้อยู่เหรอคะ

โต้กันไปเท่านี้ยังไม่พอ ปรากฏว่าเมื่อวันอังคาร (21 สิงหาคม) พล.อ.ประยุทธ์ก็ไปร่วมกิจกรรมปล่อยปูม้า 10 ล้านตัว ที่จังหวัดชุมพร แล้วไปก็หยอกล้อกับเด็กๆ ว่า “กินปูกันหรือไม่ เบื่อปูกันหรือยัง กินกันบ่อยแล้วสิ แสดงว่าเบื่อปูกันแล้วใช่ไหม” หากพูดแค่นี้ คนก็อาจจะขี้เกียจไปต่อความยาวสาวความยืดว่ามีนัยถึง ‘ปู’ ที่เป็นชื่อเล่นของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ แต่หัวหน้าคสช. ก็ต่อความไปอีกว่า “ผมก็เปรียบเหมือนพ่อปู ขอให้เดินตามพ่อปูต่อไป เพราะการเดินตามแม่ปูมันจะเลี้ยวไปเลี้ยวมานะ”

งานนี้จึงออกท่าชัดเจน ว่าแม้ปล่อยปูไป 10 ล้านตัวแล้ว แต่ปูที่พูดถึงนั้น…ท่านยังไม่ปล่อย และท่านอาจลืมไปว่า เวลานี้ ท่านเองก็ยังไม่มีคำสั่งปลดล็อคการเมือง ไอ้การจะพูดว่า ให้เชื่อตน อย่าไปเชื่อใคร อะไรทำนองนี้ นักการเมืองอื่นเขายังไม่ได้รับสิทธิ์นั้นกันนะทั่น

บทสนทนาอันไม่มีสาระใดๆ ยังไม่จบ จากนั้น ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็โพสต์รูปลงในอินสตาแกรม pouyingluck_shin ยืนโพสท่าสีหน้าสดใส สะพายกระเป๋าธอมบราวน์รูปปู พร้อมเขียนว่า “ปูของแท้ค่ะ” ซึ่ง พานทองแท้ ชินวัตร ก็เข้ามาร่วมคอมเมนต์ว่า “วัยรุ่นจังเลย ใช้ธอมบราวน์ กระเป๋านั่นตัวผู้หรือตัวเมียครับ”

ก็หวังว่า เรื่องคนชื่อซ้ำและคำเหมือนจะจบลงแต่เพียงเท่านี้ แยกย้ายไปทำสิ่งอื่นต่อกันดีไหม

3. ฟุตบอลชายไทยไปไม่ถึงดวงดาว ตกรอบแรกเอเชียนเกมส์ เป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี

ทีมฟุตบอลชายไทยชุดเอเชียนเกมส์ 2018 ภายใต้การคุมทีมของ โค้ชโย่ง-วรวุธ ศรีมะฆะ ตั้งเป้าก่อนแข่งเก็บ 4 คะแนนในรอบแบ่งกลุ่มเพื่อเข้าสู่รอบ 16 ทีม แต่สุดท้ายในทัวร์นาเมนต์นี้ทำดีสุดเก็บได้แค่ 2 คะแนน จาก 3 นัด คือเสมอกาตาร์ 1-1 เสมอบังคลาเทศ 1-1 และแพ้อุซเบกิสถาน 0-1 จบอันดับ 3 ของสาย B ส่งผลให้ตกรอบแรกเป็นครั้งแรกในรอบ 24 ปี นับตั้งแต่เอเชียนเกมส์ ครั้งที่ 12 ที่เมืองฮิโรชิม่า ประเทศญี่ปุ่น ในปี 1994

ฟอร์มการเล่นตลอดทั้ง 3 เกมของทีมชาติไทยดูจะไม่ถูกใจแฟนบอลเท่าไรนัก ยิ่งตกรอบเร็วแบบนี้ทำให้เกิดกระแสกดดันให้โค้ชโย่ง-วรวุธ รับผิดชอบด้วยการลาออก เลยจนไปถึงเรียกร้องให้ประธานเทคนิคฟุตบอลไทยอย่าง วิทยา เลาหกุล ลาออกด้วย เพราะเป็นผู้เลือกโค้ชโย่งเข้ามาคุมทีม

แฟนบอลในโลกออนไลน์ต่างวิจารณ์กันอย่างเผ็ดร้อนถึงฟอร์มการเล่น รูปแบบเกมที่ไม่ได้เรื่อง เข้าสู่ยุคตกต่ำอีกครั้งของฟุตบอลไทย โดนเวียดนามแซงหน้า เลยไปจนถึงด่านักเตะบางคนว่าเล่นไม่ดีแต่ยังได้ลงตัวจริง ส่วนคนที่หนักสุด หนีไม่พ้นโค้ชโย่งนั่นเอง

ร้อนถึงนายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย พล.ต.อ. สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ที่ต้องออกมาเบรกกระแสความไม่พอใจของแฟนบอล โดยยืนยันว่าจะยังไม่ปลดใครในตอนนี้ เนื่องจากสมาคมทำงานกันเป็นระบบ จะมีการพูดคุยกับโค้ชโย่งและทีมงานเพื่อรับฟังปัญหาและข้อสรุปที่เกิดขึ้น ก่อนจะนำไปแก้ไขปรับปรุงต่อไป และจะไม่ปลดโค้ชโย่งตามกระแสแฟนบอลแน่นอน แต่อยู่บนเหตุผลที่รับได้ เชื่อว่าแฟนบอลจะเข้าใจดีและไม่ดูเพียงแต่ผลแพ้ชนะ

หากใครติดตามบอลไทยคงทราบดีว่า ฟุตบอลชายไทยชุดเอเชียนเกมส์ไม่ได้นำนักเตะอายุเกิน 23 ปีมาสักคนเลย แม้โควต้าสำหรับทัวร์นาเมนต์นี้จะได้ถึง 3 คน ก็ตาม น่าคิดว่า ถ้ามีตัวผู้เล่นที่มีประสบการณ์สูงมาประคองทีม ก็อาจเพิ่มโอกาสเข้ารอบให้กับนักเตะไทยได้

แต่อย่างไรก็ตาม การไม่นำนักเตะโควต้าเกินอายุมาเล่น อาจเป็นผลดีกับทีมชาติไทยว่า สำหรับรุ่นอายุไม่เกิน 23 ปีแล้ว มาตรฐานฟุตบอลไทยอยู่ในจุดไหนของเอเชีย และเป็นไปได้ว่า เป้าหมายของสมาคมคาดหวังผลงานกับทีมชุดนี้ในศึกปรีโอลิมปิกเสียมากกว่า

4. แค่พิษรักแรงหึง? เสี่ยอ้วนถึงกับยิงสาวตายคาที่

อีกคดีสะเทือนขวัญ เมื่อหนุ่มสาววัยรุ่นคู่หนึ่งถูกยิงดับคาที่จอดรถบริเวณตรงข้ามวัดเขาชีจรรย์ จังหวัดชลบุรี เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา ทั้งสองคนคือ สปาย-ปวีณา นาเมืองรักษ์ อายุ 20 ปี และ ฟอส-อนันตชัย จริตรัมย์ อายุ 21 ปี

ไม่นานนัก ตำรวจก็ทราบผู้สั่งฆ่า นั่นคือ เสี่ยอ้วน บางลา หรือ ปัญญา ยิ่งดัง เจ้าของผับชื่อดังหลายแห่งในภูเก็ต พร้อมลูกน้องคนสนิทอีกห้าคน โดยวางแผนกันเป็นอย่างดี ถึงขนาดส่งลูกน้องมาตีสนิทเพื่อนของสปายและฟอส รวมทั้งวางแผนเส้นทางหลบหนีไปยังกัมพูชาผ่านทางจังหวัดสระแก้ว ก่อนจะลงมือฆ่าอย่างโหดเหี้ยม

ทางตำรวจก็เร่งมือตามล่าเสี่ยอ้วนและลูกน้องอย่างหนัก ลูกน้องเสี่ยอ้วนเริ่มถูกจับทีละคนและให้คำรับสารภาพ เหลือเพียงเสี่ยอ้วนที่โดนจับเป็นคนสุดท้าย เพราะหนีไปอยู่ที่กัมพูชามาก่อนหน้านี้ แต่ภายหลังตำรวจไทยประสานไปทางกัมพูชาเพื่อขอส่งตัวผู้ร้ายข้ามแดน

เมื่อเสี่ยอ้วนถูกจับกลับมาที่เมืองไทย สิ่งที่ทุกคนอยากรู้มากที่สุดคือ ทำไมจึงต้องลงมือฆ่าสปายและฟอสอย่างโหดเหี้ยม เสี่ยอ้วนยอมรับว่าแค้นฝังใจ เพราะถูกสปายตีจาก หมางเมิน และยอมรับว่าหึงมาก

เรื่องไม่จบแค่นั้น เมื่อคนสนิทของเสี่ยอ้วนอย่าง ธรรมรัตน์ สุวรรณโพธิ์ศรี หรือ โจ้ สปอตไลท์ ผู้ก่อตั้งเพจ Spotlight Phuket ให้สัมภาษณ์สื่อว่า เสี่ยอ้วนโอนเงินประมาณ 4 ล้านบาทให้ครอบครัวของสปายในช่วงเวลาสองเดือนที่ผ่านมา

ด้านวันเพ็ญ นาเมืองรักษ์ แม่ของสปายก็ออกมายอมรับว่า เธอรับรู้การไปมาหาสู่ของเสี่ยอ้วนกับสปาย ส่วนเรื่องเงินนั้น เสี่ยอ้วนโอนมาให้ 1 ล้านบาทเพื่อนำไปซื้อรถให้ลูกสาว และยืนยันว่าไม่เคยขายลูกสาวกิน

ล่าสุด เสี่ยอ้วนเปิดเผยว่า แค้นครอบครัวของสปายมาก เพราะโอนเงินจำนวน 7 ล้านสำหรับค่าสินสอด ค่าบ้าน และรถยนต์ แต่ถูกครอบครัวของสปายเมิน ไม่ทำตามที่ตกลงกันไว้ และเสียใจในสิ่งที่เกิดขึ้น 

5. รายล่าสุดแต่คงไม่สุดท้าย ‘ซ่อม’ พลทหารคชา ก้านสมองตาย

เรื่องเก่าๆ ยังไม่จบดี คำว่า ‘ซ่อม’ พลทหาร และการ ‘ธำรงวินัย’ ก็กลับมาหลอนสังคมไทยอีกครั้ง เมื่อมีพลทหารเกณฑ์ถูกซ้อมจนอาการสาหัส ล่าสุด สมองของเขาได้ตายไปแล้ว

พลทหารคชา พะชะ ทหารเกณฑ์วัย 22 สังกัดกองพันทหารราบที่ 3 กรมทหารราบที่ 31 รักษาพระองค์ จังหวัดลพบุรี เป็นเหยื่อรายล่าสุดของความรุนแรงในฐานะทหารเกณฑ์

เขาถูกทำร้ายร่างกายผ่านการทำโทษ ด้วยการให้ปักหัวลงบนพื้น แล้วถูกเตะเข้าที่บริเวณหน้าอกและใต้รักแร้จนหมดสติและถูกนำตัวส่งโรงพยาบาลอานันทมหิดลเมื่อค่ำวันอังคารที่ 21 สิงหาคม ขณะไปถึงมือหมอ พลทหารเข้มหัวใจหยุดเต้น แพทย์ต้องปั๊มหัวใจนานต่อเนื่องเกิน 15 นาที ทั้งยังมีอาการไตวาย กระเพาะอาหารเป็นแผล และปอดอักเสบ

หมอระบุว่า โอกาสรอดมีน้อย และหากรอดก็อาจไม่สามารถดำรงชีวิตได้แบบเดิมเพราะสมองขาดออกซิเจนนาน ล่าสุด ญาติรับทราบจากแพทย์ว่า พลทหารคชาก้านสมองตายแล้ว

จริงเท็จอย่างไรยังไม่ทราบรายละเอียดนัก แต่หลังเกิดเหตุ นายทหารยศพันโทแจ้งแก่ครอบครัวว่า พลทหารเข้มไม่ได้น็อคไปเอง แต่มีพลทหารรุ่นพี่ 3 นายทำการ ‘ซ่อม’ น้อง และปัจจุบัน ทั้ง 3 นายออกมาขอขมาต่อญาติ บอกว่า ไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนี้

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นซ้ำๆ เช่นเดียวกับ เมย – ภคพงศ์ ตัญกาญจน์ นักเรียนเตรียมทหารอายุ 19 ปี ถูกฝึกในแบบที่เรียกว่า ‘ถูกธำรงวินัย’ หรือที่เรียกว่า ‘ถูกซ่อม’ จนต้องเข้าโรงพยาบาล แล้วเสียชีวิตอย่างเป็นปริศนาเมื่อตุลาคม 2560 กรณีที่ พลทหารนภดล วรกิจพันธ์ ทหารกองประจำการ มทบ. 45 เสียชีวิต ในสภาพที่แพทย์ชันสูตรศพบอกว่า มีเลือดคั่งในทรวงอก ปอด หัวใจฉีก และม้ามแตก เสียชีวิตเมื่อกลางปี 2560 กรณีของ พลทหารวิเชียร เผือกสม ซึ่งถูกรุมซ้อมในค่ายทหารจนเสียชีวิตเมื่อปี 2554 และอื่นมากกรณีที่ไม่ถูกจดจำ

แม้กรณีล่าสุดนี้จะมาแปลก เมื่อมีรุ่นพี่ออกมายอมรับผิดและกล่าวคำขอโทษ แต่ก็ต้องยอมรับร่วมกันแล้วว่า การเอาผิดรายบุคคล แม้จะจำเป็น แต่ไม่แก้ปัญหาที่ต้นเหตุ และไม่อาจทำให้มั่นใจได้ว่า ข้ออ้างเรื่องการซ่อมและธำรงวินัยพลทหารจนถึงแก่ชีวิตจะไม่เกิดขึ้นอีก แต่สังคมไทยตอนนี้ดูจะไม่มีโอกาสยุติโศกนาฎกรรมเช่นนี้ได้เลยหากไม่มีการตั้งประเด็นแก้ปัญหาให้ตรงจุด ว่าสังคมและสภาพแวดล้อมแบบใดที่อนุญาตให้รุ่นพี่และผู้บังคับบัญชาใช้ความรุนแรงใส่ผู้น้อยได้ขนาดนี้

และต้องบอกว่า สำหรับชีวิตที่เชื่อโดยบริสุทธิ์ใจ ว่าการทำหน้าที่ทหารคือส่วนหนึ่งของการทำประโยชน์สาธารณะ แต่หากรู้ว่าต้องจบชีวิตด้วยเรื่องราวขลาดเขลาเช่นนี้ ก็น่าเศร้านักสำหรับความบริสุทธิ์ใจเหล่านั้น

Tags: , , , , , , , , , , , , , ,